- ๑) ปัญหาขยะ เป็นข้อสรุปยุติแล้วว่า สาเหตุสำคัญคือจิตสำนึกของคน โดยเฉพาะประชากรแฝงกว่า ๕๐,๐๐๐ คน ที่อาศัยอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัย (อ่านความทุกข์ของเทศบาลท่าขอนยางที่นี่)
- ๒) ปัญหาน้ำเสีย เรื่องนี้กำลังจะส่งผลวิกฤตต่อเกษตรกรชาวนาที่น้ำเสียจากชุมชนรอบมหาวิทยาลัยไหลผ่านไปที่นาตามลำรางต่างๆ (ผมเคยศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังแลเขียนไว้ที่นี่) และ
- ๓) ปัญหาด้านจราจร อุบัติเหตุ ผู้รับทุกข์เรื่องนี้มากที่สุดคือนิสิตและผู้ปกครองของนิสิต
ทั้ง ๓ ประเด็นนี้ต้องแก้ไขไปพร้อมๆ กัน และบางอันไม่สามารถจะแก้ไขได้แบบตรงๆ ต้องแก้ที่ต้นเหตุแบบไกลๆ ... เหมือนกับที่ในหลวง ร.๙ แก้ปัญหาเรื่องการปลูกฝิ่นด้วยโครงการหลวง ... อย่างนั้นเลย
ผมขอเสนอบันได ๕ ขั้นเพื่อการแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อข้างต้นอย่างยั่งยืน ดังจะอธิบายพอสังเขป ดังนี้
เป้าหมายคือ ทำให้นิสิต บุคลากร และชาวบ้านในชุมชนรอบๆ มหาวิทยาลัย มีวินัยและใส่ใจในการใช้สิ่งของต่าง ๆ คือ ใช้เป็น ใช้แบบประหยัด และรับผิดชอบในการใช้สิ่งของต่าง ๆ ต้องไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดมลภาวะใด ๆ สร้างสังคมไร้ขยะขึ้น โดยมุ่งส่งเสริมหรือสนับสนุนให้นิสิต และชุมชน สร้างผลิตภัณฑ์ปลอดภัย มาขายในราคาถูกในมหาวิทยาลัย เช่น
ขั้นที่ ๑ พอกิน
เป้าหมายคือ ทำให้ชุมชนรอบมหาวิทยาลัย "พอกิน" มีกินและได้กินอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ราคาไม่แพง
จากการสำรวจสอบถามตามร้านค้า ร้านอาหาร ต่างๆ รอบ ๆ มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากตลาดกลางในเมือง พืชผักส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกในพื้นที่แต่ถูกขนมาจากระยะไกล้ แม้ว่าในพื้นที่จะมีลำน้ำชีและที่เพาะปลูกอย่างเพียงพอ และที่สำคัญ ไม่ใช่อาหารปลอดสารพิษ รับประกันไม่ได้ว่าอาหารที่นิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัยกินทุกวันนั้นปลอดภัยหรือไม่เพียงใด
วิธีการก้าวผ่านบันไดขั้นนี้
- สร้างพื้นที่และเปิดพื้นที่ให้ร้านอาหาร ข้าวแกง อาหารตามสั่ง เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ไม่เฉพาะบริเวณตลาดน้อย แต่บริเวณข้างอาคารของแต่ละคณะ ซึ่งหลายๆ คณะได้ดำเนินการแล้ว เช่น สถาปัตย์ วิทยาศาสตร์ บัญชีฯ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้
- นิสิตไม่ต้องขับรถออกไปกินข้าวข้างนอก
- นิสิตมีเวลาเพียงพอที่จะทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ไปซื้อลูกชิ้น หมูปิ้ง ฯลฯ
- มหาวิทยาลัยอาจได้รายได้เพิ่มในการให้เช่า (เบื้องต้นไม่แนะนำให้จัดเก็บ แต่ให้ควบคุมราคาและคุณภาพให้ ถูกกว่า และดีกว่าการออกไปกินข้างนอก และดีคุ้มค่ากว่าการกินอาหารฟาสฟู๊ดในราย 7-11)
- พัฒนา (อบรม) ผู้ประกอบการร้านอาหารเหล่านี้ที่เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยทั้งหมด ให้จัดการเรื่องขยะตามแนวทางของมหาวิทยาลัย หากไม่สามารถจัดการได้ตามมาตรฐาน ต้องถูกระงับพื้นที่การขาย (อาจมีมาตรการหลายระดับ ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง)
- ร่วมกันร่างข้อกำหนดและแนวปฏิบัติต่างๆ ในการจัดการขยะ การลดขยะ ความสะอาด ฯลฯ
- การใช้วัตถุดิบสะอาด ปลอดสารพิษ โดยเฉพาะผลผลิตที่สะอาดที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ส่งเสริมและผลิต
- ออกสำรวจพื้นที่เพาะปลูกและรับสมัครเกษตรเข้าร่วมโครงการผลิตอาหารปลอดภัยให้ลูกหลานในมหาวิทยาลัยของเรากิน ให้คณะที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พาทำ พาชาวบ้านเพาะปลูกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะชมชนที่มีศักยภาพในพื้นที่เขตชลประทานต่างๆ เช่น ริมชี ข้างหนองคูขาด เป็นต้น ... ข้อนี้ต้องใช้กำลังใจ ความเพียร สติปัญญา และความสามัคคีร่วมมือกันระหว่างหลักสูตรและสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ประกาศให้มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยอาหารสะอาด เมื่อพร้อม เพื่อกำลังผลิตสมดุล และสามารถควบคุมความปลอดภัยของการผลิต การแปรรูป และการขายอาหารในมหาวิทยาลัยได้ สำนักศึกษาทั่วไปรับผิดชอบสื่อสารไปยังนิสิตในทุกชั้นเรียน
เป้าหมายคือ ทำให้นิสิต บุคลากร และชาวบ้านในชุมชนรอบๆ มหาวิทยาลัย มีวินัยและใส่ใจในการใช้สิ่งของต่าง ๆ คือ ใช้เป็น ใช้แบบประหยัด และรับผิดชอบในการใช้สิ่งของต่าง ๆ ต้องไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดมลภาวะใด ๆ สร้างสังคมไร้ขยะขึ้น โดยมุ่งส่งเสริมหรือสนับสนุนให้นิสิต และชุมชน สร้างผลิตภัณฑ์ปลอดภัย มาขายในราคาถูกในมหาวิทยาลัย เช่น
- เศษอาหารจากร้านอาหารและเศษใบไม้ใบหญ้าที่ตัดมาจำนวนมากนั้น ให้นำไปทำปุ๋ยหมัก เพื่อทำดินปลูก มาจำหน่ายราคาถูกภายในมหาวิทยาลัย
- ลดการใช้พลาสติกอย่างจริงจัง
- คัดแยกขยะอย่างจริงจัง ใช้กลไกของกิจกรรมในหลักสูตร โดยเฉพาะรายวิชาศึกษาทั่วไป ขับเคลื่อนให้นิสิตทุกคนคัดแยกขยะอย่างจริงจัง
- สร้างคลังหรือตลาดเปิดเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ามือสองของนิสิต
- จะสังเกตว่านิสิตชั้นปี ๔ ทิ้งสิ่งของใช้จำนวนมาก หรือจำเป็นต้องขนกลับบ้าน ส่วนนิสิตใหม่ชั้นปีหนึ่ง ก็ต้องหาซื้อของใช้ราคาแพงจำนวนมาก
- หากมหาวิทยาลัยทำตลาดหรือโกดังขายสินค้ามือสองแบบพี่-น้อง จะทำให้เกิดพลังหมุนเวียน แลกเปลี่ยน ซื้อขาย สิ่งของต่างๆ เช่น เฟอร์นีเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
- ว่าที่บัณฑิตจะมีรายได้ นิสิตใหม่จะประหยัดรายจ่าย
- จะลดปริมาณขยะลงไปไม่น้อยเทียว
- แต่ละคณะที่มีความถนัดในการผลิต ส่งเสริมให้นิสิตผลิตสินค้าออกขายให้คนภายในมหาวิทยาลัยกันเองในราคาเป็นธรรม เช่น นิสิตเอกโภชนาการขายอาหารปลอดภัย นิสิตเกษตรขายผลิตผลทางการเกษตร ฯลฯ อาจเรียกว่า "๑ หลักสูตร ๑ ผลิตภัณฑ์" หรือ " ๑ หลักสูตร ๑ นวัตกรรม"
ขั้นที่ ๓ พออยู่
เป้าหมายคือการสร้างชุมชนและสังคมที่น่าอยู่ คงความดีของสังคมไทยในอดีตกลับมาให้มากที่สุด เช่น ความเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน วัฒนธรรมครอบครัวใหญ่ ทำนุบำรุงประเพณีวัฒนธรรมที่แท้จริงกลับมา เช่น
- จัดทำโครงการ "ลูกฮัก พักบ้านพ่อ-แม่" ให้ร่วมกันกับชุมชนที่มีบ้านที่อยู่อาศัยพร้อมในกว่า ๕๐ หมู่บ้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัย จัดให้นิสิตที่เรียนดี ขาดแคลน รักดี ไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติดใด ๆ เข้าอยู่อาศัยเป็น "ลูกฮัก" (ลูกบุญธรรม) ของพ่อฮักแม่ฮัก ชดเชยการจากไปของลูกแท้ๆ ที่ต้องจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัด โดยต้องช่วยดูแลท่านเหมือนดูแลพ่อแม่ ช่วยทำงานบ้าน ช่วยทำงานการเกษตรเสาร์-อาทิตย์หรือตามสมควร โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านใด ๆ เหมือนอยู่ในบ้านตนเอง ซึ่งในวันเปิดตัว อาจมีพิธีกรรมสัญญา-สาบานกันตามสมควร
- สร้างหลักสูตรสร้างคนเกษตรพอเพียง (อาจจะใช้ชื่อใดก็ได้) โดยดำเนินการดังนี้
- ค้นหาและถอดบทเรียนอาจารย์หรือบุคลากรมหวาวิทยาลัยที่เป็นคน "พอเพียง" ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพร้อมที่จะรับนิสิตเข้าศึกษาในแปลงเกษตรหรือฟาร์มของท่าน สร้างเป็นฐานการเรียนรู้ระดับเชี่ยวชาญ
- เปิดหลักสูตรระยะ ๒ ปี ๓ ปี หรือ ๔ ปี สามารถเปิดได้หลากหลายแบบ ตัวเช่น กรณี ๔ ปี ให้
- ปี ๑ เรียนวิชาพื้นฐาน และกระบวนการเรียนรู้ ให้เข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
- ปี ๒ ส่งไปอยู่เรียนรู้แบบฤาษี (เรียนแบบฝึกช่าง) คือไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ที่รับเป็นครูฝึก ให้เชี่ยวชาญเรื่อง พืช
- ปี ๓ ส่งไปอยู่เรียนแบบฤาษีให้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ (อาจเลือกตามความสนใจ)
- ปี ๔ กลับมาเรียนแบบเสวนา สัมมนา และแลกเปลี่ยน เน้นไปที่การสหกรณ์ กระบวนการภาคประชาสังคม และการตลาด
- ฯลฯ
- พัฒนาสำนักงานหอพักของมหาวิทยาลัยให้ดูแลนิสิตของมหาวิทยาลัยให้มากที่สุด โดยใช้วิธีการสร้างระบบหอพักเครือข่ายให้เข้มแข็ง
- หอพักที่จะรับนิสิตของมหาวิทยาลัยได้ ต้องเป็นหอพักเครือข่าย โดยอาจมีมาตรฐานของหอพักเครือข่ายระดับต่าง ๆ ให้ผู้ปกครองสามารถเลือกได้ เช่น
- หอพักระดับ ก. คือหอพักแยกชายหญิงชัดเจน อย่างเข้มงวด มีกล้องวงจรปิด เช่นดัง หอพักใน ของมหาวิทยาลัย
- หอพักระดับ ข. คือหอพักแยกชายหญิงชัดเจน แต่ไม่เข้มงวด ... มีอยู่ดาดเดื่อนตอนนี้
- บ้านเช่าหรือบ้านพักแบบที่นิสิตอยู่รวมกันหลายคน
- ฯลฯ
- หอพักที่จะรับนิสิตต้องมีการจัดการขยะที่ดี ต้องจัดการน้ำเสียได้มาตรฐาน หากหอพักใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการใดๆ ที่มหาวิทยาลัยกำหนด จะมีการแจ้งข้อมูลและเตือนไปยังผู้ปกครอง หรือประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
- ฯลฯ
- ฯลฯ
ขั้นที่ ๔ พอเพียง
เมื่อขับเคลื่อนไปได้ใกล้เคียงกับการพอกิน พอใช้ และพออยู่แล้ว มหาวิทยลัยของได้ใจนิสิต ได้ใจชาวบ้านรอบมหาวิทยาลัยพอสมควรแล้ว ๓ ขั้นแรกนั้นเป็นเหมือนการทำให้ดู ทำเป็นแบบอย่าง และเป็นเหมือนการให้ใจ ผลก็คือการได้ใจกลับมานั่นเอง
เมื่อให้ใจ ก็จะตั้งใจฟัง และเชื่อฟังมหาวิทยาลัย ถึงเวลาเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ชุมชนอย่างเต็มกำลัง สิ่งที่ควรทำคือ จัดตั้งสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นในมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่ดังนี้คือ
เป้าหมายคือ การก้าวสู่การสร้างปรัชญาของมหาวิทยาลัยที่เป็นนามธรรม คือ "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" ให้เป็นรูปธรรมโดยเปลี่ยนมหาวิทยาลัยไปสู่ "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมและชุมชน" (Social Engagement University) โดยดำเนินการดังนี้
เมื่อขับเคลื่อนไปได้ใกล้เคียงกับการพอกิน พอใช้ และพออยู่แล้ว มหาวิทยลัยของได้ใจนิสิต ได้ใจชาวบ้านรอบมหาวิทยาลัยพอสมควรแล้ว ๓ ขั้นแรกนั้นเป็นเหมือนการทำให้ดู ทำเป็นแบบอย่าง และเป็นเหมือนการให้ใจ ผลก็คือการได้ใจกลับมานั่นเอง
เมื่อให้ใจ ก็จะตั้งใจฟัง และเชื่อฟังมหาวิทยาลัย ถึงเวลาเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ชุมชนอย่างเต็มกำลัง สิ่งที่ควรทำคือ จัดตั้งสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นในมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่ดังนี้คือ
- จัดการความรู้เรื่อง พอกิน พอใช้ พออยู่
- พัฒนานิสิตและบุคลากร ให้ระเบิดจากข้างใน เข้าใจเรื่องความพอเพียงอย่างถูกต้อง จนสามารถถ่ายทอดได้
- ผลิตบัณฑิตด้วยหลักสูตรต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง และขยายผลอย่างเป็นระบบ
- วัดผลและประเมินผลกระทบต่อชุมชนและสังคม
เป้าหมายคือ การก้าวสู่การสร้างปรัชญาของมหาวิทยาลัยที่เป็นนามธรรม คือ "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" ให้เป็นรูปธรรมโดยเปลี่ยนมหาวิทยาลัยไปสู่ "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมและชุมชน" (Social Engagement University) โดยดำเนินการดังนี้
- มอบหมายให้รองอธิการท่านหนึ่งรับผิดชอบด้านนี้โดยตรง
- แต่งตั้งประธานหลักสูตรเป็นกรรมการรับผิดชอบดูแลขับเคลื่อนเรื่องนี้จริงจัง โดยปรับพันธกิจหลักด้วยมุมมองใหม่ (รายละเอียดอ่านบันทึกถอดบทเรียนจากการฟัง ศ.นพ.วิจารณ์ ที่นี่)
- สร้างทีมกระบวนกรหรือคุณอำนวย (Facilitator) เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างบูรณาการ ๕ ภาคส่วนได้แก่
- มหาวิทยาลัย
- ภาครัฐ หน่วยงานรัฐ
- ภาคประชาชน ประชาสังคม
- ภาคเอกชน
- สื่อสารมวลชน
- สร้างระบบและกลไกการขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น งบประมาณ บุคลากร ฯลฯ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน
- ประเมินผลกระทบ วิจัย และพัฒนากระบวนการขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคม"
ถึงตรงนี้ ... ผมขอสะกิดตนเองให้ตื่นมาพบกับความจริงของชีวิต ด้วยจิตที่ปล่อยวาง ... เชียร์อยู่ห่าง ๆ ต่อไปครับ.. คิดใหญ่ทำเล็กเสมอ....
ดูเหมือนบันได ๕ ขั้นนี้ จะไม่เกี่ยวกับปัญหา น้ำเสีย ขยะ และจราจร แต่ความจริงเกี่ยวโดยตรง เพราะแท้จริงแล้วสาเหตุของปัญหาทั้งสามมาจากจิตสำนึก คนพอเพียงซึ่งมีจิตสำนึกของความรู้+ความดี จะทำให้ปัญหาทั้งสามอย่างค่อย ๆ หายไปเอง (อ่านสมการความพอเพียงที่นี่)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น