วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

รูปแบบการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา : โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๓)

ตอนที่ ๑ 
ตอนที่ ๒ 

บันทึก ๒ ตอนแรก แลกเปลี่ยนแบ่งปันเรื่องเล่าการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม ทั้ง ๔ ตอน ("ก้าวสู่การผลัดใบ" "ผลิดอกออกช่อ" "ปริชาตเบ่งบาน" และ "สมสง่าแห่งความเป็นศูนย์การเรียนรู้") บอกเราว่า กว่าจะมาเป็นโรงเรียนศูนย์ฯ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย....  ผมทำ timeline ของฯเชียงขวัญฯ ไว้นานแล้ว เมื่อมาอ่านบทความ ๔ ตอนดังกล่าว จึงได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด...


 
ถ้าพิจารณาวิเคราะห์ว่าอะไรคือ "ปัจจัยแห่งความสำเร็จ" ของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม  ผมคิดว่า มีดังต่อไปนี้ครับ
  • นโยบายของเบื้องบน และกลุ่มคนผู้มาขับเคลื่อนจากภายนอก คือ สำนักงานทรัพย์สินฯ และมูลนิธิสยามกัมมาจล 
    • หลักสูตรฝึกอบรมเวทีแรก (ดร.ปิยานุช ธรรมปิยา) ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและความเข้าใจท่ถูกต้อง นำมาซึ่งการทดลองทำตาม เกิดเป็นโครงการ "หนึ่งห้อง หนึ่งสวน"
    • หลักสูตรการพัฒนาครูสอนด้วยกระบวนวิจัย ที่มูลนิธิฯ จัดร่วมกับ ม.มหิดล โดยให้โรงเรียนส่งตัวแทนไป อบรมเชิงปฏิบัติการระยะยาว (ผมฟังว่า ไปทุกเสาร์-อาทิตย์ ตลอด 6 เดือน)  ผมคิดว่านี่เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้ครูรู้ว่า ปศพพ. คือ "หลักคิด" และ "หลักปฏิบัติ" ในการพัฒนาทักษะการคิด การทำ ซึ่งก็คือ "กระบวนการวิจัย" นั่นเอง
  • ผอ.ระวี ขุณิกากรณ์ และ อ.ฉลาด ผมเขียนปัจจัยแห่งความสำเร็จนี้ไว้แล้ว ตั้งแต่บันทึกแรกที่เขียนหลังจากไปเยี่ยมเชียงขวัญครั้งแรก (อ่านที่นี่)
  • ครูที่ใช้ "การถอดบทเรียน" ได้ถึงอย่างน้อยระดับ ๓ คือ สอดแทรกไร้รูปแบบ เชื่อมโยงการนำไปใช้ทั้ง ในห้องเรียน กิจกรรมเสริม และสิ่งที่ทำในชีวิตจริงๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ
  • วัฒนธรรมองค์กรของเชียงขวัญ ที่มุ่งสร้างสรรค์โรงเรียนเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยมุ่งพัฒนาให้ครูแกนนำใช้เครื่องมือและเทคนิคการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้ ... สิ่งนี้นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง... 
หากสังเคราะห์รูปแบบการขับเคลื่อนของโรงเรียนเชียงขวัญ น่าจะสรุปเป็นผังดังรูป


ตอนนี้เรากำลังทำหนังสือเล่มเล็กที่บอกเล่าเรื่องราวของเชียงขวัญ เสร็จเมื่อไหร่ จะนำมาแบ่งปันทันทีครับ


รูปแบบการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา : โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๒)


บันทึก ๔ ตอนแรก ที่โรงเรียนเชียงขวัญเขียนส่งถึงทีมขับเคลื่อนฯ สำหรับผมแล้ว เป็นบันทึกที่ดีมากๆ ดีที่สุดบันทึกหนึ่งที่ผมเคยอ่านมา (ผมพูดประโยคเหล่านี้ หน้าเวทีก่อนจะเริ่มกิจกรรมด้วย) ดังนั้น จึงน่าจะเป็นโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับทุกโรงเรียนที่กำลังขับเคลื่อนฯ ที่จะเขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ขับเคลื่อนของตนเอง เพื่อแบ่งปันสู่กันและกัน...  ผมจึงขอ "คัด ตัด มาวาง" ผลงานของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม มาไว้ให้อ่านกันครับ

ตอนที่ ๑ ก้าวสู่การผลัดใบ

ตอนที่ ๒ ผลิดอก ออกช่อ



ผลิดอก ออกช่อ

ภายหลังจากการได้รับการประเมินรับรองเป็นสถานศึกษาพอเพียงรุ่นแรกของกระทรวงศึกษาธิการภาระหน้าที่ที่จะก้าวต่อไปคือการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เราต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้เข้มแข็ง พร้อมที่จะก้าวไปอย่างมั่นใจให้กับบุคลากร นั่นคือเราได้สมัครใจเข้ารับการพัฒนาการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จากโครงการวิจัยเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และ สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับและมูลนิธิสยามกัมมาจล  ธนาคารไทยพาณิชย์  โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นทางมูลนิธิสยามกัมมาจลร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีเป็นหน่วยพัฒนา โดยมี อาจารย์อนันต์  แม้นพยัคฆ์ เป็นผู้ประสานงาน ในช่วงต้นของการเรียนรู้ มีการอบรมพัฒนาผู้บริหาร  ครูแกนนำ  นักเรียนแกนนำ โดยเรียนรู้กระบวนการจัดการความรู้ ซึ่งวิทยากรที่ให้ความรู้แนวทางการพัฒนาดังกล่าวคือ  อาจารย์ทรงพล  เจตนาวณิชย์  ผู้บริหารที่เข้ารับการอบรมจะได้เรียนรู้แนวทางการบริหารตามหลัก  SBM ( School  Based  Management ) ครูที่เข้ารับการอบรมจะเรียกว่า ครู BP (Best  Practices ) หรือครูแกนนำของแต่ละโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการอบรมที่มีความเข้มข้น ผ่านการฝึกปฏิบัติ ในงานนี้ หัวหน้าโครงการวิจัยเศรษฐกิจพอเพียง โดยท่าน ดร. ปรียานุช  ธรรมปิยา ร่วมกับท่านอาจารย์รจนา  สินที  หัวหน้าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  สำนักกิจการพิเศษ  สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้คัดเลือกผู้บริหาร และครู จากสถานศึกษาพอเพียงทั่วประเทศเพื่อเข้ารับการอบรมเป็นวิทยากร ขับเคลื่อนขยายผลปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องเขียนเรื่องเล่าการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตตนเอง ซึ่งโรงเรียนของเราผู้ที่ผ่านการคัดเลือกคือ ผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์  และคุณครูฉลาด  ปาโส ได้เข้ารับการอบรมเป็นรุ่นแรกในจำนวน 40 คน ของกระทรวงศึกษาธิการ
ผลจากการได้รับการพัฒนาดังกล่าว ทำให้ผู้บริหารและคณะครูมีความรู้ มีความเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มขึ้นตามลำดับ จึงทำให้โรงเรียนได้รับความไว้วางใจจากโรงเรียนต่างๆ  มาศึกษาดูงาน  และการได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้กับโรงเรียนต่างๆ ที่ต้องการพัฒนาตนเป็นสถานศึกษาพอเพียง ในด้านการสร้างเครือข่ายก็เป็นเป้าหมายหนึ่งที่ ผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์ ให้นโยบายกับคณะครู โรงเรียนได้เชิญชวนโรงเรียนใกล้เคียงในเขตพื้นที่อำเภอเชียงขวัญ ที่สมัครใจเข้าร่วมเป็นเครือข่ายพัฒนาด้วยการจัดอบรมผู้บริหาร  ครู ในอำเภอเชียงขวัญจากการประสานงานของผู้อำนวยการนเรศร์สังฆพิลา  ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหมูม้น ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานศูนย์ส่งเสริมประสิทธิภาพอำเภอเชียงขวัญในขณะนั้น 
 จากการอบรมพัฒนาผู้บริหารและครูในอำเภอเชียงขวัญ ทำให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ดเขต 1 เห็นความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ครูแกนนำของโรงเรียนเรา ผู้บริหารและครูจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นวิทยากรอบรมผู้บริหาร ครูโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 และมีโรงเรียนที่สนใจและสมัครใจเป็นเครือข่ายกับโรงเรียนด้วยการทำข้อตกลงร่วมกัน ( MOU ) ได้แก่ โรงเรียนเทศบาลวัดป่าเรไร   โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ธวัชบุรี  โรงเรียนบ้านป่านหนองอ้อ  โรงเรียนขี้เหล็กพิทยาคม โรงเรียนบ้านดงบังพิกุลศึกษาคาร  โรงเรียนบ้านหมูม้น  ส่งผลให้โรงเรียนเครือข่ายได้รับการประเมินผ่านเป็นสถานศึกษาพอเพียงในปีการศึกษา 2552
ผลจากการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องของเชียงขวัญพิทยาคม ทำให้โรงเรียนมีเครือข่ายและสถานศึกษาทั่วประเทศ เข้ามาเรียนรู้ร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์กับเชียงขวัญพิทยาคม เป็นการเพิ่มศักยภาพของสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง และในปีการศึกษา 2553  มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้มีแผนพัฒนาครูแกนนำให้เรียนรู้กระบวนการวิจัย เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการเรียนการสอน  เพื่อเป็นการยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับการจัดการเรียนรู้บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  มูลนิธิสยามกัมมาจลได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นหน่วยพัฒนาครูแกนนำจากโรงเรียนที่เป็นสถานศึกษาพอเพียงที่สมัครใจเข้าร่วมพัฒนา ซึ่งมีจำนวน 17 โรงเรียน  หนึ่งในจำนวนนั้นคือโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคมของเราเอง
โรงเรียนได้มอบหมายให้ครูแกนนำที่ประกอบด้วยนายฉลาด  ปาโส   นายแสน อนาราช นางสิรินุช  สุจริต  และนางไพวัน  ปาโส เข้าร่วมการพัฒนาร่วมกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งมีอาจารย์ รศ.ดร.เนาววัตน์  พลายน้อย เป็นหัวหน้าทีมในการเรียนรู้งานวิจัยครั้งนี้มูลนิธิได้กำหนดแนวทางให้โรงเรียนทำการวิจัยอย่างน้อย 1 เรื่อง ต่อ 1 โรงเรียน  โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคมได้ตกลงร่วมกันทำการเรียนรู้บูรณาการกระบวนการวิจัยกับการเรียนการสอนคนละ 1 เรื่องตามปัญหาที่พบในรายวิชาที่สอน ดังนั้นเราจึงได้เรียนรู้การทำการวิจัยการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบูรณาการการเรียนการสอนคนละ 1 เรื่อง  ใช้เวลาในการพัฒนาพัฒนา 6 เดือน  สถานที่พัฒนาคือโรงแรมในกรุงเทพมหานคร เราทั้ง 4 คนต้องเดินทางเข้ารับการพัฒนา การอบรมจะเป็นช่วง วันเสาร์-วันอาทิตย์ ดังนั้นการเดินทางของเราจะเดินทางบ่ายวันศุกร์เดินทางกลับช่วงบ่ายสี่โมงของวันอาทิตย์   กลับถึงบ้านก็ประมาณ ตีหนึ่ง ตีสอง และวันจันทร์ก็ไปทำงานตามปกติ เราพัฒนาตนเองอย่างนี้ 6 เดือน และผลจากการพัฒนาจึงทำให้โรงเรียนได้ผลงานวิจัย 4 เรื่อง

  •  เรื่องที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมโดยอาศัยหลักอรรถาธรรมเพื่อการเรียนรู้สู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียง  ผลงานของ นายฉลาด   ปาโส
  • เรื่องที่ 2  การพัฒนาการเรียนรู้ด้วยโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ขับเคลื่อนโดยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของ นายแสน  อนาราช
  • เรื่องที่ 3  การปลูกฝังค่านิยมตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยโครงงานคุณธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม  ของ นางสิรินุช  สุจริต
  • เรื่องที่ 4  การพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงโดยหนังสือเล่มเล็ก : กรณีศึกษาโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม ของนางไพวัน  ปาโส

เราได้นำความรู้มาขยายผลที่โรงเรียนกับเพื่อนครู  เพราะเราถือว่าการพัฒนาคือหัวใจของการศึกษา เราจึงพัฒนาคนและพัฒนาองค์กร ทำให้ก่อนที่เราจะทำหน้าที่เป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นในช่วงนั้นคุณครูของเราจึงได้มีความเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงคือ 3 ห่วง ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวและ 2 เงื่อนไข  คือ เงื่อนไขความรู้ กับ เงื่อนไขคุณธรรม
กระบวนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบของเชียงขวัญพิทยาคม  คือการขับเคลื่อนโดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม พุทธศักราช 2552  ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช 2551  เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนที่สำคัญ  เพราะเราเชื่อว่าการที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งครูและนักเรียนให้ตระหนัก  เข้าถึง เข้าใจ และนำหลัก ปศพพ. ไปใช้ได้จริงและเกิดผล จะต้องผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน  ดังนั้นเพื่อกระบวนการพัฒนาที่เห็นผล โรงเรียนจึงได้ดำเนินการเป็นแนวเดียวกันดังนี้
1. ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
   1.1 ประชุมครูทุกคนให้เข้าใจแนวปฏิบัติในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การเรียนการสอน
  1.2 จัดอบรมครูเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตร และปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาให้มีความครอบคลุม และใช้เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระฯ ดังนั้นทุกกลุ่มสาระฯ จึงมีหลักสูตรของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้
  1.3 จัดอบรมการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  วิทยากรคือครูแกนนำของโรงเรียนร่วมแลกเลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
 1.4 ครูแต่ละคนจะมีแผนบูรณาการอย่างน้อยคนละ ๑ รายวิชา
1.5 ครูนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นไปใช้จัดการเรียนการสอน
1.6 ครูมอบหมายให้นักเรียนถอดบทเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในรายวิชา
ที่สอน ส่งผลให้นักเรียนของเรามีหลักคิดหลักปฏิบัติตัดสินใจอย่างมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี

 2. ด้านนักเรียน
2.1 โรงเรียนจัดอบรมนักเรียนแกนนำ  โดยคัดเลือกนักเรียนตัวแทนห้องเรียนละ 5 คน เข้า
ร่วมประชุมอบรมและฝึกปฏิบัติการวิทยากรครูคุณครูแกนนำของโรงเรียน
2.2 มอบหมายให้นักเรียนแกนนำที่ผ่านการอบรมขยายผลสู่เพื่อนในห้องเรียนในรายวิชาต่างๆ เช่น การถอดบทเรียนจากเรื่องที่เรียน  การทำหนังสือเล่มเล็กที่สอดแทรกหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
               2.3 ส่งเสริมนักเรียนแกนนำเป็นวิทยากรให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนนักเรียน ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน
2.4 ส่งเสริมให้นักเรียนนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปประยุกต์ใช้ที่บ้านและชุมชนของตนผ่านโครงการบ้านน่าอยู่เคียงคู่เศรษฐกิจพอเพียง และกิจกรรมการถอดบทเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
3. ด้านโรงเรียน 
               3.1 ส่งเสริมให้ครูทุกคนเรียนรู้และพัฒนาตนเองและสามารถเป็นวิทยากร
               3.2 พัฒนาสภาพแวดล้อมและบริบทเอื้อต่อการเรียนรู้ จัดเป็นฐานการเรียนรู้ที่ในห้องเรียนและนอกห้องเรียนในห้องเรียนเน้นห้องเรียนคุณภาพ
               3.3 ขยายผลสู่โรงเรียนเครือข่ายทั้งภายในจังหวัดร้อยเอ็ดและต่างจังหวัดทั่วประเทศ
               3.4 ขยายผลสู่ผู้ปกครองและชุมชนของโรงเรียน โดยมีโครงการบ้านน่าอยู่เคียงคู่เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนนำความรู้เกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้       ในชีวิตจริงและเชื่อมโยงถึงผู้ปกครองไปพร้อมๆ กัน

ปาริชาตเบ่งบาน

การขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน  เพื่อเป็นการปลูกหลักคิด หลักปฏิบัติให้กับลูกศิษย์ เพื่อหวังผลที่จะเกิดกับนักเรียนทุกๆ คนตามศักยภาพของการเรียนเรียนรู้ทั้ง ผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ของคุณครูในแต่ละรายวิชา ที่นำหลักการบูรณาการลงสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ลูกศิษย์ทุกคนเป็นคนดี มีปัญญา ดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข  ดุจดั่งดอกปาริชาติซึ่งเป็นต้นไม้ประจำโรงเรียนของเราที่ผลิดอกออกช่อและแย้มบานอย่างงดงาม ชูช่อล้อลมชวนชมสำหรับผู้มาเยือน
ดังนั้นภาพที่เห็นคือนักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันอย่างมีความสุข  ครูมีส่วนร่วมสนับสนุนติดตาม  ความสุขที่ได้คือภาพของนักเรียนทำกิจกรรมจากประสบการณ์จริง ได้เห็นผลงานพืชผักที่สวย เกิดดอกออกผลได้กินได้จำหน่าย ได้แบ่งปันซึ่งกันและกัน นั่นคือความสุขที่เกิดจากสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม
ด้วยในเวลานั้นเป็นสถานศึกษาพอเพียง โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคมจึงเป็นที่สนใจของโรงเรียนต่างๆทั้งภายในเขตพื้นที่การศึกษา และในจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมทั้งต่างจังหวัด ดังนั้นโรงเรียนจึงต้องพัฒนาและเตรียมความพร้อมในด้านโรงเรียนเป็นแหล่งศึกษาดูงาน  ผู้บริหาร ครู  และนักเรียนเป็นวิทยากร
การนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้นักเรียนได้เรียนรู้บทบาทและภารกิจของเราเชียงขวัญพิทยาคม คือ
1.โรงเรียนทำหน้าที่ขยายผล คือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา
2.โรงเรียนได้รับโอกาสดีๆ จากโครงการวิจัยเศรษฐกิจพอเพียง  และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ในการพัฒนาผู้บริหาร ครูและนักเรียน
ท่านผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์เป็นผู้บริหารที่มองการณ์ไกล และมอบโอกาสดีๆ ให้กับโรงเรียนและบุคลากรในด้านพัฒนาและส่งเสริมความก้าวหน้าให้กับบุคลากรทุกๆ คน  ในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา สิ่งแรกที่ท่านผู้อำนวยการสร้างความเข้มแข็งให้กับบุคลากรทุกคนคือ  ส่งเสริมให้บุคลากรทำหน้าที่เป็นวิทยากร ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน โดยทางเราทำหน้าที่เป็นวิทยากรกับครูและโรงเรียนที่ประสงค์จะสมัครรับการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียงรุ่นที่ 2 ในปีการศึกษา 2552  ดังนั้นโรงเรียนจึงทำหน้าที่ทั้งเป็นสถานที่ศึกษาดูงาน   ทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด  เขต 1  ทำหน้าที่เป็นผู้จัดอบรมให้กับโรงเรียนและครูที่สมัครใจร่วมเรียนรู้กับชาวเชียงขวัญพิทยาคม  โดยโรงเรียนได้ใช้คำว่า เรียนรู้ร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์แทนคำว่ากาอบรม  รูปแบบการขยายผลของเรา  จะขยายผลไปพร้อมๆ กันทั้งองค์กร นั้นคือ ฝ่ายบริหาร  ครู และนักเรียน ซึ่งเราใช้คำว่า เวทีผู้บริหาร  เวทีครู และเวทีนักเรียน เมื่อโรงเรียนที่มาศึกษาดูงานหรือโรงเรียนมาประสานมาเพื่อให้เชียงขวัญพิทยาคมไปเป็นวิทยากร เราจะแนะนำให้โรงเรียนต่างๆ เหล่านั้นจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันทั้งสามเวที
หลักการง่ายๆ ที่เชียงขวัญพิทยาคมใช้เป็นรูปแบบของการขยายผลในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ  การทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้ตรงกัน เพราะแต่ละคนก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง แตกต่างกันตามมุมมอง ส่วนมากจะมองว่า เศรษฐกิจพอเพียงคือการทำกิจกรรมด้านการเกษตรเป็นส่วนใหญ่  เพื่อเป็นการทำความเข้าใจของคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน เครื่องมือที่เชียงขวัญพิทยาคมทำให้ผู้มาศึกษาดูงานเข้าใจนิยามของคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงขององค์ในหลวงได้ชัดเจน และอุทานว่าเป็นอย่างนี้นี่เอง คือการถอดบทเรียน
การถอดบทเรียนหรือพูดให้เข้าใจง่ายในรูปแบบของเชียงขวัญพิทยาคมก็คือ การคิดทบทวนกระบวนการทำกิจกรรมหรือวิธีการทำงานของตนเองทำได้ดี ทำได้สำเร็จ ทำแล้วเกิดความภูมิใจ เป็นต้นแบบคนอื่นได้ มีการ เชื่อมโยงกับหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข และส่งผลสู่ความยังยืนใน 4 มิติอย่างไร  และเน้นย้ำว่า ต้องเป็นกิจกรรมที่ทำและงานนั้นบรรลุผลแล้ว
ผู้อ่านอาจจะสงสัยอยู่ว่า ทำไมจึงต้องถอดบทเรียนเกี่ยวกับสิ่งตนเองทำได้ดี ทำประสบความสำเร็จ หรือบรรลุเป้าหมาย ก็เราถือหลักการว่า  คนทุกคนย่อมพึงพอใจหรือหากจะเล่าอะไรสักเรื่อง ย่อมคิดถึงเรื่องที่ตนเองประสบความสำเร็จ ทำให้มีความสุขในการเล่าหรือพร้อมที่จะเล่าหรือถอดบทเรียนตนเองให้คนอื่นฟังเสมอ  ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ถอดบทเรียนหรือถอดประสบการณ์ที่ตนทำ และเชื่อมโยงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะทำให้ทุกคนเข้าใจว่า  หลักการหรือแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้นแทรกซึมอยู่ในกระบวนการทำงาน  การดำเนินชีวิตของคนเราทุกคน หากใครคนใดคนหนึ่งทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่ครบในหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไขแล้วความสำเร็จค่อนข้างจะไม่บรรลุผลนัก พอทุกคนที่มาร่วมเรียนรู้กับวิธีการของเราแล้วจะเข้าว่าทันทีว่า  หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกระบวนการคิด เป็นวิธีคิด วิธีปฏิบัติอย่างมีหลักการ ก่อนทำสิ่งใดให้ต้องคำนึงถือเหตุผลที่ถูกต้อง  สิ่งนั้นมีความเหมาะสมกับความสามารถ ความรู้
สติปัญญาของตนหรือไม่  เหมาะกับเวลา เหมาะกับโอกาส หรือพอประมาณกับภูมิสังคมหรือเปล่า และที่สำคัญสิ่งที่ทำนั้นไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน   ก่อนทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ วางแผนให้ครอบคลุม เมื่อทำแล้วมีความล้มเหลวหรือผิดพลาดน้อยที่สุดนั้นคือการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี   และเงื่อนไขสำคัญคือ การทำสิ่งนั้นต้องมีความรู้ในเรื่องที่ทำอย่างถูกต้องตามหลักวิชาและหลักศีลธรรม นั่นก็คือผู้ที่ทำต้องมีคุณธรรมกำกับใจตนเองเสมอ พูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก็คือ คุณธรรมเป็นเหมือนหางเสือที่ควบคุมทิศทางการแล่นไปของเรือฉันใด คุณธรรมที่กำกับใจย่อมเป็นคุณธรรมกำกับการกระทำของบุคคลให้ทำภารกิจนั้นสำเร็จฉันนั้น
หากคิดกลับทางหรือมองกลับด้านและตั้งคำถามถามกลับว่า  ภารกิจหรืองานของเราที่ทำมาแล้วไม่บรรลุเป้าหมายที่ตังไว้ หรือพูดให้เข้าใจคือล้มเหลว  เมื่อถอดบทเรียนหรือคิดทบทวนถึงกระบวนการทำที่ผ่านมา สิ่งนั้นขาดหลักการใดในของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาจจะขาดความรู้ความเข้าใจเท่าที่ควรดังนั้นหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ หลักคิด หลักปฏิบัติ หลักในการช่วยตัดสินใจ  ที่ผู้ปฏิบัติควรคำนึงและมีสติกำกับตนเอง ถ้าเราทำสิ่งใดบนหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข นั่นคือเรามีและใช้หลักพอเพียงนั่นเอง และทราบภายหลังต่อมาโรงเรียนที่มาร่วมเรียนรู้กับเชียงขวัญพิทยาคมก็ยกระดับพัฒนาสถานศึกษาของท่านจากโรงเรียนทั่วไปเป็นสถานศึกษาพอเพียง ท่านที่เป็นสถานศึกษาพอเพียงก็ยกระดับขึ้นเป็นสถานศึกษาพอเพียงต้นแบบ และบางโรงเรียนก็พัฒนาได้รับการประเมินรับรองเป็นศูนย์การเรียนรู้  และที่สำคัญโรงเรียนหรือสถานศึกษาเหล่านั้นก็เป็นสถานที่ศึกษาดูงานให้กับพี่น้องโรงเรียนต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง  ดังนั้นท่านจึงเป็นส่วนหนึ่งในการขยายผล ปศพพ. แผ่เป็นวงกว้างออกไป ท่านผู้บริหาร และคุณครูผู้เป็นนักสร้าง สร้างคนดี สร้างคนเก่ง สร้างโรงเรียนเป็นโรงเรียนคุณภาพแผ่ขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด ประดุจดอกปาริชาตเบ่งบาน สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนมนุษย์ ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยทุกคน
ช่วงนี้ขอสรุปว่า วิธีการที่โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม เป็นแหล่งศึกษาดูงานให้กับโรงเรียนที่ต้องการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาด้วยการทำความเข้าใจให้ตรงกันโดยใช้กระบวนการถอดบทเรียน  นำสู่การเรียนการสอนโดยการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงลงในหลักสูตรสถานศึกษา และพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียนด้วยการถอดบทเรียนจากกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเราคิดและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ถือหลักที่ว่า เติมน้ำวันละนิด เติมไปทุกวันน้ำย่อมเต็มแก้ว เต็มตุ่มฉันใด ลูกนักเรียนหรือแม้ตัวเราเฉกเช่นกัน หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นนามธรรมเห็นผลได้ด้วยการนำมาปฏิบัติ จึงจะสัมผัสได้ว่า เป็นปรัชญาที่ทรงคุณค่าหาที่เปรียบมิได้

สมสง่าแห่งความเป็นศูนย์การเรียนรู้ฯ
                             
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา...คือความยั่งยืน ความยั่งยืนจะคงอยู่น่านเท่าไรแค่ไหนนั้นวัดจาก ความสม่ำเสมอของการนำหลักปศพพ. ทั้งด้านการบริหาร การจัดการเรียนการสอน และการส่งเสริมให้นักเรียนนำไปใช้ในการเรียนรู้และชีวิตประจำวันเพื่อเสริมสร้างอุปนิสัยพอเพียง ดังนั้นเส้นทางพัฒนาของสถานศึกษาพอเพียงขั้นที่ 3  คือการก้าวสู่ความเป็นศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
คำโบราณกล่าวไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดได้มาอย่างง่ายดาย  เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าคำกล่าวนี้จริงหรือไม่ สำหรับเชียงขวัญพิทยาคมได้พิสูจน์แล้วว่า คำกล่าวนั้นเป็นความจริง ท่านอาจจะสงสัยเป็นจริงอย่างไรขอนำเสนอกระบวนการของเราเล่าสู่ท่านผู้อ่านดังนี้
สิ่งแรกเราพบว่า การเกาะติด การให้ความสำคัญกิจกรรมโครงการ  การได้รับโอกาสดีจากหน่วยงาน องค์กรที่ท่านดูแลและเป็นผู้ส่งเสริมการขับเคลื่อน อย่างเชียงขวัญพิทยาคมได้รับคือ การได้รับโอกาสและการส่งเสริมจากโครงโครงการวิจัยเศรษฐกิจพอเพียง สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีท่านดร.ปรียานุช  ธรรมปิยา เป็นหัวหน้าโครงการ   สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีท่านรจนา  สินที และนางสาวพิมพ์ชนก  มงคลรัตน์ เลขานุการคณะกรรมการศูนย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง  กระทรวงศึกษาธิการ  ที่ท่านได้เป็นผู้ประสานงานกับโรงเรียนมาโดยตลอด  และมูลนิธิสยามกัมมาจล  ธนาคารไทยพาณิชย์ คุณปิยาภรณ์มัณฑะจิตร  กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล  คุณศศินี  ลิ้มพงษ์  ผู้จัดการโครงการพัฒนาเยาวชนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง  มูลนิธิสยามกัมมาจล  ที่ได้สนับสนุนและเป็นกำลังใจให้โรงเรียนด้วยดีตลอดมา  และองค์กรและหน่วยงาน และบุคคลสำคัญที่กล่าวมา  ได้ร่วมกันขับเคลื่อนและจัดทำโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการที่โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคมได้รับโอกาส  และเราก็ตอบสนองโอกาสที่องค์กรดังกล่าวหยิบยื่นให้ คำว่า  ปฏิเสธ  รอไว้โอกาสหน้า  จึงไม่มีสำหรับเรา   ดังนั้นในการพัฒนาบุคลากรไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร   ครู  และนักเรียน ที่จัดขึ้นโรงเรียนจะส่งครูหรือผู้เกี่ยวข้องเข้าไปเรียนรู้เสมอ เพื่อเป็นการเติมพลังและสร้างความเข้มแข็งให้กับโรงเรียน
สิ่งที่สอง คือ การขยายผล   คือหลังจากที่ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้ารับการอบรมมาแล้ว  ท่านผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์ มีนโยบายคือ ให้ทำการขยายผลสู่เพื่อนครู  เช่น อบรมปฏิบัติการ   นำเสนอ
ในการประชุมประจำเดือน  แล้วแต่โอกาส ดังนั้นจึงเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน และครูทุกคนสามารถพัฒนาตนเองเป็นวิทยากรเต็มตามศักยภาพของแต่ละคนทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
สิ่งที่สาม  คือ การเตรียมความพร้อม  คือบุคลากรต้องเตรียมพร้อม การเตรียมพร้อมของเราคือการนำหลักการของ ปศพพ. ไปประยุกต์ใช้ในงานที่รับผิดชอบ เช่นจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการ  การเรียนการสอนแบบสอดแทรกหลักคิด 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ผ่านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการส่งเสริมให้นักเรียนคิดเชื่อมโยงถึงผลที่จะเกิดขึ้นสู่ 4 มิติ คือด้านวัตถุ  ด้านสังคม  ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านวัฒนธรรม จากที่ครูได้เสริมสร้างหลักคิดสู่นักเรียนทุกสาระการเรียนรู้ และยังให้นักเรียนฝึกคิดทบทวนหรือคิดย้อนกลับถึงกระบวนการเรียนรู้กระบวนการทำงาน ด้วยกระบวนการถอดบทเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างซึมลึก   จึงส่งผลให้ครู นักเรียนเกิดกระบวนการคิดและตัดสินใจที่ยึดหลักพอเพียงในตนเอง ซึ่งเราถือว่าเป็นการพัฒนาทักษะการคิดให้กับบุคลากรของเชียงขวัญพิทยาคม ที่กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นการสร้างความยั่งยืนและการเตรียมพร้อมภายในองค์กรของเรา เพื่อเป้าหมายของโรงเรียนที่จะรับการประเมินเป็นศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา
ในส่วนการมีส่วนร่วมพัฒนาโรงเรียนเครือข่าย  เชียงขวัญพิทยาคมได้รับความไว้วางใจ ได้รับความเชื่อถือ และเชื่อมั่น จากสถาบันการศึกษาทั้งในระดับมหาวิทยาลัย  ระดับโรงเรียน และสถานบันของชุมชนท้องถิ่นในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เพื่อนำไปพัฒนา  เราถือหลักว่าการพัฒนาองค์กรในทุกวันนี้ การสร้างเครือข่ายคือเครื่องมือสำคัญของการพัฒนา   ด้วยความเป็นกัลยาณมิตรทางด้านวิชากร จึงทำให้เราได้รับโอกาสจากสถานบัน  โรงเรียนตั้งแต่ระดับโรงเรียนขนาดใหญ่  จนถึงขนาดเล็กมาร่วมเรียนรู่กับเราและให้เราออกไปเรียนรู้กับโรงเรียนท่าน
จากการเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยกระบวนการวิจัยที่ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทำให้มีความรู้ความเข้าใจหลักคิดยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เรียนรู้วิธีการบูรณาการยิ่งขึ้นเช่นกัน จากผลงานตรงนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ครูทั้ง  4  ท่านนี้ ได้นำสู่เพื่อนครูในโรงเรียนและเพื่อนครูต่างโรงเรียนที่มาเรียนกับเราเอง และการนำเสนอผลงานผ่านตลาดนัดความรู้ที่ทางมูลนิธิฯ จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา และอีกสถาบันหนึ่งที่เป็นหน่วยขับเคลื่อนและพัฒนาครูในการนำ หลัก ปศพพ.สู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคือ  มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เราได้รับการส่งเสริมการพัฒนาครูเกี่ยวกับการการจัดทำแผนการเรียนรู้บูรณาการที่เน้นการจัดการความรู้ด้วยกระบวนการถอดบทเรียนตามหลักปศพพ.  มีท่านอาจารย์อนันต์  แม้นพยัคฆ์ เป็นผู้ประสานงานและมาดูแลโรงเรียนเป็นประจำ ส่วนท่านวิทยากรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเสริสร้างอุปนิสัยพอเพียง และการจัดการความรู้ (Knowledge  Management: KM) โดยเครื่องมือที่เรียกว่า  การถอดบทเรียน หรือถอดประสบการณ์งานที่สำเร็จและภาคภูมิใจ เวทีนี้ โรงเรียนให้ครูแกนนำกลุ่มสาระการเรียนรู้ละ 2 คนเข้าร่วมเรียนรู้  เราจึงมีครูแกนนำจำนวน 16 คน นำความรู้มาใช้และขยายผลเพิ่มขึ้น
ในโอกาสที่ท่านกำลังอ่านเรื่องเล่าเล่มนี้ โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคมจึงขอกราบขอขอบคุณผู้บริหาร  คณะครู  นักเรียน จากโรงเรียนต่างๆ ที่มาร่วมเรียนรู้กับเราและให้เราไปเป็นวิทยากร ทำให้เราได้พัฒนาตนเองเพิ่มศักยภาพความเข้มแข็ง และเราก็ยินดีที่ได้รับโอกาสเหล่านั้นจากท่านทุกโรงเรียนและคิดว่า ดอกปาริชาตคงเบ่งบาน ชูช่อ สมสง่าในใจคนพอเพียงทุกคน 



วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

รูปแบบการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา : โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม (๑)

วันที่ ๒๐-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ทีมขับเคลื่อน ปศพพ. อีสานตอนบน ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล (อาจารย์ศศินี ลิ้มพงศ์  อาจารย์สุจินดา งามวุฒิพร และ คุณสมเกียรติ พุทธิจรุงวงศ์) จัดกิจกรรมเพื่อถอดบทเรียน โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา  เราทำ BAR ไว้ ๓ ประการคือ
  • ถอดบทเรียน "เรียนรู้จากโรงเรียนเชียงขวัญ"
  • เกิดการแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันระหว่างครู และกับวิทยากร 
  • เพื่อประเมินเชิงพัฒนา และวางแผนว่าจะ "เดิน" อย่างไรต่อไป 
เราทำ AAR พบว่า ประสบผลสำเร็จทุกประการ และหลายอย่างเกินความคาดหวัง เสริมพลังของกันและกันได้อย่างดี ... บันทึกนี้ จะนำเอาประสบการณ์จากโรงเรียนเชียงขวัญมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านครับ

ผมเขียนเกี่ยวกับเครื่องมือถอดบทเรียนที่ใช้ในเวทีนี้ไว้ที่ "การถอดบทเรียนด้วยกระดาษ ๙ แผ่น" และเขียนวิธีการประเมินความก้าวหน้าของการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้วยตนเองไว้ที่ "บทบาทครู ๔ ระดับ ในการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา" แนะนำว่า ท่านต้องอ่านทั้งสองบันทึก ก่อนจะอ่านบันทึกนี้ต่อไป

เมื่อเดินทางถึงโรงเรียน ทันทีที่ลงจากรถตู้ ผมเจอคุณครูไพรวัน เป็นท่านแรก ผมถามทันทีว่า ใครเป็นคนเขียนบันทึกเรื่องเล่า ๔ บทแรกที่ส่งมายังทีมขับเคลื่อนฯ  คุณครูไพรวัน ตอบแบบถ่อมตัวว่า "ช่วยๆ กันค่ะ" ผมได้คำตอบแล้วครับ ... ครูไพรวันเขียน แล้วให้ อ.ฉลาด ช่วยตรวจทานอีกที....

บันทึก ๔ ตอนแรก ที่โรงเรียนเชียงขวัญเขียนส่งถึงทีมขับเคลื่อนฯ สำหรับผมแล้ว เป็นบันทึกที่ดีมากๆ ดีที่สุดบันทึกหนึ่งที่ผมเคยอ่านมา (ผมพูดประโยคเหล่านี้ หน้าเวทีก่อนจะเริ่มกิจกรรมด้วย) ดังนั้น จึงน่าจะเป็นโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับทุกโรงเรียนที่กำลังขับเคลื่อนฯ ที่จะเขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ขับเคลื่อนของตนเอง เพื่อแบ่งปันสู่กันและกัน...  ผมจึงขอ "คัด ตัด มาวาง" ผลงานของโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม มาไว้ให้อ่านกันครับ

ตอนที่ ๑ ก้าวสู่การผลัดใบ



ก้าวสู่การผลัดใบ  ก่อนอื่นขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านรู้จักกับโรงเรียนของเราเป็นเบื้องต้น โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม อำเภอเชียงขวัญ  จังหวัดร้อยเอ็ด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ เป็นโรงเรียนสหศึกษารับนักเรียนประเภทไป-กลับ เปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย  โรงเรียนก่อตั้งเมื่อปีการศึกษา 2525 ชื่อเดิมคือ โรงเรียนโพธิ์กลางพิทยาคม ตั้งอยู่บ้านแมด หมู่ที่ 2ตำบลบ้านเขือง อำเภอธวัชบุรี  จังหวัดร้อยเอ็ด  บนเนื้อที่ 48  ไร่  2 งาน  ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2525  ใช้ชื่อในประกาศจัดตั้งว่า โรงเรียนโพธิ์กลางพิทยาคม  เปิดสอนวันแรกเมื่อวันที่ 16  พฤษภาคม  2525  ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 กระทรวงมหาดไทยได้ปรับแยกเขตการปกครองยกฐานะขึ้นเป็น กิ่งอำเภอเชียงขวัญ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่ออำเภอที่ตั้ง  จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น  โรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม  ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2540 เป็นต้นมา
ผู้บริหารท่านแรกคือ  นายอภิชาต  สืบชมพู    ตำแหน่งครูใหญ่ ท่านที่ 2 คือนายทองพูน  โพโสลี     ตำแหน่งผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ ท่านที่ 3 คือนายระวี  ขุณิกากรณ์ ตำแหน่งผู้อำนวยการเชี่ยวชาญและผู้อำนวยการท่านปัจจุบันคือ  ว่าที่ร้อยตรี พรเทพ  โพธิ์พันธุ์  ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ
ย้อนหลังไปเมื่อปีการศึกษา 2550 ซึ่งตอนนั้นเรามีผู้นำคือท่านผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์ ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ เป็นก้าวแรกที่โรงเรียนได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าสู่สถานศึกษา  ในครั้งนั้น โรงเรียนประถมกับโรงเรียนมัธยมอยู่ภายใต้การบริหารเดียวกันคือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. แต่การจัดอบรมการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาครั้งนั้นเป็นการอบรมเฉพาะโรงเรียนที่สังกัดกรมสามัญศึกษาเดิม จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ผู้อำนวยการ  รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้และหัวหน้ากิจกรรมผู้เรียน  โรงเรียนจึงอนุญาตให้บุคลากรดังกล่าวเข้ารับการอบรม  ซึ่งประกอบด้วย นายระวี  ขุณิกากรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียน  นายฉลาด  ปาโส หัวหน้าฝ่ายวิชาการ   นางไพวัน  ปาโส หัวหน้ากลุ่มสาระฯ ภาษาไทย  นายแสน  อนาราช  หัวหน้ากลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์  นายปาจิตร  ศรีสะอาด หัวหน้ากลุ่มสาระฯ คณิตศาสตร์  นายพิชิต ศรีสุนา  หัวหน้ากลุ่มสาระฯ ภาษาต่างประเทศ  นายเชตวัน  สุวรรณศรี หัวหน้ากลุ่มสาระฯ สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม นางเข็ม รุ่งวิสัย หัวหน้ากลุ่มสาระฯ สุขศึกษาพลศึกษา นายกิตติศักดิ์  นาคฤทธิ์ หัวหน้ากลุ่มสาระฯ การงานอาชีพและเทคโนโลยี นายทวีศักดิ์  จันทะคัด หัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นายสุบรรณ  ไชยลาภ  หัวหน้าฝ่ายแผนงาน  การอบรมจัดขึ้นที่โรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น  ร้อยเอ็ด วิทยากร คือ ดร.ปรีชานุช  ธรรมปิยา และคณะวิทยากรจากโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยเพชรบุรี  นำโดย ผู้อำนวยการกัญพิมา  เชื่อมชิต และคณะครูแกนนำ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การอบรมในครั้งนั้นจึงเป็นการเริ่มต้นการเรียนรู้และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าสู่สถานศึกษาเป็นครั้งแรก  จึงทำให้เราได้รู้จักคำว่า “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการศึกษา” และได้เห็นแนวทางเบื้องต้นของคำว่า การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการเกริ่นนำ และ ก่อนพิธีปิดการอบรมในครั้งนั้น พิธีกรคือ ผอ. คำพันธ์  จำนงกิจ ผู้อำนวยการโรงเรียนโพนสูงประชาสรรค์ ขณะนั้นได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เข้ารับการอบรมในครั้งนั้นสมัครเข้ารับการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียง วันนั้นผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์ ได้มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายวิชาการ นายฉลาด  ปาโส สมัครรับการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียง
                หลังจากอบรมผู้อำนวยการได้มอบหมายให้ฝ่ายวิชาการและหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผ่านการอบรม  จัดอบรมขยายผลสู่เพื่อนครูในโรงเรียน  รูปแบบการอบรมเป็นเล่าสู่กันฟังเป็นเสียส่วนมาก เพราะทุกคนก็ยังไม่เข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเท่าไร แต่เราก็มีหนังสือและเอกสารที่ได้จากการอบรมมาเผยแพร่ให้เพื่อนครูได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน  จำได้ว่าในวันอบรมผู้เข้ารับการอบรมเราได้หนังสือเล่มสีเหลืองที่มีปกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานพระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง หนังสือเล่มนั้นจึงเปรียบเสมือนคัมภีร์ของการเรียนรู้ ให้เรารู้จักนิยามและเข้าใจความหมายหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เราจำได้แม่นคือ  3 ห่วง  2 เงื่อนไข  ท่องกันขึ้นใจ  ครูแต่ละคนก็พยามยามจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการตามแบบที่เห็น คือพอประมาณกับเวลา พอดีกับจำนวนนักเรียน เหมาะสมกับเนื้อหา ซึ่งยังไม่ได้ล้ำลึกอะไร และไม่นานก็ถึงวันประเมินซึ่งคณะกรรมการประเมินมาจากเขตตรวจราชการที่ 7  อุดรธานี เป็นการประเมินที่มีความละเอียดมาก ซึ่งท่านผู้อำนวยการและคณะครูก็จัดเตรียมรับการประเมินตามตัวชี้วัดอย่างเต็มที่ เราจัดเตรียมการประเมินที่ห้องโสตทัศนศึกษาวันประเมินผ่านไปซึ่งเป็นช่วงที่เรารอคอยฟังผลว่าจะออกมาเช่นไร  และแล้ววันนั้นก็มาถึง ท่านศึกษานิเทศก์ วิภา  ประราศี โทรมาส่งข่าวว่าโรงเรียนผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียง และให้เตรียมไปรับป้าย
สถานศึกษาพอเพียงที่กรุงเทพฯ  ท่านผู้อำนวยการและคณะครูตื่นเต้นดีใจเพราะเป็นการประเมินที่มีความสำคัญคือเป็นความสำเร็จเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการน้อมนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาสู่การพัฒนาโรงเรียน พัฒนานักเรียนให้รู้จัดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง ซึ่งเป็นวันที่กระทรวงศึกษาธิการให้โรงเรียนที่ผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียงไปรับป้ายสถานศึกษาพอเพียงที่กรุงเทพฯ  โรงเรียนให้ตัวแทนครูเข้าร่วมกับป้าย การไปรับป้ายในครั้งนี้มีท่านผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์  คุณครูฉลาด  ปาโส  คุณครูสุเพียบ  สอนใจ  คุณครูเชตวัน  สุวรรณศรี  คุณครูพิชิต  ศรีสุนา และคุณครูไพวัน  ปาโส  เดินทางไปรับป้ายที่ห้องประชุมบุญยะเกษ  หอประชุมคุรุสภา ในวันที่  9  พฤษภาคม  2551   มีโรงเรียนที่ผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียงทั่วประเทศ จำนวน 135 โรงเรียน  การรับป้ายครั้งนั้นผู้อำนวยการแต่ละโรงเรียนเข้ารับป้ายจาก นายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ  โดยมี คุณหญิงกษมา  วรวรรณ    อยุธยา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมเป็นเกียรติแลมีท่านและแสดงความชื่นชมยินดีกับโรงเรียนที่เข้ารับป้ายในครั้งนี้
เป็น 1 ใน 4 โรงเรียนของจังหวัดร้อยเอ็ด คือ โรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม  โรงเรียนโคกล่ามพิทยาคม โรงเรียนโพนทองวิทยายน และโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม สิ่งแรกที่โรงเรียนได้รับคือ ได้รับความชื่นชมยินดีจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต ๑  ได้รับความยินดีจากโรงเรียนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียนรวมทั้งโรงเรียนในเขตอำเภอเชียงขวัญ  จังหวัดร้อยเอ็ด

บทบาทและการพัฒนาหลังจากได้เป็นสถานศึกษาพอเพียง
สำหรับบทบาทและหน้าที่หลังจากที่โรงเรียนได้รับประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นสถานศึกษาพอเพียง  ผู้อำนวยการ  คณะผู้บริหาร 4 ฝ่าย และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนได้ประชุมและมีมติร่วมกันคือ การสร้างความเข้มแข็งทั้งภายในและภายนอกโดยเฉพาะการนำเข้ากระบวนการจัดการเรียนการสอน  และการขายผลสู่เพื่อนครูลงสู่สถานศึกษาในเครือข่าย 3 ประเด็นนี้คือก้าวต่อไปของเราเชียงขวัญพิทยาคม
การสร้างความเข้มแข็งของครูและบุคลากรคือการส่งเสริมให้ครู นักเรียน ได้เรียนรู้และนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การจัดการเรียนการสอน โรงเรียนได้มอบหมายให้ฝ่ายวิชาการได้ออกแบบการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งเป็นปีแรกของการใช้นโยบายหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ  โดยเฉพาะกับโรงเรียนนำร่องและโรงเรียนที่มีความพร้อม
               โรงเรียนของเราถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังที่ว่า ดังนั้นท่านผู้อำนวยการและฝ่ายบริหารได้ให้ฝ่ายวิชาการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ตามแนวนโยบายของกระทรวงและ สพฐ. และช่วงนั้นหน่วยงานที่ดูแลโรงเรียนคือสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จึงได้มีการจัดอบรมปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้กับโรงเรียน  ผู้ที่เข้าไปรับการอบรมในช่วงนั้นจะเป็น รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ   หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้   และโรงเรียนก็มีแนวปฏิบัติคือผู้ที่ไปรับการอบรมมาแล้วจะต้องขยายผลสู่เพื่อนครู เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน  ตรงนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนในเรื่องหลักสูตร และเป็นจุดพัฒนาของครูผู้สอนในการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบูรณาการสู่การจัดกิจกรรมกาเรียนการสอนมากขึ้น โดยผู้อำนวยการมอบหมายให้กลุ่มสาระการเรียนทุกกลุ่มสาระฯ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างน้อย ๑ รายวิชาที่ตนเองสอน สิ่งเหล่านี้คือการพัฒนาภายในโรงเรียน
รูปแบบวิธีการของการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของเชียงขวัญพิทยาคม เป็นการก้าวเดินแห่งความพร้อมเพียง  และคำนึงถึงการยกระดับของโรงเรียนให้มีความพร้อมทุกด้านอยู่เสมอ ตลอดจนตระหนักถึงการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปให้ถึงชุมชน  ที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อมและพัฒนาโรงเรียนให้พร้อมรับกับการศึกษาดูงาน การเตรียมเป็นวิทยากร และการพัฒนานักเรียนให้เป็นนักเรียนแกนนำ โรงเรียนจึงมีรูปแบบการขับเคลื่อนตามวัตถุประสงค์ “เรียนรู้ให้เข้าใจ   นำไปใช้เกิดผล   ดำรงตนตามหลักพอเพียง” นั่นก็คือหลักการพัฒนาทั้ง ท่านผู้บริหาร   ครู และนักเรียน
               เราต้องขอบอกท่านผู้อ่านก่อนว่า ในเบื้องต้นเราจะมองนิยามของเศรษฐกิจพอเพียงในรูปของการเกษตร   การปลูกพืช  เลี้ยงสัตว์  ปลูกผักสวนครัว  ดังนั้นในเบื้องต้นเราจึงเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านการทำกิจกรรมด้านการเกษตร ให้กับชาวเชียงขวัญพิทยาคม
               นอกจาก ผู้อำนวยการระวี  ขุณิกากรณ์  จะเป็นผู้นำด้านวิชาการแล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านการเกษตร ที่บ้านของท่านจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานเอง และยังเผื่อแผ่สู่เพื่อนครู โดยท่านจะเก็บผัก เช่น ผักบุ้ง  ผักกาด  ผักคะน้า   ฯลฯ มาฝากเสมอ ท่านผู้อำนวยการบอกว่า ท่านได้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตด้วยการลงมือปฏิบัติและเกิดมรรคผล   ท่านจึงเป็นแบบอย่างให้กับครูและนักเรียนเสมอมา
               ในส่วนของครูก็เรียนรู้หลักคิดผ่านการเกษตรเหมือนกัน โดยท่านผู้อำนวยการและฝ่ายบริหารร่วมประชุมปรึกษาหารือกับคณะครูว่า  “โรงเรียนเรามีพื้นที่มากพอที่จะให้นักเรียนทำแปลงเกษตร ประกอบกับพื้นที่ด้านหลังโรงเรียน มีแปลงนา หนองน้ำ เล้าเป็ด เล้าไก่ รวมถึงคอกหมูของงานเกษตร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพอยู่” มติที่ประชุมจึงตกลงกับว่าให้ครูและนักเรียนทำกิจกรรมการเกษตรให้ชื่อว่า  1 ห้อง 1 สวน  ไม่จำกัดว่าจะปลูกพืชผักอะไร แล้วแต่ความเห็นชอบของนักเรียนและครูที่ปรึกษาแต่ละห้อง โดยโรงเรียนส่งเสริมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในเรื่องน้ำ มีการวางระบบเดินท่อน้ำ และนำถังน้ำมัน 200 ลิตร มาวางไว้เป็นจุดๆ  และล้อมรั้วโดยใช้ไม้ไผ่ตีกรอบเป็นแผงยาว วิธีการที่กำหนดว่าใครจะได้ตรงไหนนั้น ก็จัดแบ่งเรียงตามลำดับชั้นเรียน อาณาบริเวณของแปลงเริ่มจากริมสนามโรงเรียนด้านทิศตะวันตกอาคาร 1 ยาวไปตามริมสนามไปทางด้านหน้าโรงเรียน  และอีกส่วนหนึ่งคือด้านทิศตะวันออกของหน้าโรงเรียนที่เป็นส่วนของวิทยาศาสตร์ มีนักเรียนที่เลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กับคุณครูแสน อนาราช       ดูแล  อาจมีคำถามว่าเวลาที่ให้ทำกิจกรรมนี้คือช่วงไหน เวลาที่ใช้ทำกิจกรรมตรงนี้โรงเรียนวางแผนร่วมกันว่าให้มีชั่วโมง ปศพพ.  2 ชั่วโมงต่อกัน  ช่วงโมงแรกปฏิบัติกิจกรรมการเกษตรช่วงโมงสองสรุปผลและถอดบทเรียนกิจกรรมของแต่ละห้อง
เราจึงใส่ผลงานแปลงพืชผักผลไม้ของโรงเรียน  เป็นที่ชื่นชมของเราและผู้มาเยี่ยมเยือน  ตรงนี้ขอถ่ายทอดให้เห็นภาพว่ามีส่วนอะไรบ้าง
สวนทางด้านทิศตะวักตกของอาคาร 2 จะเป็นสวนผัก ผลไม้ตามใจคนปลูกคือนักเรียนกับครู ดังนี้
สวนมะม่วง ของนักเรียน ม. 2/1  คุณครูขวัญสุดา  วิเชียรศรี และคุณครูจันทะวงศ์  คำตอง.
สวนต้นกก  ของนักเรียนชั้นม. 1 คุณคณุนริศรา  บุบผาชาติ
สวนกล้วยน้ำว้า  ของนักเรียนกับคุณครูเชตวัน    สุวรรณศรี
สวนกล้วยน้ำว้า และต้นกกของนักเรียนกับคุณครูถาวร  ศรีมุงคุล
สวนมะพร้าว ของนักเรียนม. 1/1กับคุณครูศุภทรารัชต์  หาอาษา
สวนมะนาว ของนักเรียนชั้น ม.3/1 กับคุณครูเข็ม  รุ่งวิสัย กับคุณครูศรีสง่า  พิพัฒนมงคล
สวนมะนาว ของนักเรียนกับคุณครูธนัญชัย ศรีมุงคุล
สวนตะไคร้  ขนุน  ของนักเรียนม.2/2 กับคุณครูสุวัฒน์ชัย  คุณครูพิชิต  ศรีสุนา
สวนอ้อยดำ  ของนักเรียนชั้น ม.3/2 กับคุณครูทวีศักดิ์  กับคุณครู  เบญจวรรณแสนประกอบ
สวนกล้วยน้ำว้า  ของนักเรียนชั้นม. 3/3 กับคุณครูไพวันปาโส  กับคุณครูกิตติศักดิ์  นาคฤทธิ์
สวนมะพร้าวน้ำหอม  ของนักเรียนกับคุณครูสุเพียบ   สอนใจ
สวนมะพร้าวน้ำหอมของนักเรียนกับคุณครูสุบรรณ  ไชยลาภ และสวนนาผักแขยง  กล้วยน้ำว้า มะละกอ ของนักเรียนชั้นม. 6/1 กับคุณครูแสน อนาราช เป็นต้น 
 สวนการเพาะปลูกพืชผักเหล่านี้เป็นบันไดก้าวแรกของการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  และช่วงนั้นนักเรียนก็ได้เรียนรู้หลักคิดจำได้อย่างแม่นยำคือ 3 ห่วง  2 เงื่อนไข  โดยการท่องจำ  และการถอดบทเรียน  ตอนนั้นยังไม่ลงสู่ 4 มิติและสวนผัก ผลไม้ก็เจริญเติบโตและปัจจุบันยังคงเติบโตพร้อมจะได้ผลิดอกออกผลตามฤดูกาล  เป็นที่ชื่นชมของเจ้าของสวนและผู้ที่ผ่านไปผ่านมา    

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ....