วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ฅนค้นครู (พอเพียง) ๑: ศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดบูรพาราม บ.นกเหาะ ต.ครั่งใหญ๋ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

ช่วยค่ำๆ วันนี้ ผมพบครูรูปหนึ่ง (ท่านคลองเพศสมณะประมาณ ๑๐ พรรษา (ไม่กล้าถาม)) ณ ศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดบูรพาราม บ.นกเหาะ ต.ดงครั่งใหญ่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ต้องขอบพระคุณ(อดีต)กำนันสัมฤทธิ์ ที่ทั้งแนะและนำผมให้ไปกราบท่านถึงที่ จนได้คลิปวีดีโอเหล่านี้มาฝากท่านผู้ชม





ก่อนท่านจะพาเดินชมแบบไว ๆ ดังที่ได้บันทึกและขออนุญาตเพื่อเผยแพร่นี้ ท่านได้บรรยาย "ปริยัติ" หรือทฤษฎีให้กับผมแบบ "ตัวต่อตัว" เกือบชั่วโมงเทียว  ขอถอดความสิ่งที่ท่านตกผลึกเป็นความรู้ "กึ่งสำเร็จรูป" ให้ทุกท่านไปพิจารณา ... เชิญเถิด

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ๕ ประการ ในการทำเกษตรพอเพียง

 ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านสอนเป็นเหมือน "คาถา" ซึ่งหากใครมีศรัทธาสงสัยก็นำไปท่องจำนำไปปฏิบัติได้เลย ใครจะมีทำเกษตรพอเพียงจะต้องมี ๕ อย่างนี้ ไม่มีข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ได้แก่

  • ต้องมีเวลา 
  • ต้องมีแรง
  • ต้องมีความรู้ 
  • ต้องมีปัญญา
  • ต้องมีสังคม 
ขออธิบายความหมายและแนวทางปฏิบัติที่ท่านเล่าให้ฟังดังนี้ครับ 

๑) ต้องมีเวลา

ใครจะทำต้องจริง ๆ  เรียนรู้จริง ๆ  ต้องให้เวลาเต็มที่ เพื่อมาศึกษาวิจัยจากการปฏิบัติ ไม่ใช่ลองผิดลองถูก แต่เป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการควบคุมเงื่อนไข (ท่านไม่ได้ใช้คำว่าตัวแปร) และมีสังเกตผลอย่างเป็นกระบวนการ (ก็คือการวิจัยนั่นเอง) โดยเฉพาะปีแรก ๆ  ... ท่านบอกว่า หลังจาก ๕ ปีก็สบาย 

ท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มาก ๆ ซึ่งเห็นได้จากสิ่งที่ท่านเน้นย้ำกับผมโดยเฉพาะในช่วงตอนก่อนจะจบพลบค่ำวันนี้ว่า ที่ศูนย์ฯ นี้ 
  • ใครจะมาเรียน "ต้องรู้" 
  • ใครจะมาดู "ต้องเห็น" 
  • ใครจะมาทำ "ต้องทำเป็น" 
ท่านเล่าว่าทุก ๆ วันตอนเย็นในการอบรม จะมีการสรุปสะท้อนการเรียนรู้กันว่าได้ผลตรงตามเป้าหมายดังกล่าวนี้ในแต่ละวันหรือไม่... ฟังจากที่กำนันสัมฤทธิ์พูด ในระแวกนี้มีแต่ท่านเท่านั้นที่ทำได้ 

๒) ต้องมีแรง

ต้องมีแรง ต้องทำด้วยตนเอง (ต้องพึ่งตนเอง) เพราะการทำด้วยตนเองจะทำให้ "ทำเป็น" ... การคิดจะทำเกษตรพอเพียงแล้วเอาแต่จ้างคนมาทำจะไม่นำไปสู่ความ "พอเพียง" 

๓) มีความรู้

ความรู้ที่ท่านเน้นย้ำสำหรับเรื่องเกษตร มี ๓ ประการ ได้แก่ 
  • ต้องรู้เรื่องดิน ... จะใส่อะไรลงในดิน รู้หรือยังว่าดินต้องการอะไร ขาดอะไร หลายครั้งที่ชาวบ้านจะเพิ่มความเป็นกรดให้กับดินโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ต้องวัดค่า pH ของดินเสียก่อน)
  • ต้องรู้เรื่องจุลินทรีย์... ไม่ใช่แค่รู้วิธีทำ วิธีหมัก วิธีใช้ แต่ต้องรูลึกถึงเหตุ-ผล รู้ทุกขั้นวัฏจักรของจุลินทรีย์ที่สร้างขึ้น รู้วิธีการใช้อย่างละเอียด ... ผมฟังท่านเล่าตอนนี้ รู้สึกทึ่งสุด ๆ  เหมือนเปิดกระโหลกทีเดียว
  • ต้องรู้เรื่องการดูแลต้นไม้ ... ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการปลูก แต่สำคัญคือเรื่องการดูแลรักษา ท่านบอกว่า "ฉันไม่ได้ออนซอน (ไม่ทึ่ง ไม่ปลื้ม) กับคนปลูกต้นไม้เป็นหมื่นต้น แต่ฉันออนซอน (ภูมิใจ) คนที่สามารถดูแลต้นไม้ให้รอดงามแม้เพียง ๑๐ ต้น ....  
๔) มีปัญญา

ในที่นี้ท่านไม่ได้หมายถึงปัญญาทางธรรมครับ เป็นปัญญาทางโลก ก็คือความฉลาด ความสังเกต ทักษะการคิด การนำความรู้มาประยุกต์ใช้ การค้นหาความรู้ ทักษะการเรียนรู้ และรวมถึงความคิดสร้างสรรค์ด้วย ... หรือก็คือ กระบวนการวิจัยและพัฒนา นั่นเอง 

๕) มีสังคม 

ท่านนิยามคำว่า "สังคม" ด้วยประโยคง่าย ๆ ว่า "...คนคนเดียวไม่ใช่สังคม สังคมเกิดขึ้นเมื่อคนไปเกี่ยวกับคนอื่นหรือสิ่งอื่น..."  ระบบนิเวศก็เป็นสังคมในความหมายของท่าน 

ความรู้ใหม่ในวันนี้สำหรับผม

องค์ความรู้ต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ใหม่ในวันนี้ ประทับใจจึงจำได้ ได้แก่ 
  • สูตรทำให้กล้วยมีมากกว่า ๑๐ หวี ... อยากรู้เปิดคลิปแรกดูอีกทีนะครับ 
  • สูตรปลูกกล้วย ๒ เป้า... จะเอาอะไร 
    • เอาหน่อ ... อย่าขุดหลุม ..."กล้วยไม่มีรากแก้ว".... หรือ 
    • เอาผลผลิต ...ให้ขุดหลุม เลี้ยงด้วยโฮโมนร์ไข่ ๔ ฟอง ๔ ขั้น 
      • เริ่มหมักฮอร์โมนไข่ ๔ ฟอง พร้อมวันที่ปลูกกล้วย 
      • เมื่อกล้วยเข้าวัยหนุ่มสาว (ครบ ๔ เดือน) เดือนที่ ๕ ให้เทฝังฮอร์โมนเป็นหลุมใกล้โคนกล้วย ๑/๓ ส่วน ผสมน้ำ ๑ ถังคุ  ตัดหน่อของมันมากลบบริเวณที่รดฮอร์โมน...ที่เหลือหมักต่อ
      • เข้าเดือนที่ ๖ เอาส่วนที่สอง (๑/๓) มารดในหลุมเดิม ทำเหมือนเดิม
      • เข้าเดือนที่ ๗ เอาส่วนที่เหลือ (๑/๓) มารถในหลุมเดิม 
  • มะละกอกิ่งตอนจะดกและไม่เป็นโรค
  • พริกไทยกิ่งจากไหล (เอาไหลมาต่อยอด) จะดีกว่าพริกไทยที่ปลูกจากต้น 
  • แมลงอยากกินอะไรหากให้เขากิน เขาจะได้ไม่ไปรบกวนพืชที่เราต้องการ 
ขออนุโมทนาสาธุครับ ...  สำหรับผมเหลือแต่ต้องลงมือปฏิบัติและใช้กระบวนการวิจัยสมัยใหม่ไปช่วยท่าน และถอดบทเรียนจากท่านมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์ของมหาชนคนไทยต่อไปครับ 

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"ต้นมะม่วง" และ "ปูทะเล" คืออะไร ตีความด้วยใจบูชา พระมหาชนก (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙)

ผมตั้งคำถามกับนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบ่อย ๆ ว่า "มีใครไม่รู้จักพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนกหรือไม่" ทุกครั้งจะได้คำตอบอันชื่นใจ ไม่มีใครไม่รู้จักเลย ท่านผู้อ่านก็คงเช่นกัน ....  วันนี้โอกาสดี ขอหยิบเอาหนังสือพระราชนิพนธ์ฯ ที่เราต่างก็รู้กันดีนั้น มาศึกษาตีความให้ประเทืองปัญญา เสริมศรัทธา และหนุนความเพียรกันครับ



๑) ทบทวนสิ่งที่ควรคำนึง

ขอเริ่มด้วยการให้ท่านดูภาพและข้อความในบทพระราชนิพนธ์ ต่อไปนี้ครับ



  • ระหว่างทางเสด็จเพื่อทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีมะม่วงสองต้นเขียวชะอุ่ม ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ... ใคร ๆ มิอาจเก็บผลจากต้นนั้นได้ เพราะพระราชายังมิได้เสวย 
  • เมื่อพระมหาชนกเก็บเอาผลหนึ่งเสวย ... พอตั้งอยู่อยู่ที่ปลายพระชิวหา (ลิ้น) ก็ปรากฎดุจโอชารสทิพย์ ทรงคิดว่า "เราจักกินให้มาก เวลากลับ" ก่อนเสด็จสู่อุทยาน 

  • คนอื่น ๆ มีอุปราชเป็นต้นจนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน ฝ่ายคนเหล่าอื่นยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง 
  • เมื่อทรงเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเห็น...เหล่าอามาตย์กราบทูลว่า ใบและวรรณะของมะม่วงต้นหนึ่งไม่สิ้นไปเพราะไม่มีผล แต่อีกต้นหนึ่งถูกโค่นไปเพราะมีผล ทรงดำริว่า "แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล" 
  • ตอนที่เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว...นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง 

๒) สังเกตุและตีความ "เมืองอวิชชา"
  • ลองพิจารณารูปประกอบโดยละเอียด จะพบว่า 

    • ทรงตั้งชื่อเมือง (ที่ผู้คนจาริกอยู่ในโมหภูมิ) ว่า "เมืองอวิชชา" เจ้าเมืองท่าทางเก่งฉลาด รอบรู้วิทยาการ (ใส่แว่น หัวใส) แต่เป็นคนไม่ดี (ลักษณะหน้าตา) กำลังเสพสำราญกับสตรีแสนสวย โดยมีสตรีขับกล่อมดินตรีและเฝ้าปรนนิบัติบริการอย่างดี  
    • มีปราสาทย่อย ๓ หลังชื่อ โลภ โกรธ และหลง 
      • ปราสาทชื่อ "โกรธ" เป็นศาลาเปิดโล่ง (โจ่งแจ้ง) ไม่กลัวใคร บำเรอความสุขของตนอ้วยอิทธิพลและสาวงามมากมาย กำลังยกหูโทรศัพท์คุยสั่งการงานอัปรีย์ไม่ดีทั้งหลาย 
      • ปราสาทชื่อ "โลภ" เป็นศาลาปิดม่านมิดชิด กำลังถ่ายทำหนังลามก แต่เปิดให้เด็ก ๆ  เข้าชมได้
      • ปราสาทชื่อ "หลง" เป็นปราสาทคอนกรีตสองชั้น ชั้นบนมีคนกำลังเสพยาและสมสู่กันเป็นชู้นอน ด้านล่างคุณครูกำลังพาเด็ก ๆ มาศึกษาดูงาน 
    • บริเวณพื้นที่หน้า/กลางลานเมือง มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกำลังเต้นรำ กอดรัด กันอยู่อย่างสนุกสนาน 
    • ในขณะที่คนไทยจำนวนมากกำลังรอคิดแจ้งเหตุ กับ เจ้าหน้าที่ในป้อมยาม 

    • ถัดจากป้อมยามรับแจ้งเหตุ ด้านหลังของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีผู้ใหญ่กำลังเทน้ำเสียและของเสียทิ้งลงแม่น้ำ ในขณะที่เด็ก ๆ ก็กำลังดูเป็นตัวอย่าง... เจ้าหน้าที่มัวแต่ง่วนอยู่กับการรับแจ้งเหตุรายวัน (กำลังคุยโทรศัพท์) จึงไม่ได้คิดเรื่องห้ามการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ 
    • แม่น้ำนั้นมีเด็กส่วนหนึ่งกำลังลงว่ายน้ำเล่น แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่งที่นั่งขับถ่ายลง 
    • ถัดมามีผู้ใหญ่ ๕ คนอยู่บนเรือ คนหนึ่งพายเรือ อีกคนชวนดื่มเหล้า คนหนึ่งกำลังดื่มและเอาท้าวราน้ำด้วย ส่วนอีกสองคนกำลังเล่นดนตรีร้องเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน 
    • ประชาชนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิงผู้ชาย ชาวบ้าน พรมหม์ ต่างช่วยกันกินผลมะม่วง และโค่นผลมะม่วง ทั้งใช้วิธีดึง โน้ม และใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ต้นมะม่วงล้มลงแล้ว 
๓) ฟื้นฟู "ต้นมะม่วง"
  • ทรงดำริว่า ทุกบุคคลจะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น... อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นต้องหาทางฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล 
  • ทรงให้ไปเชิญอุทิจจพราหมณ์มหาศาลให้มาพร้อมด้วยลูกศิษย์สองสามคน ... อุทิจจพราหมณ์มหาศาลมาเข้าเฝ้าพร้อมลูกศิษย์สองคนคือ จารุเตโชพราหมณ์ และ คเชนทรสิงหบัณฑิต 
    • จารุเตโชพรหาหมณ์ เชี่ยวชาญเรื่องการปลูก ... สังเกตว่าเป็นพราหมณ์ น่าจะส่งทรงหมายถึงภูมิปัญหาของไทยใน "บวร" บ้านวัดโรงเรียนอยู่ด้วยกัน 
    • คเชนทรสิงหบัณฑิต เชี่ยวชาญเรื่องการถอน... สังเกตว่าเป็นบัณฑิตผู้รู้วิทยาการ (ต่างประเทศ) คนนี้เองที่เอาเครื่องจักรไปโค่นต้นมะม่วง 
  • เมื่อมาถึงหน้าพระพักตร์ คเชนทรสิงหบัณฑิต ทรุดลงแทบพระบาทของพระราชา แล้วกล่าวว่า "ข้าพระองค์ผิดเอง" ... ผมตีความว่า แม้ขณะนี้ที่ผมกำลังเขียนบันทึกนี้ ก็ยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์นี้เลย นอกจากจะไม่ได้สำนึกผิดแล้ว ยังกล่าวตู่ด้วยความทิฐิมานะ (ดูคลิปนี้นาทีที่ ๗ - ๒๔ เถิด)
  • พระราชาบอกว่า "อย่าโทมนัสไปเลย... บัดนี้ปัญหาคือจะฟื้นฟูต้นมะม่วงได้อย่างไร...เรามีวิธี ๙ อย่างที่อาจจะใช้ได้ ...ดังนี้ (เชิญอ่าน การตีความของ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ได้ที่นี่ครับ ผมสรุปคำสำคัญไว้ในวงเล็บครับ)
    • หนึ่งคือ เพาะเมล็ด ... (การศึกษาของเยาวชน)
    • สองคือ ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ ... (สืบสานและพัฒนาภูมิปัญญา รากเหง้าวัฒนธรรมอันดี)
    • สามคือ ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ.. (บำรุง ส่งเสริมคนดี ให้ได้เติบโต)
    • สี่คือ เอากิ่งดีมาเสียบยอดของกิ่งที่ไม่มีผลให้มีผล ... (ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองคนไม่ดี)
    • ห้าคือ เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น ... (เอาความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ๆ มาใช้)
    • หกคือ เอากิ่งมาทาบกิ่ง ... (รวมพลังคนดี ประสานสามัคคีกัน)
    • เจ็ดคือ ตอนกิ่งให้ออกราก ... (สร้างเสริมคนดีให้มีความเข้มแข็งเพียงพอเพื่อขยายผล)
    • แปดคือ รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล ... (อาจต้องใช้การบังคับให้กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ)
    • เก้าคือ ทำชีวาณูสงเคราะห์ ... (ใช้การเปลี่ยนทัศนคติของสังคมโดยใช้สื่อสารมวลชน)
  • หลังจากพระราชทานแนวพระราชดำริแล้ว ทรงบอกกับอุทิจจพราหมณ์มหาศาลว่า "จงให้พราหมณ์อันเตวาสิกไปพิจารณา" 

๔) ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
  • ทรงตรัสกับพราหมณ์มหาศาลว่า "เราสงวนเรื่องนี้มานานหลายเวลาแล้ว...ก่อนที่คลื่นยักษ์จะมากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกันว่า โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า.."
  • พราหมณ์ทูลว่า "ข้าพระองค์ก็เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่ามีปูทะเลยักษ์ดังนี้หรือไม่" 
  • พระราชาตรัสว่า "มีแน่แท้ หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่า ก็ว่ายข้ามมหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราว ๆ บางครั้งก็รู้สึกได้เหยิบพื้นทะเลได้คล้าย ๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่ ๖ ในจำพวก ๗ บุคคล (ในพระไตรปิฎก อุทกูปมสูตรที่ ๕ )
    • จำพวกที่ ๑ ตกน้ำแล้วจมเลย ...(ทั้งชีวิตประกอบแต่อกุศลกรรม)
    • จำพวกที่ ๒ ตกน้ำ ผุดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วจม ... (มีธรรม แต่ไม่คงที่ ไม่เจริญ เสื่อมไป)
    • จำพวกที่ ๓ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่ ... (มีธรรม ไม่เสื่อม แต่ไม่เจริญ)
    • จำพวกที่ ๔ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ... (พระโสดาบัญ)
    • จำพวกที่ ๕ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ... (พระสกทาคามี)
    • จำพวกที่ ๖ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ... (พระอนาคามี)
    • จำพวกที่ ๗ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่ง ข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพรามหมณ์ยืนอยู่...(พระอรหันต์)
  • นางมณีเมขลา กล่าวว่า "ท่านต้องให้สาธุชนได้รับพร แห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน ถึงกาลอันสมควรท่านจงตั้ง มหาวิชชาลัย" 
  • เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ และทรงเห็นสมควรว่าควรจัดตั้ง "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว 
  • พราหมณ์มหาศาลเห็นพ้องกับพระราชดำริ กล่าวว่า "พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ไว้ใจได้ และจะประดิษฐาน ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี 
  • มิถิลาไม่สิ้นคนดี 
  • วิริยะ(อนุรักษ์+พัฒนา)
  • คุณธรรม(อนุรักษ์ + พัฒนา) 
๕) ผมตีความ

  • ต้นมะม่วง ก็คือ ประเทศไทยของเรานั้นเอง ถ้าเรามุ่งพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่มีความเจริญอย่างมาก (เจริญทางโลก) โดยที่คนในประเทศไม่มีปัญญา หลงอยู่ใน "โมหภูมิ" ประเทศเราก็จะกลายเป็น "เมืองอวิชชา" ที่มากด้วยโลภโกรธหลง ดังเช่นประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ทั่วโลก ที่กำลังมุ่งไปสู่สงคราม การยื้อแย่งทำลายล้างกัน ... ผมว่าประเทศเราถล่ำลงไปกว่าครึ่งตัวแล้ว
  • พราหมณ์มหาศาล ก็คือ องคมนตรี 
  • ปูทะเล คือ มรรคมีองค์ ๘ (ปูมีแปดขา)
  • ทรงสอนให้คนไทย ไม่ทิ้งวัด ไม่ทิ้งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
  • ต้นเหตุของการทำลายประเทศนี้คือ "โลภ โกรธ และ หลง" 
    • โลภ คือ โลภอย่างมาก อยากจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย จึงอยากเป็นเสือตัวที่ห้า พาประเทศเข้าสู่การเป็นทุนนิยมเสรี ทุนนิยมสมัยใหม่เต็มตัว .... ทรงสอนเรื่อง "ความพอประมาณ" เพื่อจัดการกับความโลภ 
    • โกรธ คือ ขาดเหตุผล ขาดความรอบคอบ ยึดถือตัวตน เอาต้นเป็นใหญ่ อิทธิพล อำนาจ บังคับ ทะเลาะ ขัดแย้ง สงคราม .... ส่งสอนเรื่อง เหตุผลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง 
    • หลง คือ การตกอยู่ในโมหภูมิ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร ไม่รอบรู้ ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ศักยภาพของตนเอง ไม่รู้วิชา ไม่มีความรู้ ทำอะไรขาดความระมัดระวัง ... ทรงสอนเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันในตนที่ดี 

  • นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง 
    • คนรักษาม้า คือ เกษตรกร ชาวบ้าน ประชาชน
    • อุปราช คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม 
    • อามาตย์ คือ ข้าราชการ 
ผมอ่านพระราชนิพนธ์พระมหาชนกรอบนี้ ด้วยความสุข และสนุกที่ได้ประเทืองปัญญาตนเองอย่างยิ่ง ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองศึกษาดูด้วยตนเองเถิดครับ 

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"บันได ๓ ขั้น สู่การเป็นมหาวิทยลัยที่พึ่งของชุมชนรอบมหาวิทยาลัย"

ขณะนี้สำนักศึกษาทั่วไป กำลังคิดเรื่องการปลูกจิตสำนึกการเป็นที่พึ่งของชุมชนและสังคมผ่านการจัดการเรียนรู้รายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน สำหรับภาคการศึกษาที่ ๒-๒๕๖๑ ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราคิดกันอยู่ ๓ เรื่องซึ่งเป็นปัญหาหลักและปัญหาหนักอกสำหรับครูอาจารย์ทุกคน ได้แก่
  • ๑) ปัญหาขยะ เป็นข้อสรุปยุติแล้วว่า สาเหตุสำคัญคือจิตสำนึกของคน โดยเฉพาะประชากรแฝงกว่า ๕๐,๐๐๐ คน ที่อาศัยอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัย (อ่านความทุกข์ของเทศบาลท่าขอนยางที่นี่)  
  • ๒) ปัญหาน้ำเสีย เรื่องนี้กำลังจะส่งผลวิกฤตต่อเกษตรกรชาวนาที่น้ำเสียจากชุมชนรอบมหาวิทยาลัยไหลผ่านไปที่นาตามลำรางต่างๆ (ผมเคยศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังแลเขียนไว้ที่นี่) และ 
  • ๓) ปัญหาด้านจราจร อุบัติเหตุ ผู้รับทุกข์เรื่องนี้มากที่สุดคือนิสิตและผู้ปกครองของนิสิต 
ทั้ง ๓ ประเด็นนี้ต้องแก้ไขไปพร้อมๆ กัน และบางอันไม่สามารถจะแก้ไขได้แบบตรงๆ ต้องแก้ที่ต้นเหตุแบบไกลๆ  ... เหมือนกับที่ในหลวง ร.๙ แก้ปัญหาเรื่องการปลูกฝิ่นด้วยโครงการหลวง ... อย่างนั้นเลย 

ผมขอเสนอบันได ๕ ขั้นเพื่อการแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อข้างต้นอย่างยั่งยืน ดังจะอธิบายพอสังเขป ดังนี้

ขั้นที่ ๑ พอกิน 

เป้าหมายคือ ทำให้ชุมชนรอบมหาวิทยาลัย "พอกิน"  มีกินและได้กินอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ราคาไม่แพง 

จากการสำรวจสอบถามตามร้านค้า ร้านอาหาร ต่างๆ รอบ ๆ มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากตลาดกลางในเมือง พืชผักส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกในพื้นที่แต่ถูกขนมาจากระยะไกล้  แม้ว่าในพื้นที่จะมีลำน้ำชีและที่เพาะปลูกอย่างเพียงพอ และที่สำคัญ ไม่ใช่อาหารปลอดสารพิษ รับประกันไม่ได้ว่าอาหารที่นิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัยกินทุกวันนั้นปลอดภัยหรือไม่เพียงใด 

วิธีการก้าวผ่านบันไดขั้นนี้ 
  • สร้างพื้นที่และเปิดพื้นที่ให้ร้านอาหาร ข้าวแกง อาหารตามสั่ง เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ไม่เฉพาะบริเวณตลาดน้อย แต่บริเวณข้างอาคารของแต่ละคณะ ซึ่งหลายๆ คณะได้ดำเนินการแล้ว เช่น สถาปัตย์ วิทยาศาสตร์ บัญชีฯ เป็นต้น  ซึ่งจะทำให้
    • นิสิตไม่ต้องขับรถออกไปกินข้าวข้างนอก  
    • นิสิตมีเวลาเพียงพอที่จะทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ไปซื้อลูกชิ้น หมูปิ้ง ฯลฯ 
    • มหาวิทยาลัยอาจได้รายได้เพิ่มในการให้เช่า (เบื้องต้นไม่แนะนำให้จัดเก็บ แต่ให้ควบคุมราคาและคุณภาพให้ ถูกกว่า และดีกว่าการออกไปกินข้างนอก และดีคุ้มค่ากว่าการกินอาหารฟาสฟู๊ดในราย 7-11)
  • พัฒนา (อบรม) ผู้ประกอบการร้านอาหารเหล่านี้ที่เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยทั้งหมด ให้จัดการเรื่องขยะตามแนวทางของมหาวิทยาลัย  หากไม่สามารถจัดการได้ตามมาตรฐาน ต้องถูกระงับพื้นที่การขาย (อาจมีมาตรการหลายระดับ ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง)
    • ร่วมกันร่างข้อกำหนดและแนวปฏิบัติต่างๆ ในการจัดการขยะ การลดขยะ ความสะอาด ฯลฯ
    • การใช้วัตถุดิบสะอาด ปลอดสารพิษ โดยเฉพาะผลผลิตที่สะอาดที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ส่งเสริมและผลิต 
  • ออกสำรวจพื้นที่เพาะปลูกและรับสมัครเกษตรเข้าร่วมโครงการผลิตอาหารปลอดภัยให้ลูกหลานในมหาวิทยาลัยของเรากิน  ให้คณะที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พาทำ พาชาวบ้านเพาะปลูกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะชมชนที่มีศักยภาพในพื้นที่เขตชลประทานต่างๆ เช่น ริมชี ข้างหนองคูขาด เป็นต้น ...  ข้อนี้ต้องใช้กำลังใจ ความเพียร สติปัญญา และความสามัคคีร่วมมือกันระหว่างหลักสูตรและสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 
  • ประกาศให้มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยอาหารสะอาด เมื่อพร้อม เพื่อกำลังผลิตสมดุล และสามารถควบคุมความปลอดภัยของการผลิต การแปรรูป และการขายอาหารในมหาวิทยาลัยได้ สำนักศึกษาทั่วไปรับผิดชอบสื่อสารไปยังนิสิตในทุกชั้นเรียน
ขั้นที่ ๒ พอใช้

เป้าหมายคือ ทำให้นิสิต บุคลากร และชาวบ้านในชุมชนรอบๆ มหาวิทยาลัย มีวินัยและใส่ใจในการใช้สิ่งของต่าง ๆ คือ ใช้เป็น ใช้แบบประหยัด และรับผิดชอบในการใช้สิ่งของต่าง ๆ  ต้องไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดมลภาวะใด ๆ สร้างสังคมไร้ขยะขึ้น โดยมุ่งส่งเสริมหรือสนับสนุนให้นิสิต และชุมชน สร้างผลิตภัณฑ์ปลอดภัย มาขายในราคาถูกในมหาวิทยาลัย เช่น 
  • เศษอาหารจากร้านอาหารและเศษใบไม้ใบหญ้าที่ตัดมาจำนวนมากนั้น ให้นำไปทำปุ๋ยหมัก เพื่อทำดินปลูก มาจำหน่ายราคาถูกภายในมหาวิทยาลัย 
  • ลดการใช้พลาสติกอย่างจริงจัง 
  • คัดแยกขยะอย่างจริงจัง ใช้กลไกของกิจกรรมในหลักสูตร โดยเฉพาะรายวิชาศึกษาทั่วไป ขับเคลื่อนให้นิสิตทุกคนคัดแยกขยะอย่างจริงจัง 
  • สร้างคลังหรือตลาดเปิดเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ามือสองของนิสิต 
    • จะสังเกตว่านิสิตชั้นปี ๔ ทิ้งสิ่งของใช้จำนวนมาก หรือจำเป็นต้องขนกลับบ้าน ส่วนนิสิตใหม่ชั้นปีหนึ่ง ก็ต้องหาซื้อของใช้ราคาแพงจำนวนมาก 
    • หากมหาวิทยาลัยทำตลาดหรือโกดังขายสินค้ามือสองแบบพี่-น้อง จะทำให้เกิดพลังหมุนเวียน แลกเปลี่ยน ซื้อขาย สิ่งของต่างๆ เช่น เฟอร์นีเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ 
    • ว่าที่บัณฑิตจะมีรายได้ นิสิตใหม่จะประหยัดรายจ่าย 
    • จะลดปริมาณขยะลงไปไม่น้อยเทียว
  • แต่ละคณะที่มีความถนัดในการผลิต ส่งเสริมให้นิสิตผลิตสินค้าออกขายให้คนภายในมหาวิทยาลัยกันเองในราคาเป็นธรรม เช่น นิสิตเอกโภชนาการขายอาหารปลอดภัย นิสิตเกษตรขายผลิตผลทางการเกษตร  ฯลฯ  อาจเรียกว่า "๑ หลักสูตร ๑ ผลิตภัณฑ์" หรือ " ๑ หลักสูตร ๑ นวัตกรรม" 
ขั้นที่ ๓ พออยู่

เป้าหมายคือการสร้างชุมชนและสังคมที่น่าอยู่ คงความดีของสังคมไทยในอดีตกลับมาให้มากที่สุด เช่น ความเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน วัฒนธรรมครอบครัวใหญ่ ทำนุบำรุงประเพณีวัฒนธรรมที่แท้จริงกลับมา เช่น 
  • จัดทำโครงการ "ลูกฮัก พักบ้านพ่อ-แม่"  ให้ร่วมกันกับชุมชนที่มีบ้านที่อยู่อาศัยพร้อมในกว่า ๕๐ หมู่บ้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัย จัดให้นิสิตที่เรียนดี ขาดแคลน รักดี ไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติดใด ๆ เข้าอยู่อาศัยเป็น "ลูกฮัก" (ลูกบุญธรรม) ของพ่อฮักแม่ฮัก  ชดเชยการจากไปของลูกแท้ๆ ที่ต้องจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัด  โดยต้องช่วยดูแลท่านเหมือนดูแลพ่อแม่ ช่วยทำงานบ้าน ช่วยทำงานการเกษตรเสาร์-อาทิตย์หรือตามสมควร  โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านใด ๆ เหมือนอยู่ในบ้านตนเอง  ซึ่งในวันเปิดตัว อาจมีพิธีกรรมสัญญา-สาบานกันตามสมควร 
  • สร้างหลักสูตรสร้างคนเกษตรพอเพียง (อาจจะใช้ชื่อใดก็ได้) โดยดำเนินการดังนี้ 
    • ค้นหาและถอดบทเรียนอาจารย์หรือบุคลากรมหวาวิทยาลัยที่เป็นคน "พอเพียง" ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพร้อมที่จะรับนิสิตเข้าศึกษาในแปลงเกษตรหรือฟาร์มของท่าน  สร้างเป็นฐานการเรียนรู้ระดับเชี่ยวชาญ
    • เปิดหลักสูตรระยะ ๒ ปี ๓ ปี หรือ ๔ ปี  สามารถเปิดได้หลากหลายแบบ ตัวเช่น กรณี ๔ ปี ให้ 
      • ปี ๑ เรียนวิชาพื้นฐาน และกระบวนการเรียนรู้ ให้เข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 
      • ปี ๒ ส่งไปอยู่เรียนรู้แบบฤาษี (เรียนแบบฝึกช่าง) คือไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ที่รับเป็นครูฝึก ให้เชี่ยวชาญเรื่อง พืช 
      • ปี ๓ ส่งไปอยู่เรียนแบบฤาษีให้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ (อาจเลือกตามความสนใจ)
      • ปี ๔ กลับมาเรียนแบบเสวนา สัมมนา และแลกเปลี่ยน เน้นไปที่การสหกรณ์ กระบวนการภาคประชาสังคม และการตลาด
    • ฯลฯ 
  • พัฒนาสำนักงานหอพักของมหาวิทยาลัยให้ดูแลนิสิตของมหาวิทยาลัยให้มากที่สุด  โดยใช้วิธีการสร้างระบบหอพักเครือข่ายให้เข้มแข็ง  
    • หอพักที่จะรับนิสิตของมหาวิทยาลัยได้ ต้องเป็นหอพักเครือข่าย  โดยอาจมีมาตรฐานของหอพักเครือข่ายระดับต่าง ๆ ให้ผู้ปกครองสามารถเลือกได้ เช่น 
      • หอพักระดับ ก. คือหอพักแยกชายหญิงชัดเจน อย่างเข้มงวด มีกล้องวงจรปิด เช่นดัง หอพักใน ของมหาวิทยาลัย 
      • หอพักระดับ ข. คือหอพักแยกชายหญิงชัดเจน แต่ไม่เข้มงวด ... มีอยู่ดาดเดื่อนตอนนี้ 
      • บ้านเช่าหรือบ้านพักแบบที่นิสิตอยู่รวมกันหลายคน 
      • ฯลฯ  
    • หอพักที่จะรับนิสิตต้องมีการจัดการขยะที่ดี ต้องจัดการน้ำเสียได้มาตรฐาน หากหอพักใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการใดๆ ที่มหาวิทยาลัยกำหนด จะมีการแจ้งข้อมูลและเตือนไปยังผู้ปกครอง หรือประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน 
    • ฯลฯ
  • ฯลฯ
ขั้นที่ ๔ พอเพียง

เมื่อขับเคลื่อนไปได้ใกล้เคียงกับการพอกิน พอใช้ และพออยู่แล้ว มหาวิทยลัยของได้ใจนิสิต ได้ใจชาวบ้านรอบมหาวิทยาลัยพอสมควรแล้ว ๓ ขั้นแรกนั้นเป็นเหมือนการทำให้ดู ทำเป็นแบบอย่าง และเป็นเหมือนการให้ใจ ผลก็คือการได้ใจกลับมานั่นเอง

เมื่อให้ใจ ก็จะตั้งใจฟัง และเชื่อฟังมหาวิทยาลัย ถึงเวลาเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ชุมชนอย่างเต็มกำลัง  สิ่งที่ควรทำคือ จัดตั้งสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นในมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่ดังนี้คือ

  • จัดการความรู้เรื่อง พอกิน พอใช้ พออยู่ 
  • พัฒนานิสิตและบุคลากร ให้ระเบิดจากข้างใน เข้าใจเรื่องความพอเพียงอย่างถูกต้อง จนสามารถถ่ายทอดได้ 
  • ผลิตบัณฑิตด้วยหลักสูตรต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง และขยายผลอย่างเป็นระบบ
  • วัดผลและประเมินผลกระทบต่อชุมชนและสังคม
ขั้นที่ ๕ พอพึ่งพา

เป้าหมายคือ การก้าวสู่การสร้างปรัชญาของมหาวิทยาลัยที่เป็นนามธรรม คือ "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" ให้เป็นรูปธรรมโดยเปลี่ยนมหาวิทยาลัยไปสู่ "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมและชุมชน" (Social Engagement University) โดยดำเนินการดังนี้
  • มอบหมายให้รองอธิการท่านหนึ่งรับผิดชอบด้านนี้โดยตรง  
  • แต่งตั้งประธานหลักสูตรเป็นกรรมการรับผิดชอบดูแลขับเคลื่อนเรื่องนี้จริงจัง โดยปรับพันธกิจหลักด้วยมุมมองใหม่ (รายละเอียดอ่านบันทึกถอดบทเรียนจากการฟัง ศ.นพ.วิจารณ์ ที่นี่)
  • สร้างทีมกระบวนกรหรือคุณอำนวย (Facilitator) เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างบูรณาการ ๕ ภาคส่วนได้แก่
    • มหาวิทยาลัย
    • ภาครัฐ หน่วยงานรัฐ
    • ภาคประชาชน ประชาสังคม 
    • ภาคเอกชน 
    • สื่อสารมวลชน 
  • สร้างระบบและกลไกการขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น งบประมาณ บุคลากร ฯลฯ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน
  • ประเมินผลกระทบ วิจัย และพัฒนากระบวนการขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคม" 

ถึงตรงนี้ ... ผมขอสะกิดตนเองให้ตื่นมาพบกับความจริงของชีวิต ด้วยจิตที่ปล่อยวาง ... เชียร์อยู่ห่าง ๆ ต่อไปครับ..  คิดใหญ่ทำเล็กเสมอ....

ดูเหมือนบันได ๕ ขั้นนี้ จะไม่เกี่ยวกับปัญหา น้ำเสีย ขยะ และจราจร  แต่ความจริงเกี่ยวโดยตรง เพราะแท้จริงแล้วสาเหตุของปัญหาทั้งสามมาจากจิตสำนึก คนพอเพียงซึ่งมีจิตสำนึกของความรู้+ความดี จะทำให้ปัญหาทั้งสามอย่างค่อย ๆ หายไปเอง (อ่านสมการความพอเพียงที่นี่)

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ในหลวง ร.๙ ทรงบอกว่า "...ให้ทำแบบคนจน ให้อยู่แบบคนจน..." การศึกษาแบบคนจนเป็นอย่างไร เพิ่งจะเข้าใจวันนี้

ผมสงสัยมานานว่า ทำไม อ.ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ต้องเริ่มสอนทฤษฎีตอนตี ๕ ออกเรียนภาคปฏิบัติตอนมองเห็นลายฝ่ามือ... แต่คลิปที่ฟังมาทั้งหมดท่านไม่ได้บอกไว้ วันนี้เจอคลิปที่ท่านพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนยิ่งนัก ... ท่านใดใคร่ดูเองเชิญเถิดครับ ... แต่หากชอบอ่านเลื่อนผ่านไปเลยครับ



เกริ่นก่อน (สิ่งที่ผมเพิ่งจะเข้าใจเป็นครั้งแรก)

  • เพิ่งเข้าใจว่า ทำไมการศึกษาไทยสมัยใหม่จึงล้มเหลว ล้มเหลวในที่นี้ หมายถึง การศึกษาสมัยนี้ทำให้คนทิ้งถิ่น ทิ้งบ้านทิ้งเรือน 
  • เพิ่งเข้าใจว่า "คนจนเขาทำงานแบบไหน" ทั้งๆ ที่ผมเองก็ผ่านความยากจนแบบนั้นมากด้วยตนเอง แค่ฟังท่านพูด ภาพในอดีตทั้งหลายมันรวมลงในใจผมว่า ใช่ ใช่เลย ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็สอนแบบนี้... ผมลืมคำสอนของท่านไปนานกี่ปีเนี่ย
  • เพิ่งจะเข้าใจว่า หนังสือพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" ตีความว่า "ต้นมะม่วง" ก็คือ "ประเทศไทย" ... ในใจมีเสียงกังวาลว่า ...อ้อ...เข้าใจแล้ว 
การศึกษาแบบคนจน-คนรวย
  • คนจนตั้งตนอยู่ในความลำบาก (ฝืนกิเลส) กุศลจึงเจริญ  ผู้คนจึงใจดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ... แต่การศึกษาในปัจจุบัน สอนให้นิสิตนักศึกษา ตั้งตนอยู่ในความสบาย (ตามใจกิเลส) สังคมจึงเสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด 
  • คนจนตื่นตี ๔ เริ่มเรียนรู้และทำงานตอนตี ๕ นอนเร็ว ตื่นเช้า เข้าวัดวันโกณวันพระ แต่การศึกษาสมัยใหม่ ทำให้คน ตื่นสาย นอนดึก เที่ยวกลางคืน ไม่เข้าวัด หยุดเสาอาทิตย์ 
  • การศึกษาแบบคนรวย(แบบทุนนิยม) ทำให้คนทิ้งถิ่น ยิ่งเก่งยิ่งทิ้งชุมชนเร็ว ใครเก่งที่สุดจะถูกส่งเสริมให้ทิ้งบ้านเข้าเมือง เมื่อสำเร็จการศึกษาได้ทำงานที่ตั้งตนอยู่ในความสบาย หาเงินเพื่อซื้อความสบาย นำเงินซื้อความสบายให้พ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน .... จึงกระตุ้นให้คืนอื่นๆ เกิดกิเลสอยากสบายและมีหน้าตาเป็นเจ้าเป็นนายบ้าง จึงแห่กันทิ้งบ้านทิ้งเรือนเข้ากรุงมุ่งหาเงินซื้อข้าวกิน (ทั้งที่ตนเองปลูกกินเองได้) ... จนเป็นที่มาของหนี้สินและความจน(จริง)
  • คนที่เคยสบายแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะกลับไปลำบาก(กาย) ยิ่งเด็กรุ่นหลังที่ไม่ได้รับการปลูกฝังให้ผ่านการตั้งตนอยู่ในความยากลำบากกับชีวิต "แบบคนจน" เลย จึงไม่มีทางที่การศึกษาแบบคนรวย จะทำให้คนกลับไปอยู่บ้านเกิดภูมิลำเนาของตนเอง 
การศึกษาแบบคนจน

  • คือการศึกษาบนฐานชีวิตจริงๆ ของชาวบ้าน  มีลำดับขั้นการศึกษาพัฒนา ๓ ขั้นตอน คือ 
    • การศึกษาเพื่อให้เป็นผู้มีวินัย มีคุณธรรม ... เป็นคนดี มีสัมมาสามัญสำนึก
    • การศึกษาเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพ ทำมาหากินได้ (สัมมาอาชีวะ) ... พึ่งตนเอง
    • การศึกษาให้เกิดความเชี่ยวชาญ เป็นปราชญ์ เป็นครู พัฒนาต่อยอดหรือสร้างภูมิปัญญา และสอนลูกหลานต่อไป ...แบ่งปัน ช่วยเหลือคนอื่นได้ 
  • วิธีการศึกษาแบบคนจน ควรจะ 
    • ฝึกให้ชินกับการฝืนกิเลส รู้จักกิเลส เอาชนะกิเลส โดยการสร้างปัญญาในตนเอง  เช่น 
      • สอนให้รู้จักศีล เบญจศีล เบญจธรรม 
      • ตื่นเช้า (กิเลสชอบนอนตื่นสาย)  เพียรทำงานหนัก (กิเลสชอบสบาย) ขยัน (กิเลสชอบขี้เกียจ) 
      • ฝึกวินัยในทุกกิจกรรม ทุกกิจวัตร ทุกอริยาบท (ปูพื้นไปสู่การปฏิบัติธรรม เจริญสติ เจริญปัญญาภายใน) ตั้งแต่เท้าถึงเส้นผม ตั้งแต่รองเท้าถึงหมวก ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ 
      • เข้าวัด ฟังธรรมะ เสียสละ ทำเพื่อสวนรวม ผ่านกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ พร้อมๆ กับการรักษาและทำนุวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษ  (บวร บ้าน วัด โรงเรียน)
    •  ฝึกให้รู้สึกปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดำเนินชีวิตและพัฒนาชีวิตตามลำดับขั้นด้วยความรู้และความดี  
      • พอกิน
      • พอใช้
      • พออยู่
      • พอร่มเย็น
      • สั่งสมบุญ เริ่มจากการดูแลตอบแทนบุญคุณ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ญาติ มิตร สหาย และผู้มีพระคุณทั้งหลาย 
      • ทำทาน อามิสทาน อภัยทาน ธรรมทาน ฯลฯ 
      • ขาย ค้าขายแลกเปลี่ยน ขยายความความสุขความสำเร็จให้เจริญขึ้น 
      • ร่วมตัวกันสร้างเครือข่าย สู่ความสามัคคี พอเพียง มั่งคั่ง ยั่งยืน 
อ.ยักษ์ท่านบอกว่า ... พูดแบบนี้มาก็นานแล้ว แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยใดทำเลย....ผมเอาเรื่องนี้มาคุยกับน้อง ๆ ที่ทำงาน  น้องอาจารย์บอกว่า  ยากมากนะครับ

ผมยอมรับว่า เพิ่งจะเข้าใจก็คราวนี้เองว่า ที่ในหลวง ร.๙ ทรงตรัสว่า "ให้ทำแบบคนจน"  นั้น สำหรับด้านการศึกษาเป็นแบบนี้เอง 

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

จับประเด็น "แท้จริงแล้วมีพระราชประสงค์อะไรกันแน่ ที่ทรงตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำรัส"

วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๐ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ไปเยี่ยมศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ฉะเชิงเทรา  ท่านฝากงานกับ ผอ.ศูนย์ฯ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และผู้มาร่วม ให้ไป ตั้งหลักทบทวนกันให้ดีว่า "แท้จริงแล้วมีพระราชประสงค์อะไรกันแน่ ที่ทรงตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำรัส" ใครเก่งใครรู้ให้ไปเชิญมาคุยกันให้ได้คำตอบ ให้ได้ข้อสรุปออกมา เพื่อนำมาเป็นแนวทางการต่อไป ... แล้วท่านก็เริ่มบรรยายต่อไป ... ผมจับเอาคำที่ท่านบรรยายมาตีความเป็นคำตอบของคำถามนี้  แล้วเขียนเก็บไว้ในบันทึกนี้ 





เกริ่นก่อนตอบ (ผมตีความ จากการฟังคลิป อ.ยักษ์)

  • ดร.เดวิท ร๊อคกี้ เฟลเลอร์ มีส่วนสำคัญมากๆ กับ ระบบเศรษฐกิจ(ทุนนิยม) และระบบการศึกษา (แบบทิ้งบ้าน หาเงิน) ที่เป็นอยู่ขณะนี้ โดยเริ่มต้นจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง (ท่านผู้อ่านรู้ไหมครับ)
  • ช่วงเริ่มต้น สถาบันแห่งนั้น เป็นเหมือน "ศูนย์ศึกษาการพัฒนา" ที่ในหลวง ร.๙ ทรงมีพระราชดำริ ที่จะพัฒนาโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง....อ่านต่อไปครับ
  • ต่อมา อ.ยักษ์ ได้เข้าเรียนในสถาบันดังกล่าว  และถูกชวนให้ไปสอนวิชาเกี่ยวกับศาสตร์การพัฒนาประเทศ ซึ่ง อ.ยักษ์ ได้นำเอาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสอน
  • ต่อมามีนิสิตมาลงทะเบียนเรียนจำนวนมาก จนรายวิชาอื่นไม่มีผู้ลงทะเบียน ... อาจารย์มาบอกว่า ให้ อ.ยักษ์ เลิกสอน ด้วยเหตุบางประการที่ท่านปิดไว้ด้วยประโยคว่า "... ถ้าสอนต่อไป อาจารย์จะไม่ได้เงินเดือนขึ้น"  .....    ผมตีความว่า 
    • มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ไม่ให้สอน ... เพราะแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ อ.ยักษ์ เรียนรู้จากในหลวงฯ แล้วเอาไปสอนนั้น สวนทางกับแนวทางการขับเคลื่อนระบบทุนนิยมในประเทศไทยของ ดร.เดวิท ร๊อคกี้เฟลเลอร์ 

ตอบ (ผมตีความ)
ศึกษามาถึงตรงนี้ ผมมีความเชื่อว่า (คนวงในเท่านั้นจะตอบได้ วาสนาน้อยอย่างเรา ขอบังอาจเดาว่า)
  • ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างศูนย์ศึกษาการพัฒนา เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ "สังคมเศรษฐกิจพอเพียง"  ไม่ใช่ "สังคมเศรษฐกิจทุนนิยม" เหมือนที่ ดร.เดวิท ร็อคกี้เฟลเลอร์ทำที่สถาบันแห่งนั้น และไม่ใช่ "เศรษฐกิจสังคมนิยม" เหมือนระบบคอมมูนิสท์  
  • หรือตอบสั้นๆ ด้วยภาษาที่ทรงใช้บ่อยๆ ว่า   นำพาประเทศไปสู่สังคม "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ใช่ "เศรษฐกิจตาโต" หรือ "เศรษฐกิจหลังเขา" 
  • ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่พอเพียง มั่งคั่ง และยั่งยืน ไ่ม่ส่งผลเสียต่อคนส่วนใหญ่และทรัพยกากรสิ่งแวดล้อมในโลก 
  • ขณะนี้พระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญ 
    • มีการตั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs)  
    • ยกย่องว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือศาสตร์แห่งการพัฒนามนุษย์สู่ความยั่งยืน 
    • กำนดให้วันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก 
    • ฯลฯ

ความรู้เพิ่มเติมที่ต้องเข้าใจ (ผมตีความ จากการฟังคลิป อ.ยักษ์)
  • ทรงตั้งใจและจงใจแปลคำว่า "Sufficiency" เป็น "พอเพียง" ผิดจากคำแปลในพจนาณุกรมซึ่งแปลว่า "พึ่งตนเอง" ... อ.ยักษ์ ตีความว่า เพราะทรงจะป้องกันไม่ให้ฝรั่งหรือใครๆ ที่เข้าใจแบบฝรั่ง เข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็น เศรษฐกิจหลังเขา หรือเศรษฐกิจสมัยหิน 
  • ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งแรกของโลก 
  • ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพีย คือ ปรัชญาในการพัฒนาคน 
  • ทั่วโลกยกย่องว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคือ ศาสตร์แห่งการพัฒนาคน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (สหประชาชาติมาถวายรางวัล)
  • การพัฒนาคนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป้าหมายคือ "ความพอเพียง"  หลักการคือ พัฒนาให้คนมีความรู้และใช้ความรู้คู่กับการมีคุณธรรมคือพัฒนาให้คนเป็นคนดี  (อ่านสมการความพอเพียงที่นี่) ขยายความได้ดังนี้ 
    • ต้องใช้ความรู้  (รอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง)  คือ นำเอาศาสตร์และวิทยาการด้านการบริหารจัดการและสถิติต่างๆ เข้ามาใช้ในการวิเคราะห์วิจัย ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้
      • รอบรู้ คือ รู้จริง รู้จักตนเอง รู้ศัยกภาพ รู้ว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ที่จะเหมาะสมกับประเทศของตนเอง ฯลฯ 
      • รอบคอบ คือ มีข้อมูลจริง เป็นเหตุเป็นผล มีการศึกษาทดลองอย่างเป็นระบบก่อน ตัดสินใจภายใต้ข้อมูลที่เพียงพอและถูกต้อง มีเหตุผล
      • ระมัดระวัง คือ ใช้ความรู้เพื่อที่จะจัดการความเสีืยง ป้องกันความผิดพลาด อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ฯลฯ อันจะส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว 
    • ต้องมีคุณธรรม ต้องพัฒนาคนให้เป็นคนดี มีคุณธรรมประจำตนเอง ประจำบทบาทหน้าที่  รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี คุณธรรมสำคัญจำเป็นเบื้องต้นที่ทุกคนต้องมีคือ 
      • ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคุณธรรมประจำใจของทุกคน ... ข้อนี้ครอบคลุมศีล ๕ สามข้อ คือ ห้ามลักขโมย ห้ามประพฤติผิดในกาม และห้ามพูดโกหก 
      • ความเพียร เป็นคุณธรรมประจำตัว คือ ต้องลงมือทำ ขยัน อดทน พึ่งตนเอง  เพียรอย่างมีสติ มีปัญญา
      • เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เสียสละ หรือก็คือ ทาน คือการให้  เป็นคุณธรรมประจำสังคม อันจะนำความสามัคคีมาสู่สังคม 
จบเท่านี้ครับ... ยังเหลือที่อยู่ในใจอีกอย่างคือ ๔๐+ ทฤษฎีใหม่ มีอะไรบ้าง .... ท่านใดรู้โปรดชี้แนะด้วยครับ ผมสืบค้นดู ไม่มีใครสรุปไว้ในอินเตอร์เน็ตเลย...

จับประเด็น "ในหลวง ร.๙ สอนอะไร" จากคลิปตอบคำถามของ อ.ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ต่อนักถามที่เก่งที่สุด ๒ ท่าน

ผมเขียนบันทึกนี้ เพื่อให้ตนเองมีความเข้าใจลึกมากขึ้น ซึ่งผม AAR ว่า ได้ผลพอสมควร ... และถ้าท่านผู้อ่านเชื่อในพลังในการ "ถอดบทเรียน" ของผม ท่านจะประหยัดเวลาในการเรียนรู้เองไปอีกไม่มากก็ไม่น้อยครับ

นักถาม ๒ คนจากสอง ๒ ฝั่งการเมือง ที่ผมยอมรับนับถือว่า ตั้งคำถามได้อย่างคมกริบ ตรงประเด็น ถามให้คนพูดตอบให้คนฟังเห็นสาระได้ง่ายและชัด  คนหนึ่งคือ คุณสำราญ รอดเพชร (ในคลิปท่านใส่เสื้อเหลืองฟ้า) และอีกคนคือ หม่อมปลื้ม จากช่อง Voice TV  ...

จับประเด็นจากการฟัง



ผมจับประเด็นสาระจากการตอบคำถามของท่านได้ ดังนี้ครับ

  • โลกนี้มีระบบเศรษฐกิจอยู่สองอย่าง (สองขั้ว) คือ ระบบทุนนิยม (ทรงเรียกว่า เศรษฐกิจตาโต หรือ เศรษฐกิจการค้า.. เอาการตลาดนำ) และระบบสังคมนิยม (ทรงเรียกว่า เศรษฐกิจสมัยหิน หรือ เศรษฐกิจหลังเขา... ยึดชุมชนพึ่งตนเองสุดโต่ง)  ในหลวง ร.๙ ทรงคิดระบบพอเพียงขึ้นใหม่ (เป็นทฤษฎีใหม่) ความพอเพียงยึดหลักการทางสายกลาง ไม่สุดโต่งไปทางระบบใดระบบหนึ่ง 
    • ระบบทุนนิยม หรือเสรีนิยม เน้น GDP ความเจริญ ร่ำรวย กำไร (Maximize Profit)
    • ระบบสังคมนิยม เน้นกระจาย แบ่งปัน เสมอภาค พึ่งตนเองในชุมชน (Ditribution Income)
    • ระบบพอเพียง เน้นความรู้และคุณธรรม
  • ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ เบื้องหลังทั้งหมดของทฤษฎีใหม่ซึ่งมีมากกว่า ๔๐ ทฤษฎีที่ทรงพระราชทานให้คนไทยไว้ (ไม่ใช่เพียง "เกษตรทฤษฎีใหม่" ที่เข้าใจกัน) ซึ่งมีหลายหลายทั้งใน
    • ทฤษฎีระบบบน (Grand Theory) เช่น ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีการพัฒนาคน ฯลฯ
    • ทฤษฎีระดับกลาง (Midle-range Theory)  เช่น ทฤษฎีการพัฒนาประเทศ  ทฤษฎีพัฒนาสังคม ฯลฯ
    • ทฤษฎีระดับพื้น (Ground Theory) เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีการจัดการน้ำ ทฤษฎีการพัฒนาดิน ทฤษฎีควบคุมการชะล้างหน้าดิน ฯลฯ 
  • เราจะ "ยอดยิ่งยวด" ถ้ารักษาในสิ่งที่เราเป็นหนึ่งของโลก เช่น 
    • เราเป็นอันดับหนึ่งเรื่องการผลิตข้าว ผลิตอาหาร
    • เราเป็นอันดับหนึ่งเรื่องการมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ... เราเป็นประเทศแรกที่มี "โฮมสเต" ที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ 
    • เราเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติทั้งปริมาณและความสวยงาม มีความหลากหลายทางชีวภาพสมบูรณ์ที่สุด 
    • ฯลฯ 
  • ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ทรงเตือนคนไทยทั้งประเทศเรื่อง ภัยพิบัติ ๔ ประการ ด้วยทรงพระราชทาน สคส. แผนที่ประเทศไทย มีระเบิดอยู่รอบ ๆ  ๔ ลูก  อ.ยักษ์ตีความว่า หมายถึง 
    • ภัยพิบัติธรรมชาติ
    • ภัยแล้ง
    • โรคระบาด
    • ความขัดแย้งและสงคราม
  • แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งแต่ฉบับที่ ๖ เป็นต้นมา แม้จะน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ร่าง แต่.. จริงๆ แล้วกระบวนการและวิธีการยังคงเป็นแบบระบบทุนนิยม 
  • ขณะนี้มนุษย์กำลัง "หลงโลก" ประเทศไทยก็กำลัง "หลงโลก" เป็นระบบทุนนิยมเต็มรูปแบบ  ดังนั้นโลกจึงกำลังเดินเข้าสู่วิกฤต 
  • การพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 
    • ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน สร้างบ้านต้องทำรากฐานให้แข็งแรงก่อน ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศพออยู่พอกินเสียก่อน แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปตามลำดับ  
    • ต้อง "ถอยหลังเข้าคลอง" เพราะในคลองนั่นเองที่มีน้ำมีปลา มีนาปลูกข้าว มีอยู่มีกิน 
    • ทุกคนทุกอาชีพ ต้องนำเอาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ คือ เน้นเรื่องการความรู้และคุณธรรม ... ไม่จำเป็นต้องไปทำการเกษตร

  • ในหลวง ร.๙ พระราชทานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้คนไทยทุกระดับ ทุกอาชีพ โดยเฉพาะนักวิชาการและนักบริหาร
  • อ.ยักษ์ ลาออกจากราชการ ขณะอยู่ในตำแหน่งระดับ ผอ.กอง เพราะถูกท้าทายจากชาวบ้านให้มาทำเอง 
    • ตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ (มาบเอื้อง) จ.ชลบุรี
    • ต่อมาตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ  เป็นประธานมูลนิธิฯ  
    • มูลนิธิฯ ตั้งสถาบันเศรษฐกิจพอเพียงขึ้น เพื่อขับเคลื่อนฯ 
  • ในหลวง ร.๙ สอนว่า บรรพบุรุษของเราปลูกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก... ทำไม??? ต้องไปศึกษา ศึกษาาแล้วนำมาใช้ เช่น
    • ใช้ธรรมชาติ ต้นไม้มีใบ -> ใบร่วง ทับถม เป็นปุ๋ย อาหาร .... ต้องไม่กวาดไปเผาทิ้ง ไม่เผาฟางข้าว ฯลฯ 
    • การเพาะปลูกต้องสัมพันธ์กับธรรมชาติ ช่วงเวลาเพาะปลูก ช่วงเวลาทำงาน (ตั้งแต่ตีห้า) สัมพันธ์กับการโคจรของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ลม น้ำ ฝน 
    • ฯลฯ 
  • หม่อมปลื้มถามว่า... เราพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า มีรถไฟฟ้าความเร็วสูง  ได้ไหมครับ .... ท่านตอบว่า ... ได้ครับ แต่ต้องไม่ลืมรากฐานคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ  
สะท้อนความคิดรวบยอดของตนเอง
  • สิ่งที่ในหลวง ร.๙ ทรงประสงค์ และทรงเพียรบำเพ็ญมาตลอดรัชสมัย คือทำให้ประเทศไทย ไม่เป็นประเทศสุดโต่งด้านทุนนิยมหรือสังคมนิยม  เศรษฐกิจพอเพียง คือทฤษฎีในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ประชาชนพออยู่ พอกิน และเจริญรุ่งเรืองตามลำดับขั้น 
  • อ.ยักษ์ เป็นผู้นำที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างประจักษ์มีหลักฐานและความสำเร็จให้เห็นแล้วว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงพระราชทานให้คนไทยทุกระดับนั้น  สามารถใช้ได้จริง ทำให้คนที่ตามตามกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คน พออยู่พอกินพอร่มเย็น และเป็นสุขจริงๆ  ... ผมนึกถึงหลวงตามหาบัว ที่ได้พิสูจน์ให้คนไทยทั้งพระและฆาราวาสทั่วประเทศรู้ว่า พระอรหันต์ยังมีอยู่จริงๆ จนเกิดกระแสการปฏิบัติธรรมอย่างกว้างขวาง 
  • ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานทฤษฎีใหม่ไว้ไห้คนไทยมากกว่า ๔๐ ทฤษฎี  ไม่ใช่ที่เข้าใจว่า ทฤษฎีใหม่คือเกษตรทฤษฎีใหม่ เหมือนที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ...  การศึกษาภาคทฤษฎีของผมจาก อ.ยักษ์ ยังไม่จบ ผมต้องค้นมาให้รู้ทั้งหมดว่า มีอะไร จะได้เลือกมาปฏิบัติได้อย่างแม่นยำ 
มาร่วมสืบสานพระราชปณิธานอย่างถูกต้องครับ 

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พุทธศาสนากับปัญญาทางโลก

ปรัชญาที่ว่า "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" นั้น อาจตีความได้หลายแง่มุมโดยพิสดาร เช่น

(ก.) "ผู้มีปัญญา" จะต้อง "เป็นอยู่เพื่อมหาชน" ... หากไม่เป็นอยู่เพื่อมหาชน แสดงว่าเป็นผู้ไม่มีปัญญา 

(ข.) "ผู้มีปัญญา" ควรจะ "เป็นอยู่เพื่อมหาชน" ... ผู้มีปัญญาบางคนไม่ต้องเป็นอยู่เพื่อมหาชนก็ได้ ผู้ที่บรรลุสู่การเป็นผู้มีปัญญา มีสิทธิเลือกอย่างเสรีว่าจะเป็นอยู่เพื่อมหาชนหรือไม่
(ค.) "ผู้มีปัญญา" จะ "เป็นอยู่เพื่อมหาชน" ... ผู้มีปัญญาจะเป็นอยู่เพื่อมหาชนโดยธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ เพราะการบรรลุสู่การเป็นผู้มีปัญญา จะนำมาซึ่งคุณลักษณะของจิตใจที่เป็นไปเพื่อมหาชน

(ง.) ถูกทั้ง ก. ข. และ ค.

(จ.) งง

นิสิตหรืออาจารย์ที่อ่านถึงตรงนี้ คิดว่าข้อใดถูกต้องที่สุดครับ?????

ผมขอเฉลย ดังนี้


คำตอบจะขึ้นอยู่กับนิยามความหมายของคำว่า "ปัญญา" ที่เราเข้าใจ  ท่านเข้าใจว่า "ปัญญา" มีความหมายตามข้อใดต่อไปนี้ 
  • หากเข้าใจว่า "ปัญญา" คือ ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทางโลก ... หากท่านเข้าใจแบบนี้  ท่านคงตอบข้อ ก. หรือไม่ก็ ข.  ส่วนจะเป็นข้อใดนั้น เถียงกันไปก็ประเทืองปัญญาทางโลกดี
  • หากเข้าใจว่า "ปัญญา" คือ ความรู้แจ้งความจริงของธรรมชาติ ความจริงของโลกทั้งหมด ทั้ง"โลกภายนอก" และ "โลกภายใน" คือกาย (รูปธรรม) และใจ(นามธรรม) ของตนเอง (คือ รู้แจ้งอริยสัจ) หรือที่เรียกว่า "ปัญญาทางธรรม" ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ... ท่านอาจจะตอบ ข้อ ข. หรือ ข้อ ค. ก็เป็นได้  ส่วนจะตอบข้อใด อาจเป็นได้ดังนี้ 

    • การเข้าถึง "ปัญญาทางธรรม" เข้าถึงความไม่มีตัวไม่มีตน จะนำไปสู่ความเมตตา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน โดยอัตโนมัติ 
    • ผู้ที่ ตอบ ข. ท่านคือ พุทธสาวก หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า 
    • ผู้ที่ ตอบ ค. ท่านคือผู้ที่มีจิตใจแบบ พระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ 
  • เชื่อว่า อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่าน อาจจะตอบ ข้อ จ. .... งง.... ฮา 

อธิบายให้หายงง (ดูผัง)




  • คำว่า "ปัญญา" ในพระพุทธศาสนา เน้นไปที่ การศึกษาให้เกิดปัญญาเกี่ยวกับ กายและจิตใจ ของตนเอง เพื่อจะได้เห็นจริงว่า จริงๆ แล้ว 
    • เห็นแจ้งว่า กายใจไม่ใช่ตัวตน  (บรรลุเป็นพระโสดาบัน -> พระสกิทาคามี) 
    • รู้ทุกข์แห่งการยึดกาย -> ละวางกาย ไม่ยึดกาย พ้นจากกาม (พระอนาคามี)
    • รู้ทุกข์แห่งการยึดจิต -> ละวางจิต ไม่ยึดจิต พ้นจากทุกข์ (พระอรหันต์)
  • ปัญญาทางธรรม เกิดจาก การ "รู้" เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเองด้วยการ เจริญสติ ภาวนา "มีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยใจที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง" (ตามแนวการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช) มีลักษณะสำคัญคือ 
    • มีจุดสิ้นสุด จบงานเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์
    • ยิ่งคิด ยิ่งไม่รู้ แต่ต้องอาศัยดูการคิด 
    • รู้เห็นได้ด้วยตนเองผู้ศึกษาเท่านั้น (รู้เฉพาะตน)
    • รู้ได้เห็นได้ด้วยตนเองทุกคนที่ลงมือศึกษา (รู้ได้ด้วยตนเอง)
    • รู้ได้ไม่จำกัดกาล
  • คำว่า "ปัญญา" ในความหมายของคนส่วนใหญ่ในโลก จะเน้นไปที่ การศึกษาให้เกิดปัญญาเกี่ยวกับโลกแห่งกายภาพ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้ง ๖ ประการ (ด้านล่าง) ล้วนแต่เป็นปัญญาทางโลกนี้ทั้งนั้น 
  • ปัญญาทางโลก เกิดจากการ ฟัง-อ่าน คิดเป็นเหตุเป็นผล-คิดวิเคราะห์ และการลงมือปฏิบัติทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์  มีลักษณะสำคัญคือ 
    • พิสูจน์ได้ อธิบายได้ มีเหตุผล 
    • พิสูจน์ซ้ำได้ 
    • นำไปประยุกต์ใช้ อธิบาย สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ เช่น เทคโนโลยีต่างๆ
    • ขั้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เครื่องมือ สิ่งแวดล้อม ชุมชน บุคคล กาลเวลา   
    • ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งสืบค้นยิ่งพบ ยิ่งคิดยิ่งมีเรื่องที่ต้องคิด สิ่งค้นยิ่งมีเรื่องสงสัยมากขึ้น 




วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สมการความพอเพียง (ตีความจากการฟังคลิป ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร)

ขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับ Youtube ที่ทำให้การเรียนรู้จากผู้อื่นเป็นเรื่องง่ายนัก อินเตอร์เน็ตทำให้เราเข้าสู่ยุค "ครูไม่รู้จักศิษย์" เรียบร้อยแล้ว ... เข้าใจว่า ขณะนี้มีศิษย์แบบ "ครูพักลักจำ" แบบผมนี่...นับไม่ถ้วนแล้ว

จากการศึกษาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) อย่างต่อเนื่อง ผมสรุปกับตนเองว่า บุคคลที่เข้าใจคำสอนของในหลวงราชกาลที่ ๙ มากที่สุดในโลกคนหนึ่ง คือ อ.ยักษ์ ดร.วิวัฒน ศัลยกำธร เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว ที่ท่านได้รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ อยู่ในขณะนี้  ... ผมตีความคำสอนของในหลวง ร.๙ ตามความเข้าใจ อ.ยักษ์ ด้วย "สมการความพอเพียง" ดังภาพ

ที่มาของสมการความพอเพียง
  • ท่าน อ.ยักษ์ ไม่ได้นำเสนอสมการนี้  ผมเป็นคนตีความจากการฟังคลิปอธิบายต่างๆ ที่ท่านสอนในยูทูปเอง (ดูบันทึกแนะนำคลิปที่ผมดูที่นี่) ... ดังนั้นหากท่านเห็นว่าถูกหรืออย่างไร ให้เข้าใจว่าท่านไม่ได้บอกคำว่า "สมการความพอเพียง" นี้นะครับ
  • อ.ยักษ์ ท่านจะพูดบ่อยๆ (ย้ำว่าพูดในคลิป) ว่า การอธิบายศาสตร์พระราชาหรือหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วย "๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข" นั้นไม่สามารถจะสื่อสารศาสตร์พระราชาหรือปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้  (การใช้ไดอะแกรม ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ ที่เห็นกันทั่วไป เป็นความพยายามของนักวิชาการที่ต้องการสื่อสารถ่ายทอด) ให้หยุดเสียที...  ผมเข้าใจว่า อธิบายแบบไหนก็ไม่ผิด หากเข้าใจและระเบิดออกมาจากภายในใจจริงๆ 
  • คำถามคือ ถ้าทดลองสังเคราะห์คำสอนตามแนวทาง อ.ยักษ์ ให้ออกมาเป็นสูตร (เหมือน ๓-๒-๔ คือ สามห่วง สองเงื่อนไข สี่มิติ) จะได้ "สมการความพอเพียง" เป็นอย่างไร 
สมการความพอเพียง
  • อ.ยักษ์ เน้นว่า 
    • ความพอเพียง นั้นเป็น "ผล" ไม่ใช่ "เหตุ" 
    • ความพอเพียง คือ พอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ซึ่งจะทำให้เกิดผลที่สุดคือความสมดุลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง หรือก็คือ ความยั่งยืน
    • ดังนั้น ๓ ห่วง ก็คือ "ผล" ไม่ใช่ "เหตุ" ดังนั้น การเอาผลมาอธิบาย จึงยากที่จะเข้าใจจนสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง  และสิ่งที่พูดกันนั้นใครๆ ก็พูดได้  เปรียบเสมือนคนไม่ดี (หรือพระไม่ดี) เอาธรรมะหรือความดีของพระพุทธเจ้ามาสอน 
    • การสอนศาสตร์พระราชาหรือ ปศพพ. ต้องเน้นไปที่ "เหตุ" เหตุที่นำมาสู่ "ผล" คือความพอเพียงดังกล่าวไป
    • "เหตุ" ของความพอเพียงคือ "ความรู้" และ "ความดี" (ความดีก็คือมีคุณธรรม) ดังนั้น จึงสามารถเขียนเป็นสมการความพอเพียงเป็น ความรู้ + ความดี = ความพอเพียง 
  • วิธีอธิบายสมการพอเพียง 
    • ความรู้  ... จะทำอะไรต้องมีความรู้ เริ่มจาก
      • รอบรู้ คือ รู้จักตนเอง รูู้ศักยภาพของตนเอง รู้จักประมาณในตนเอง รู้ลึกรู้ละเอียดในสิ่งที่จะทำ รู้เช่น จะเลี้ยงกุ้งต้องรู้เรื่องกุ้ง รู้วงจรชีวิตกุ้ง รู้วิธีการเลี้ยงกุ้ง ฯลฯ รู้รอบและรู้กว้างขวางในสิ่งที่เกี่ยวข้องครอบคลุม ๔ มิติ
      • รอบคอบ เมื่อจะลงมือทำอะไร ต้องรอบคอบ รอบคอบในการใช้ความรู้ คิดพิจารณาถึงเหตุผล มีเหตุมีผลในการลงมือทำ 
      • ระมัดระวัง คือ จะต้องระมัดระวังในการลงมือทำ วางแผนป้องกันเหตุหรือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึน  
    • ความดี ... ต้องเป็นผู้มีคุณธรรม 
      • คุณธรรมกำกับใจคือ ความซื่อสัตย์ สุจริต ก่อนจะทำอะไรต้องคิดพิจารณาเรื่องนี้ก่อน
      • คุณธรรมที่สำคัญที่สุดคือ "ความเพียร" ก็คือ การลงมือทำด้วยตนเอง พึ่งตนเอง  และมีความขยันและอดทน
      • เมื่อสามารถพึ่งตนเองได้แล้ว ก็ให้เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ผู้อื่น 
วันนี้พอแค่นี้ครับ ... ต่อไปนี้ ผมจะใช้สมการแห่งความพอเพียงนี้ เป็นประตูสู่คำสอนคำอธิบายต่างๆ ของ อ.ยักษ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร  ท่านใดเห็นว่าไม่ถูก ก็โปรดชี้แนะด้วยครับ 

บ่อขยะหนองปลิง

ช่วงหลังๆ นี้ ผมตัดสินใจ เริ่มใช้สื่อวีดีโอ (ในยูทูป) ช่วยในการสื่อสารเพื่อขับเคลื่อนพันธกิจ (อดุมการณ์) เพื่อที่จะให้ทันกับปริมาณงานที่บานปลายมาเรื่อยๆ จนเขียนเล่าเรื่องไม่ไหว ... แต่ก่อนไม่กล้า เพราะกลัวเขาหาว่าอยากดัง  แต่พอเริ่มปลูกมันจนได้หัวและสะพายชั่งไว้ติดตัวเป็น  ก็เริ่มลุย.... เช่นคลิปนี้ (มีความผิดพลาดเยอะมาก... เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในการสัมภาษณ์)

วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ในฐานะฝ่ายประสานงานรายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เราลงไปสำรวจบ่อขยะหนองปลิง ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร จากตัวเมืองมหาสารคาม แหล่งจัดการขยะของเทศบาลเมืองจังหวัดมหาสารคาม ทุกๆ วัน จะมีขยะถึง ๙๐ ตัน มาให้จัดการที่นี่  ซึ่งบ่อขยะที่นี่เองที่ขยะจากมหาวิทยาลัยของเรามาทิ้งด้วย ... เชิญชมคลิปครับ 

ข้อมูลที่น่าสนใจ
  • บ่อขยะน้องปลิงมีพื้นที่ ๔๙ ไร่  ตั้งอยู่ห่างจากผู้มานำขยะมาส่งให้จัดการ ดังนี้ 
    • ห่างจากตัวอำเภอเมืองมหาสารคาม ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ไปทาง อ.วาปีปทุม  
    • ห่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามประมาณ ๑๒ กิโลเมตร 
    • ห่างจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาเขต ต.ขามเรียง (ม.ใหม่) ๒๐ กิโลเมตร 
    • ห่างจากเทศบาลตำบลท่าขอนยาง ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
    • ห่างจากเทศบาลตำบลขามเรียง ประมาณ ๒๑ กิโลเมตร 
  • ปริมาณขยะที่ส่งมาเข้าสู่กระบวนการจัดการ มีดังนี้ (จากการสัมภาษณ์ หัวหน้าประสิทธิ์ ผู้ดูแลฯ)
    • วันละประมาณ ๙๐ ตัน/วัน
    • จากเทศบาลเมืองมหาสารคาม ประมาณ ๖๐ ตัน/วัน
    • จากเทศบาลตำบลท่าขอนยาง อ.กันทรวิชัย ประมาณ ๑๐ ตัน/วัน
    • จากเทศบาลตำบลท่าขามเรียง อ.กันทรวิชัย ประมาณ ๕ ตัน/วัน
    • จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (รวมทั้งสองวิทยาเขต) ประมาณ ๑๐ ตัน/วัน
    • จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ประมาณ ๑๐ ตัน/สัปดาห์ (เพียง ๑.๕ ตัน/วัน)
จุดเด่นของบอขยะหนองปลิง (ที่ผมเห็น)
  • มีระบบดูแลและจัดการชัดเจน เปิดเผย เป็นระบบ ... ผมตีความจากสิ่งที่พบต่อไปนี้ 
    • มีเจ้าหน้าที่ดูแลจำนวนที่เพียงพอ มีหัวหน้างานรับผิดชอบชัดเจน  มีเจ้าหน้าประจำถึง ๑๒ คน
    • มีเครื่องจักร และเทคโนโลยีเพื่อจัดการด้วยการฝังกลมพร้อมและเพียงพอ 
      • มีรถขุดแมคโฮ จำนวน ๓ คัน (สภาพใหม่มาก)
      • มีรถแทรคเตอร์ตักดันดิน ๒ คัน 
      • มีรถขนขยะจำนวนมาก (ไม่ทราบจำนวน)
      • มีระบบบำบัดน้ำเสียจากกองขยะ 
    • มีการจัดการอย่างเป็นระบบ 
      • มีระบบชั่งน้ำหนักขยะ และมีการจัดเก็บข้อมูลที่ดี
      • เปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่ต้องการหารายได้เสริม มาแยกขยะรีไซเคิลออก ก่อนการจัดการฝังกลบ โดยไม่คิดเงินใดๆ กับชาวบ้าน ... จากการสอบถามในคลิป พบว่า ผู้แยกขยะจะมีรายได้เดือนละประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท ในหนึ่งสัปดาห์จะนำไปขายที่แหล่งรับซื้อที่ อ.วาปีปทุม ๓ ครั้ง ได้รายได้ครั้งละ ๓,๐๐๐ บาท ... แต่ต้องแลกมากับงานที่ต้องอยู่กับกลิ่นและสกปรก (ด้วยชุดที่ไม่ป้องกันเลย)
      • มีการจัดเก็บค่าทิ้งขยะ ตันละ ๔๐๐ บาท ทำให้สามารถนำงบประมาณส่วนนี้มาจัดการดูแลได้ และเป็นกุศโลบายให้ผู้มาทิ้งขยะต้องลดปริมาณขยะ  เพราะทิ้งมากเสียเงินมาก 
  • ไม่มีการเผา ... ไม่มีการปล่อยสารพิษทิ้งสู่บรรยากาศ 
  • เปิดเผย พร้อมให้ข้อมูล อย่างเต็มที่ 
  • มีแผนในการจัดการสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะ ... ติดตามและให้กำลังใจกันต่อไปครับ 
สิ่งที่ต้องชื่นชมและไปเรียนรู้ต่อคือ การจัดการขยะของ มรภ.มหาสารคาม เพราะมาทิ้งขยะที่นี่เพียง ๒ ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น ผมคิดว่าน่าจะมีการจัดการคัดแยกขยะอย่างดี  จะติดตามเรียนรู้ต่อไปครับ 









วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เรียนรู้ ปศพพ. ด้วยการดูคลิป ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจากการฟังคลิปบรรยายและคลิปรายการต่างๆ ของ "อ.ยักษ์" ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ฟังตลอดการเดินทาง ฟังทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งฟังยิ่งมีพลังที่จะขับเคลื่อน ปศพพ. มากขึ้นๆ ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าตนเองยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ "เศรษฐกิจพอเพียง" อีกมาก โดยเฉพาะภาคปฏิบัติ

ก่อนจะสรุปความเข้าใจตามสไตล์ของตนเอง  ขอแนะนำสำหรับท่านที่ต้องการฟังด้วยตนเอง  ตามลำดับจากคลิปต่อไปนี้

๑) ฟังคลิปบรรยายแบบเต็มๆ ที่ท่านไปพูดที่ ม.เกษตรฯ จะรู้ว่าท่านกำลังขับเคลื่อนอะไร ขับเคลื่อนไปไหน เป้าหมายคืออะไร ให้ดูคลิปชุดนี้ เชิญครับ  (คลิปแรกนาทีที่ ๑๑.๓๐ เป็นต้นไป)





๒) ทำอย่างไร ให้ดูคลิปชุดนี้




๓) ฟัง อ.ยักษ์ สอนเรื่องข้าว ตาม ๒ คลิปนี้ครับ ... ทำให้รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นลูกชาวนา  ตั้งใจว่าจะกลับไปเป็นชาวนาแบบก้าวหน้าต่อไป




๔) วิชาระเบิดจุลินทรีย์ แก้น้ำเสีย


๔) ตัวอย่างการปฏิบัติที่สำเร็จ "โคก หนอง นา โมเดล"  ฟังการจัดการน้ำตามคลิปนี้


๕) การพัฒนาคน พัฒนาเครือข่าย






แนะนำเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอ...  ความจริงดูมากกว่านี้มากนัก แต่เท่าที่จัดมาคือ สรุปส่วนที่ท่านอธิบายได้ดีมาก ๆ  ประทับใจ ... เสียดายที่หลายคลิปภาพไม่ชัด ...

ผมแนะนำว่า สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ควรจะทำรายวิชาที่ท่านสอนนี้ขึ้นบนระบบ MOOCs ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ ... บุญนิยมเริ่มมาแล้วทั่วโลก

Learning Reflections

หลังจากดูคลิปนี้ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่หลายเรื่อง ที่สำคัญๆ มีดังนี้ครับ ท่านบอกว่า
  • การพูดถึง ปรัชญาของเศรฐกิจพอเพียงด้วย ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ นั้น ไม่ถูกต้องนัก หลายครั้งจะทำให้ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงสอนได้ลึกซึ้งเพียงพอ เช่น ต้องเน้น ๒ เงื่อนไข มากกว่า ๓ ห่วง  ท่านบอกว่า ๓ ห่วงนั้น เป็นเหมือนผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่เน้นไปที่ ๒ เงื่่อนไข เช่น 
    • เงื่อนไขคุณธรรม ที่สำคัญที่สุดคือ "ความเพียร" คือ การลงมือทำ คือการกระทำ  ถ้าไม่ทำ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่พระองค์ทรงสอนได้  จะพูดไป คิดไป ฟุ้งไปใน ๓ ห่วงเพียงใด หากไม่ลงมือทำ ก็ไม่เข้าใจ 
    • เงื่อนไขความรู้ ต้อง รอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง สิ่งที่เป็นทักษะที่ต้องประกอบขึ้นหรือได้มากจากการลงมือศึกษา ลงมือทำให้มาก 
    • สิ่งที่พระองค์สอนนั้นกว้างขวาง ลุ่มลึกมาก ทฤษฎีใหม่นั้นมีมากกว่า ๔๐ ทฤษฎี ไม่ใช่เฉพาะ เกษตรทฤษฎีใหม่เท่านั้น 
    • ทุกอย่างเชื่อมโยงผูกสัมพันธ์กัน ดังนั้นการลงมือทำทุกสิ่งอย่างต้อง พิจารณาอย่าง "รอบรู้ รอบคอบ และ ระมัดระวัง" เช่น  การวางแผนทำแปลงเกษตร ต้องพิจารณาให้รอบด้านทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ พืช สัตว์ และ คน  
      • ดวงอาทิตย์ คือ ไฟ พลังงานทั้งหมดมาจากดวงอาทิตย์ 
      • คนสังเคราะห์แสงเองไม่ได้  รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่ได้  จึงต้องกินพืช พืชสามารถสังเคราะห์แสงสะสมพลังงานของแสงอาทิตย์ไว้ได้ 
      • สัตว์มากินพืชด้วย และถ่ายมูลหรือตายกลายเป็นปุ๋ยต่อไปให้เป็นอาหารของพืช พืชและสัตว์จึงพึ่งพาอาศัยกัน 


      • ลม ไฟ น้ำ ดิน ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องและจำเป็นเชื่อมโยงกันหมด  เราต้องศึกษาและเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้มาก  เพื่อนำองค์ความรู้เหล่านี้มาใช้  เช่น หากจะออกแบบแปลงเกษตร ต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ เช่น 
        • ไฟ คือทิศทางของพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก หน้าหนาวพระอาทิตย์วิ่งอ้อมกองข้าว ฯลฯ  การปลูกพืชบังแดด บังให้บ้านร่มเย็น และการปลูกเรือนที่อยู่อาศัย ต้องคำนึงถึงทิศทางของแดด 
        • ลม  ลมหนาวพัดจากตะวันออกเฉียงเหนือลงมาตะวันตกเฉียงใต้ ลมร้อนและลมฝนพัดขึ้นจากตะวันตกเฉียงใต้ขึ้นทางตะวันออกเฉียงหนือ 
          • ควรขุดบ่อวางน้ำไว้ทางทิศต้นลม หน้าร้อน ลมจะพัดไอน้ำผ่านเข้ามา ทำให้ชุ่มชื้นเย็น 
          • ควรปลูกไม้กันลมพายุไว้ทิศลมเข้า เพื่อป้องกันความเสียหายจากแรงลม 
          • ควรปลูกป่าไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไว้กันลมหนาวที่จะพัดเอาความแห้งแล้งเข้ามา
          • ฯลฯ


    • หลักปรัชญา(ของ)เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงสอน เป็นพระราชดำริ การนำไปเผยแพร่ ต้องระวังการ "ไปดำริเอง" อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการปฏิบัติ ในหลวงก็ทรงสอนไม่ให้ติดตำรา ดังนั้น จึงอาจคิดเพิ่มเติมจนเกินแนวปฏิบัติต่างๆ ได้ แต่ต้องให้ชัดเจนว่าใครคิด  
    • ณ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ ที่ มาบเอื้อง จ.ชลบุรี) ท่านมีแนวปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้ 
      • คติพจน์สำคัญของการทำการเกษตรคือการ "เลี้ยงดิน ให้เดินเลี้ยงพืช" หรืออีกคำคือ "คืนชีวิตให้แผ่นดิน"
      • ๙ ขั้นตอนสู่ความ "พอเพียง" ได้แก่ พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น บุญ ทาน เก็บรักษา ขาย และสร้างเครือข่าย  ตามแผนภาพนี้ 


    ขอจบเท่านี้ก่อนครับ ....

    วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

    ไปช่วยครูเพ็ญศรี กานุมาร สอน "ศาสตร์พระราชา" ด้วยการ "สนทนาเชิงรุก"

    วันนี้ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ (ก่อนวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของในหลวง ร.๙ ๑ วัน) ผมตัดสินใจแบ่งเวลาไป "ทำดีเพื่อพ่อ" ในสิ่งที่ผมถนัดที่สุดอย่างหนึ่งคือ "การสนทนาเชิงรุก" (Active Conservation) (ผมตั้งชื่อเอง) กับนักเรียนแกนนำ ชั้นมัธยมศึกษาชั้น ม.๒ ของคุณครูเพื่อศิษย์อีสาน คุณครูเพ็ญศรี กานุมาร โรงเรียนนาสีนวนพิทยาสรรค์ จำนวน ๗ คน เป้าหมายคือ ทำให้พวกเขารู้จัก "ศาสตร์พระราชา" ภาคทฤษฎี ที่มีสอนกันทั่วไปผ่านสื่อต่างๆ

    การสนทนาเชิงรุก

    การสนทนาเชิงรุก เป็นการสอนแบบ Active Learning วิธีหนึ่ง ที่ผมชอบใช้เมื่อต้องการขับเคลื่อนองค์ความรู้ใหม่ให้กับผู้ไม่รู้ โดยเน้นให้ต่อยอดจากความรู้เดิมที่มี และใช้วิธีการ "รุก" ด้วย "คำถาม" พุ่งไปที่ตัวบุคคลด้วยการระบุชื่อ

    ๑) ละลายกำแพงที่มีให้มากที่สุด

    เทคนิคนี้จำเป็นต้องละลายพฤติกรรมและจำชื่อและรู้จักนักเรียนทุกคนให้ได้ หากนักเรียนรู้จักกันดีอยู่แล้ว ดังเช่นวันนี้ที่นักเรียนทั้ง ๖ คน มาจากชั้นเรียนเดียวกัน (หนึ่งคนมาจากชั้น ม.๑) การละลายพฤติกรรมจึงไม่ใช่การทำให้เขารู้จักและผ่อนคลายระหว่างกัน แต่เป็นการละลายกำแพงกั้นระหว่างผมกับน้องๆ ต่างหาก

    ผมใช้เทคนิคการ "สลับแนะนำเพื่อนฉันแบบฟันปลา" โดยให้บอกชื่อเล่นและอธิบายถึงความชอบหรือลักษณะเฉพาะของเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามวง... สนุกสนานมาก  กิจกรรมนี้ทำให้ผมจำชื่อนักเรียนได้ภายในเวลาไม่กี่นาที  ซึ่งได้แก่ แพรว แนน ทีม แยม นุ๊ก บีม ฟิล์ม



    ๒) BAR ด้วยการระดมสมองลองตอบคำถาม ด้วยคำถาม "ศาสตร์พระราชาคืออะไร"

    ศาสตร์พระราชาคืออะไร? โดยเน้นย้ำว่า "ไม่มีผิด ไม่มีถูก" ตอบได้ทุกอย่างตามที่ตนเข้าใจ ...ยกสถานการณ์ว่า หากมีน้องๆ ป.๖ มาถามว่า พี่ๆ ศาสตร์พระราชาคืออะไร เราจะต้องอย่างไร โดยเปิดให้ตอบโดยสมัครใจ ก่อนจะระบุชื่อ (เชิงรุก) ด้วยเงื่อนไขว่า ให้ตอบได้คนละ ๒ คำตอบได้ ... ผมจดคำตอบของนักเรียนไว้ในชาร์ทใบแรก ดังรูป


    • ส่วนใหญ่คำตอบในชาร์ทนี้ คือ ความรู้ในตัวของนักเรียนสดๆ ยกเว้น แก้ปัญหาที่จุดเล็ก ทำงานอย่างเป็นองค์รวม ที่ได้จากการสืบค้นผ่านมือถือ 

    เมื่อถามว่า สิ่งที่ระดมสมองได้แต่ละข้อ เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี นักเรียนทุกคนตอบพร้อมกันว่าเป็นสิ่งที่ดี ผมขีดเส้นใต้ไปทีละข้อๆ  จนครบทุกอันแล้วสรุปว่า ศาสตร์พระราชา (สิ่งที่ในหลวงสอน) คือ "ความดี" นั่นเอง (... นี่คือการเติมไปสู่เป้าหมายของการสอน ตรงนี้เองที่ผมเรียกว่า การสอนเชิงรุก)

    ๓) เติมความรู้ด้วยการเล่าเรื่อง (Story Telling)


    ผมเล่าเรื่องศาสตร์พระราชาที่เคยถอดบทเรียนไว้ที่นี่ พร้อมๆ กับการเขียนคำสำคัญไว้บนชาร์ท ได้ดังรูป

    เมื่อเ

    และสรุปเน้นประเด็นสำคัญ ได้แก่

    • ศาสตร์พระราชา คือ คำสอนหรือองค์ความรู้ของในหลวง และรวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ในหลวงทรงทำเป็นแบบอย่าง เช่น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ กว่า ๔,๐๐๐ โครงการ หรืออาจเรียกง่ายๆ ว่า "กิจที่ทรงทำ คำที่ทรงแนะ" (ดร.วิษณุ เครืองาม) 
    • ตัวอย่างศาสตร์พระราชาที่สำคัญๆ ได้แก่
      • แก้มลิง  ป้องกันน้ำหลากท่วม
      • ฝนหลวง แก้ปัญหาฝนแล้ง
      • แกล้งดิน แก้ปัญหาดินเปรี้ยว ... ผมเล่าเรื่องในหลวง ร.๙ แก้ปัญหาดินปรุที่นราธิวาส
      • กังหันน้ำชัยพัฒนา
      • หลักการทรงงาน ... ๒๓ ข้อที่ กปร. รวบรวมไว้  ... ผมเคยเขียนบันทึกไว้ที่นี่
      • ฯลฯ 
    ๔) มอบหมาย (ขยายความรู้) จากการทำชิ้นงาน 

    เมื่อนักเรียนมี "พลัง" พร้อมเรียนรู้ด้วยตนเองก็สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ โดยใช้การสืบค้นผ่านอินเตอร์เน็ต หรือเอกสารที่ครูเตรียมให้  สิ่งที่เรามอบหมายกันวันนี้คือ การศึกษาลงรายละเอียดเกี่ยวกับ หลักการทรงงาน ๒๓ ข้อ ที่ สำนักงาน กปร. รวบรวมไว้ ได้ผลดังภาพ 


    ๕) นำเสนอ 

    การนำเสนอคือไฮไลท์ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง สำหรับเด็กในยุค Gen Z  ผมใช้มือถือถ่ายทำไว้ ไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะทำกันแค่เทคเดียว และไม่ได้ตัดต่อ  ... อย่างไรก็ตาม นี่คือความทรงจำที่ดีในการเรียนรู้ศาสตร์พระราชา ที่อยากนำมาบันทึกไว้ 


    ๖) พาไปศึกษาดูงาน เกษตรทฤษฎีใหม่

    เนื่องจากโรงเรียนนาสีนวนพิทยาสรรค์ ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก "สวนครูผู้เรียนรู้" ของ อ.ธวัช ชินราศรี ที่ผมเพิ่งจะแนะนำท่านผู้อ่านเมื่อวานนี้ (อ่านที่นี่) ผมจึงอาสาพานักเรียนไปดูตัวอย่างการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามรอยพ่อหลวง ... ผมพาเด็กๆ เดินรอบๆ และอธิบายตามที่ได้ฟังมาจากท่านอาจารย์ธวัช  ช่วงท้ายๆ ของการศึกษาดูงาน แม้ว่าท่านจะมีภารกิจมาก ยังรีบบึ่งรถมาด่วเพื่อพบเด็กๆ ... ต้องขอขอบคุณท่านมากๆ  

    ผมออกแบบให้นักเรียนได้สนทนากับ "ครูผู้เรียนรู้" ด้วยการให้ตั้งคำถามคนละ ๑ คำถาม และบันทึกคลิปไว้ มาให้ดู 



    จากการสังเกตและสนทนา ผม AAR ว่า วันนี้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่อง "ศาสตร์พระราชา" และเกิดศรัทธาหรืออาจเรียกว่าความท้าทาย พอควรต่อการสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ ๙



    วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

    ฅนค้นครู (๐๑) : ครูเพ็ญศรี ใจกล้า

    วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ทีมงานขับเคลื่อนอิสระ "ฅนค้นครู" เดินทางไปเยี่ยมคุณครูเพ็ญศรี ใจกล้า ครูเพื่อศิษย์อีสาน ท่านแรก ที่เราได้มอบโล่เชิดชูในผลงานการ "ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีสอน" ของท่านกับ โมเดล 3PBL (Three-PBLs) ที่ท่านทำอย่างต่อเนื่อง จนเกิดผลเป็นชีวิตที่ดีของศิษย์มากมาย

    ผมคิดว่า เป็นเรื่องที่สะดวกมากกว่า และเผยแพร่ได้ง่าย เป็นที่นิยม และจะเข้าถึงเพื่อนครูที่สนใจมากกว่า หากทำเป็นรายการทาง Youtube  จะได้สามารถทำงานที่รักและมีคุณค่านี้ต่อไป พร้อมๆ กับงานประจำที่ต้องทำให้เต็มที่เต็มอุดมการณ์เช่นกัน

    ได้คลิปมาฝากดังนี้ครับ




    ไม่ได้หวังให้ท่านผู้อ่านผู้ดี รู้ว่าท่านทำอย่างไร สอนอย่างไร เพราะด้วย่เวลาแค่นี้คงไม่มีทางจำบรรลุได้  เพียงแต่หวังให้เกิดพลังจากภายในใจท่าน เกิดแรงบันดาลใจที่จะสืบค้นหรือไปเรียนรู้ว่า ครูเพ็ญศรีทำอย่างไร จึงสามารถสร้างนักเรียนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ และมีภาวะผู้นำในตนเองมากมาย  ... แสน ธีระวุฒิ ศรีมังคละ ประธานชมรมต้นกล้าพันธุ์ ที่ขับเคลื่อนความดีอยู่ใน มมส. ขณะนี้ ก็ลูกศิษย์ท่านนั่นเอง

    ฅนค้นครู (เกษตร) (๐๑) : อ.ธวัช ชินราศรี

    วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ทีมขับเคลื่อนอิสระ "ฅนค้นครู" ไปเรียนรู้กับ อ.ธวัช ชินราศรี หนึ่งในอาจารย์ผู้สอนรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  ...ได้คลิปเหล่านี้มาเผยแพร่ครับ

    ท่านใดสนใจเชิญไปเรียนรู้กับท่านเองเถิดครับ ไม่ได้หวังว่าท่านจะรู้เรื่องเข้าใจ หรือได้อะไรจากคลิปนี้ แต่เป็นความประสงค์ดีที่จะแนะนำ เพราะท่าน อ.ธวัช เอง ท่านก็เป็นคนยินดีเผยแพร่แด่ผู้มีศรัทธาต่อการสืบสานพระราชปณิธาน ร.๙ ครับ





    สิ่งที่ผมประทับใจ ได้เรียนรู้หลายอย่าง และเกิดแรงบันดาลใจมากขึ้น ที่ประทับใจที่สุด คือหลักการออม ๔ ประการ คือ ออมน้ำ ออมดิน ออมพืช ออมสัตว์ ดังจะอธิบายพอสังเขป ตามที่ตนเข้าใจจากการฟัง ดังนี้

    ๑) ออมน้ำ

    ขั้นแรกต้องออมน้ำก่อน ท่าน "ทำให้ดู" ว่าเกษตรทฤษฎีใหม่ ใช้ได้จริง ท่านใช้ทฤษฎีนี้คำนวณว่าจะต้องขุดบ่อน้ำร้อยละ ๓๐ ของพื้นที่ โดยคำนวณว่า น้ำจะลดลงวันละ ๑ เซนติเมตร และเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องใช้น้ำวันละกี่ลิตร ต้นไม้แต่ละต้นต้องกินน้ำวันละหรือเดือนละกี่ลิตร (ท่านเรียนเกษตร เป็นอาจารย์สอนเกษตร) ท่านก็สามารถคิดคำนวณได้ว่า ต้องขุดลึกเพียงใด  เช่น ณ ที่แห่งนี้ "สวนครูผู้เรียนรู้" ท่านต้องขุดลึกถึง ๔ เมตรกว่า เพื่อให้ได้ปริมาณน้ำตามต้องการ

    ๒) ออมดิน

    เมื่อมีน้ำ สิ่งที่ท่านให้ความสำคัญอันถัดมาคือการ รักษาและบำรุงดิน ด้วยการปลูกไม้ ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง หรือก็คือปลูกป่า หญ้าไผ่ และไม้หลากหลายชนิด รักษาหน้าและเนื้อดิน ที่ท่านทำมากขณะนี้คือ การทำปุ๋ยหมักจากอินทรีย์วัตถุบำรุงดิน โดยเฉพาะการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกองตามสูตร วิศวะแม่โจ้ ๑ (สนใจคลิกที่นี่)

    ๓) ออมพืช

    นอกจากจะออมพืชไปพร้อมๆ กับการออมดินด้วยการปลูกไม้ ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง แล้ว ดินดีที่ได้จากการออม ท่านยังเอามาลงทุนปลูกพืชเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่นิยม คือ แตงเมลล่อน ดังที่เห็นในคลิปครับ ดินที่ใช้คือดินจากปุ๋ยหมักจากฟางข้าวที่ออมไว้กองละ ๖ เดือน

    ๔) ออมสัตว์

    การออมสัตว์ทำให้วงจรของชีวิตสมบูรณ์และสมดุลภายใน การออมสัตว์จะให้ดอกเบี้ยงรายวันเป็นมูล เช่น มูลโค แพะ ฯลฯ เมื่อได้มูลโค ท่านเอาไปแช่น้ำปั้นหมาดไปเลี้ยงใส้เดือน เวลา ๑ เดือนผ่านไป มูลโคกะละมังละ ๘ กิโล จะกลายเป็นมูลใส้เดือน ๘ กิโล แถมยังได้ใส้เดือนเพิ่มขึ้นกะละมังละ ๑๐๐ ตัว ปุ๋ยเหล่านี้ที่ได้นี่เองที่ทำให้แตงเมลล่อนของท่านงามและสมบูรณ์ยิ่ง ....

    ผมตั้งใจยิงคำถามที่ค่อนข้างเสียมารยาทเกี่ยวกับรายได้ แต่เพื่อจะใช้คลิปนี้สร้างแรงบันดาลใจ สำหรับนิสิตลูกชาวบ้าน (อย่างผม) ที่ยังพอมีที่นาที่ไร่ให้เก็บไว้ อย่าเพิ่งขาย เพราะโลกในยุคต่อไป ประเทศไทยจะเด่นเรื่องที่สุดเรื่องการผลิตอาหารสะอาด และใครที่มีชีวิตแบบนี้ จะมีเวลาและศรัทธาเดินสู่ทางสายเอกมากกว่า ... ผมเชื่อย่างนั้น

    ท่านตอบสั้นๆ ว่า  ลองคิดง่ายๆ ลำพังแค่การเลี้ยงใส้เดือน เอามูลโคมาทำเป็นมูลใส้เดือน กะละมังหนึ่งก็ได้ ๕๐๐ บาท ต่อเดือน ผมลองนับดูคร่าวๆ มีอยู่ราวๆ อย่างน้อย ๒๐ กะละมัง ที่ท่านวางอยู่ที่พื้นและบนชั้นกรง ... แค่นี้ก็เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท แล้ว

    ตอนท้ายท่านยังบอกว่า เป็นนิสิตก็เรียนรู้ได้ ลองทำได้ เริ่มจากง่ายๆ ก่อน เช่น ไปหาตู้ลิ้นชักเก่าๆ มาลองเลี้ยงใส้เดือนขาย  หากตั้งใจจริง ทุกสิ่งสำเร็จได้ แต่สำคัญคือเราได้เรียนรู้

    ไปเยี่ยมท่านครั้งนี้ ผมได้ประโยชน์สุด มีของดี ได้สิ่งที่ดี โอกาสที่ดี จึงนำมาแบ่งปันครับ

    เจอกันใหม่ตอนต่อไปครับ




    วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

    ข้อเสนอ "วิธีการจัดเก็บและจัดการขยะ" สำหรับนิสิต มมส.และเทศบาลท่าขอนยาง

    เดือนตุลาคม ๒๕๖๐ ผมมีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานและเรียนรู้วิธีการจัดการขยะของชุมชน "บ้านหัวถนน" และได้ "ถอดบทเรียน" ไว้ที่นี่ ตั้งแต่นั้นมา บ้านเราก็เริ่มแยกขยะ ผลของการลงมือทำด้วยตนเองค่อยๆ เพิ่มความมั่นใจ ให้เกิดความตั้งใจที่จะเรียนรู้ภาคปฏิบัติกับการจัดการขยะของชุมชนเทศบาลท่านยาง ซึ่งประชากรส่วนใหญ่คือนิสิต มมส. ... ขอเสนอแนวทางจัดเก็บและจัดการขยะ ดังนี้

    ๑) แยกขยะให้ได้

    การแยกขยะ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหมือนประตูบานแรกและบานเดียวที่จะนำไปสู่การ "ลดขยะ" (Reduce)  นิสิต มมส. ประชาชน คนหอพัก ครัวเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร ทุกคนสร้างขยะต้องหันมาแยกขยะกันอย่างจริงจัง  โดยวิธีที่ง่าย ๓ ขั้นการตัดสินใจ ดังนี้

    • ข้้นที่ ๑ ตัดสินใจว่า จะก่อขยะหรือไม่ก่อขยะ
      • จะไม่ใช้...เพราะหากใช้ไปแล้วจะทำให้เกิดขยะ ก็คือ ลดปริมาณการใช้สิ่งใดๆ ที่จะทำให้เกิดขยะ หรือ (Reduce)
      • จะใช้... เพราะจำเป็น ใช้แล้วสะดวกดี คุ้มค่า
    • ขั้นที่ ๒ ตัดสินใจว่า มันคือขยะหรือไม่ใช่ขยะ
      • ไม่ใช่ขยะ... มันไม่ใช่ขยะ สามารถนำมาใช้ใหม่ (Reuse) ได้ เช่น ถุงก๊อปแก็บที่ยังไม่เปอะเปื้อน กระดาษหน้าเดียว  ขวดโหล ขวดขุ่น ฯลฯ 
      • ใช่ขยะ มันคือขยะ ...ต้องจัดเก็บหรือจัดการ
    • ขั้นที่ ๓ ตัดสินใจว่า มันคือขยะประเภทใดจะจัดการอย่างไร 
      • มันอันตรายไหม เป็นสายเคมี แบตเตอรี่ หลอดไฟ หรืออะไรที่เป็นสารพิษ ถ้าใช่ เรียกว่า ขยะอันตราย ...ทิ้งในกระปุก
      • มันย่อยสลายได้ไหม ถ้าได้ เรียกว่า ขยะอินทรีย์  ... ทิ้งในถัง
      • ถ้ามันย่อยสลายไม่ได้  เก็บไว้ขายได้ไหม ถ้าได้ เรียกว่า ขยะรีไซเคิล (Recycle) ...ทิ้งในลัง
      • ถ้าย่อยสลายไม่ได้ เก็บไว้ขายก็ไม่ได้ เรียกว่าขยะทั่วไป ตัดสินใจต่อไปว่า 
        • แห้งไหม ... ถ้าแห้งให้ทิ้งในถุง 
        • ไม่แห้ง ให้ล้าง คว่ำ ตากไว้ ให้แห้ง แล้วทิ้งในถุง 
    การลงมือทำด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า สิ่งที่ชุมชนบ้านหัวถนนบอกนั้นเป็นจริง  ขยะอินทรีย์จะมีปริมาณคิดเป็นประมาณร้อยละ ๘๐ ของขยะทั้งหมด ทำให้สามารถลดภาระการจัดเก็บไปได้มากๆ  จึงขอเสนอวิธีการแยกขยะดังที่กล่าวมา (ดูรูปประกอบ)


    ๒) ทิ้งขยะแบบ "รู้กัน"

    การทิ้งขยะแบบ "รู้กัน" คือ การทิ้งขยะแบบที่ผู้จัดเก็บขยะหรือผู้จัดการขยะ "รู้เรื่อง" และสะดวกต่อผู้จัดเก็บและง่ายต่อการนำไปจัดการ ขอเสนอวิธีด้ังนี้ (ดูภาพประกอบ)
    • ขยะอินทรีย์ ให้ทิ้งลงถังใบเล็กๆ (ที่บ้านใช้ถังพลาสติกที่เคยใส่ข้าวโพดคั่ว) ขนาดหนักสัก ๑-๒ กิโลกรัมเศษอาหาร  วางไว้ข้างๆ ซิงค์ล้างจาน ทุกวันตอนเย็นหรือเมื่อเต็ม ให้เอาไปทิ้งเก็บไว้ในถังพลาสติกดำขนาด (๑๐๐ ลิตร) ซึ่งมีฝาปิดมิดชิด 
      • หากอยากหมักเป็นปุ๋ยน้ำหมัก ให้ใส่เศษใบไม้และกากน้ำตายด้วย 
      • หากไม่อยากยุ่งยาก ก็ให้เก็บไว้ไปฝังดินเป็นปุ๋ยหมัก (ตรงนี้แหละที่เทศบาลน่าจะมีรถมาเก็บทุกวัน)
    • ขยะรีไซเคิล ส่วนใหญ่ คือ ขวดพลาสติกใส (พลาสติกขุ่น ต้นทุนกระบวนการรีฯ แพง เขาจึงไม่ซื้อ) ขวดแก้ว กระดาษทุกชนิด และโลหะต่างๆ  ให้ทิ้งในลัง  ดังนี้ 
      • ลังกระดาษใบใหญ่ๆ  ไว้สำหรับเก็บกระดาษทุกชนิด  (เก็บรวมกันได้เลย ตอนเขามารับซื้อถึงบ้าน เขาจะแยกชั่งเอง)
      • ขวดพลาสติกใส ให้ทิ้งในลัง.... ทิ้งในลังไม้ (ผมใช้ลังไม้หวาย หรือ ถุงผ้าดางแหล่ ...ฮา ดูรูป) เพราะเวลาเราทิ้งขวดมักจะเปียกอยู่ ให้มันระบายแห้งเอง
    • ขยะทั่วไป ล้างตากให้แห้งแล้วทิ้งในถุง อาจเป็นถุงดำหรือถุงขยะที่เขาเรียกว่า "ถุงขยะ"  สำคัญคือ ต้องตากให้แห้ง  ขยะส่วนใหญ่ในยุคซื้อกินแบบนี้ โดยเฉพาะนิสิตที่ไม่ได้ทำกำข้าวเอง จะก่อขยะแบบนี้เยอะ  ปัญหาคือ ถุงใส่อาหารเหล่านี้ มักถูกทิ้งเลยทั้งๆ ที่ยังเปียก  (ที่บ้านเราล้างตากเหมือนจาน โดยใช้น้ำยาล้างจานราคาถูกแบบถังใหญ่) เมื่อแห้งแล้วก็เก็บไปทิ้งกับที่ทิ้งขยะ คนเก็บขยะนำไปเผาได้เลย 
    • ขยะอันตรายให้ทิ้งในกระปุกพลาสติก ที่ปิดมิดชิด  เมื่อได้ปริมาณหนึ่งก็ให้เอาไปทิ้งที่ๆ เขาจัดเว้ต่างหาก เพื่อนไปทำลายอย่างถูกวิธีต่อไป 

    ๓) เทศบาลจัดเก็บและจัดการอย่างเป็นระบบ

    สมมติว่า เราสามารถทำให้นิสิต มมส. มีวิธีการคัดแยกและทิ้งขยะแบบที่ผ่านมา ต่อไป ต้องขอเสนอเทศบาลบ้านท่าขอนยางให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 


    • ขยะอินทรีย์ 
      • จัดหาพื้นที่ฝังกลบขยะอินทรีย์ที่ไม่ไกล  อาจจะรับอาสาสมัครใจจากชาวบ้าน เพราะชาวบ้านจะได้ประโยชน์มาก ที่นา ที่สวน จะได้ปุ๋ย 
      • จัดให้ทุกบ้าน ทุกครัวเรือน ทุกหอพัก ทิ้งขยะอินทรย์ในถังดำ
      • มีรถจัดเก็บขยะอินทรีย์ทุกวันเช้า-เย็น 
    • ขยะทั่วไป  
      • เนื่องจากปริมาณขยะจะลดลงมากแล้ว เพราะแยกขยะอินทรีย์ออกไป  ดังนั้น จัดให้มีรถจัดเก็บเพียง ๒ วันต่อสัปดาห์ คือ อังคารและศุกร์ 
      • จัดสร้างเตาเผาขยะหรือโรงเผาขยะ เพื่อเผาขยะทันทีที่นำขยะไปถึง
    • ขยะรีไซเคิล
      • จัดให้มีการรับซื้อขยะราคาดี มีที่ติดต่อให้ไปรับซื้อถึงที่ โดยกำหนดว่าต้องมีน้ำหนักเท่าใดๆ เป็นต้น 
    • ขยะอันตราย ให้จัดเก็บเดือนละครั้งก็พอ เช่น เก็บวันพุธสุดท้ายของเดือน เป็นต้น  เพื่อนำไปทิ้งหรือทำลายอย่างถูกต้องปลอดภัย 
    ๔) วิธีการทำให้งานนี้ให้สำเร็จ
    • สามัคคีรวมพลัง  สำนักศึกษาทั่วไป จะเป็นผู้ประสานงาน ให้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ นิสิต บุคลากร ผู้นำชุมชน ชุมชน และคนก่อขยะทั้งมวล มาคุยกันให้เกิดแนวทางที่เห็นสมควรร่วมกัน 
    • รายวิชาศึกษาทั่วไปที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง 
    • อาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป ต้องช่วยกันพูด ช่วยกันคุย ช่วยกันบอก ให้นิสิตเราเอาจริงเรื่องนี้ 
    • รายวิชาหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ควรจะรวมพลังกันจัดการเรื่องนี้ในปีการศึกษาที่ ๒-๒๕๖๑ นี้ 
    ตั้งใจจริงๆ ว่าจะลุยไปแบบนี้ ท่านว่าดีไหมครับ 

     (ถังหมักปุ๋ยน้ำ)

    (เพิ่งจะขายไป ได้เงินมา ๑๐ บาท)