วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"ต้นมะม่วง" และ "ปูทะเล" คืออะไร ตีความด้วยใจบูชา พระมหาชนก (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙)

ผมตั้งคำถามกับนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบ่อย ๆ ว่า "มีใครไม่รู้จักพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนกหรือไม่" ทุกครั้งจะได้คำตอบอันชื่นใจ ไม่มีใครไม่รู้จักเลย ท่านผู้อ่านก็คงเช่นกัน ....  วันนี้โอกาสดี ขอหยิบเอาหนังสือพระราชนิพนธ์ฯ ที่เราต่างก็รู้กันดีนั้น มาศึกษาตีความให้ประเทืองปัญญา เสริมศรัทธา และหนุนความเพียรกันครับ



๑) ทบทวนสิ่งที่ควรคำนึง

ขอเริ่มด้วยการให้ท่านดูภาพและข้อความในบทพระราชนิพนธ์ ต่อไปนี้ครับ



  • ระหว่างทางเสด็จเพื่อทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีมะม่วงสองต้นเขียวชะอุ่ม ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ... ใคร ๆ มิอาจเก็บผลจากต้นนั้นได้ เพราะพระราชายังมิได้เสวย 
  • เมื่อพระมหาชนกเก็บเอาผลหนึ่งเสวย ... พอตั้งอยู่อยู่ที่ปลายพระชิวหา (ลิ้น) ก็ปรากฎดุจโอชารสทิพย์ ทรงคิดว่า "เราจักกินให้มาก เวลากลับ" ก่อนเสด็จสู่อุทยาน 

  • คนอื่น ๆ มีอุปราชเป็นต้นจนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน ฝ่ายคนเหล่าอื่นยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง 
  • เมื่อทรงเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเห็น...เหล่าอามาตย์กราบทูลว่า ใบและวรรณะของมะม่วงต้นหนึ่งไม่สิ้นไปเพราะไม่มีผล แต่อีกต้นหนึ่งถูกโค่นไปเพราะมีผล ทรงดำริว่า "แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล" 
  • ตอนที่เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว...นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง 

๒) สังเกตุและตีความ "เมืองอวิชชา"
  • ลองพิจารณารูปประกอบโดยละเอียด จะพบว่า 

    • ทรงตั้งชื่อเมือง (ที่ผู้คนจาริกอยู่ในโมหภูมิ) ว่า "เมืองอวิชชา" เจ้าเมืองท่าทางเก่งฉลาด รอบรู้วิทยาการ (ใส่แว่น หัวใส) แต่เป็นคนไม่ดี (ลักษณะหน้าตา) กำลังเสพสำราญกับสตรีแสนสวย โดยมีสตรีขับกล่อมดินตรีและเฝ้าปรนนิบัติบริการอย่างดี  
    • มีปราสาทย่อย ๓ หลังชื่อ โลภ โกรธ และหลง 
      • ปราสาทชื่อ "โกรธ" เป็นศาลาเปิดโล่ง (โจ่งแจ้ง) ไม่กลัวใคร บำเรอความสุขของตนอ้วยอิทธิพลและสาวงามมากมาย กำลังยกหูโทรศัพท์คุยสั่งการงานอัปรีย์ไม่ดีทั้งหลาย 
      • ปราสาทชื่อ "โลภ" เป็นศาลาปิดม่านมิดชิด กำลังถ่ายทำหนังลามก แต่เปิดให้เด็ก ๆ  เข้าชมได้
      • ปราสาทชื่อ "หลง" เป็นปราสาทคอนกรีตสองชั้น ชั้นบนมีคนกำลังเสพยาและสมสู่กันเป็นชู้นอน ด้านล่างคุณครูกำลังพาเด็ก ๆ มาศึกษาดูงาน 
    • บริเวณพื้นที่หน้า/กลางลานเมือง มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกำลังเต้นรำ กอดรัด กันอยู่อย่างสนุกสนาน 
    • ในขณะที่คนไทยจำนวนมากกำลังรอคิดแจ้งเหตุ กับ เจ้าหน้าที่ในป้อมยาม 

    • ถัดจากป้อมยามรับแจ้งเหตุ ด้านหลังของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีผู้ใหญ่กำลังเทน้ำเสียและของเสียทิ้งลงแม่น้ำ ในขณะที่เด็ก ๆ ก็กำลังดูเป็นตัวอย่าง... เจ้าหน้าที่มัวแต่ง่วนอยู่กับการรับแจ้งเหตุรายวัน (กำลังคุยโทรศัพท์) จึงไม่ได้คิดเรื่องห้ามการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ 
    • แม่น้ำนั้นมีเด็กส่วนหนึ่งกำลังลงว่ายน้ำเล่น แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่งที่นั่งขับถ่ายลง 
    • ถัดมามีผู้ใหญ่ ๕ คนอยู่บนเรือ คนหนึ่งพายเรือ อีกคนชวนดื่มเหล้า คนหนึ่งกำลังดื่มและเอาท้าวราน้ำด้วย ส่วนอีกสองคนกำลังเล่นดนตรีร้องเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน 
    • ประชาชนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิงผู้ชาย ชาวบ้าน พรมหม์ ต่างช่วยกันกินผลมะม่วง และโค่นผลมะม่วง ทั้งใช้วิธีดึง โน้ม และใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ต้นมะม่วงล้มลงแล้ว 
๓) ฟื้นฟู "ต้นมะม่วง"
  • ทรงดำริว่า ทุกบุคคลจะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น... อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นต้องหาทางฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล 
  • ทรงให้ไปเชิญอุทิจจพราหมณ์มหาศาลให้มาพร้อมด้วยลูกศิษย์สองสามคน ... อุทิจจพราหมณ์มหาศาลมาเข้าเฝ้าพร้อมลูกศิษย์สองคนคือ จารุเตโชพราหมณ์ และ คเชนทรสิงหบัณฑิต 
    • จารุเตโชพรหาหมณ์ เชี่ยวชาญเรื่องการปลูก ... สังเกตว่าเป็นพราหมณ์ น่าจะส่งทรงหมายถึงภูมิปัญหาของไทยใน "บวร" บ้านวัดโรงเรียนอยู่ด้วยกัน 
    • คเชนทรสิงหบัณฑิต เชี่ยวชาญเรื่องการถอน... สังเกตว่าเป็นบัณฑิตผู้รู้วิทยาการ (ต่างประเทศ) คนนี้เองที่เอาเครื่องจักรไปโค่นต้นมะม่วง 
  • เมื่อมาถึงหน้าพระพักตร์ คเชนทรสิงหบัณฑิต ทรุดลงแทบพระบาทของพระราชา แล้วกล่าวว่า "ข้าพระองค์ผิดเอง" ... ผมตีความว่า แม้ขณะนี้ที่ผมกำลังเขียนบันทึกนี้ ก็ยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์นี้เลย นอกจากจะไม่ได้สำนึกผิดแล้ว ยังกล่าวตู่ด้วยความทิฐิมานะ (ดูคลิปนี้นาทีที่ ๗ - ๒๔ เถิด)
  • พระราชาบอกว่า "อย่าโทมนัสไปเลย... บัดนี้ปัญหาคือจะฟื้นฟูต้นมะม่วงได้อย่างไร...เรามีวิธี ๙ อย่างที่อาจจะใช้ได้ ...ดังนี้ (เชิญอ่าน การตีความของ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ได้ที่นี่ครับ ผมสรุปคำสำคัญไว้ในวงเล็บครับ)
    • หนึ่งคือ เพาะเมล็ด ... (การศึกษาของเยาวชน)
    • สองคือ ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ ... (สืบสานและพัฒนาภูมิปัญญา รากเหง้าวัฒนธรรมอันดี)
    • สามคือ ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ.. (บำรุง ส่งเสริมคนดี ให้ได้เติบโต)
    • สี่คือ เอากิ่งดีมาเสียบยอดของกิ่งที่ไม่มีผลให้มีผล ... (ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองคนไม่ดี)
    • ห้าคือ เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น ... (เอาความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ๆ มาใช้)
    • หกคือ เอากิ่งมาทาบกิ่ง ... (รวมพลังคนดี ประสานสามัคคีกัน)
    • เจ็ดคือ ตอนกิ่งให้ออกราก ... (สร้างเสริมคนดีให้มีความเข้มแข็งเพียงพอเพื่อขยายผล)
    • แปดคือ รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล ... (อาจต้องใช้การบังคับให้กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ)
    • เก้าคือ ทำชีวาณูสงเคราะห์ ... (ใช้การเปลี่ยนทัศนคติของสังคมโดยใช้สื่อสารมวลชน)
  • หลังจากพระราชทานแนวพระราชดำริแล้ว ทรงบอกกับอุทิจจพราหมณ์มหาศาลว่า "จงให้พราหมณ์อันเตวาสิกไปพิจารณา" 

๔) ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
  • ทรงตรัสกับพราหมณ์มหาศาลว่า "เราสงวนเรื่องนี้มานานหลายเวลาแล้ว...ก่อนที่คลื่นยักษ์จะมากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกันว่า โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า.."
  • พราหมณ์ทูลว่า "ข้าพระองค์ก็เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่ามีปูทะเลยักษ์ดังนี้หรือไม่" 
  • พระราชาตรัสว่า "มีแน่แท้ หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่า ก็ว่ายข้ามมหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราว ๆ บางครั้งก็รู้สึกได้เหยิบพื้นทะเลได้คล้าย ๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่ ๖ ในจำพวก ๗ บุคคล (ในพระไตรปิฎก อุทกูปมสูตรที่ ๕ )
    • จำพวกที่ ๑ ตกน้ำแล้วจมเลย ...(ทั้งชีวิตประกอบแต่อกุศลกรรม)
    • จำพวกที่ ๒ ตกน้ำ ผุดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วจม ... (มีธรรม แต่ไม่คงที่ ไม่เจริญ เสื่อมไป)
    • จำพวกที่ ๓ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่ ... (มีธรรม ไม่เสื่อม แต่ไม่เจริญ)
    • จำพวกที่ ๔ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ... (พระโสดาบัญ)
    • จำพวกที่ ๕ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ... (พระสกทาคามี)
    • จำพวกที่ ๖ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ... (พระอนาคามี)
    • จำพวกที่ ๗ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่ง ข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพรามหมณ์ยืนอยู่...(พระอรหันต์)
  • นางมณีเมขลา กล่าวว่า "ท่านต้องให้สาธุชนได้รับพร แห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน ถึงกาลอันสมควรท่านจงตั้ง มหาวิชชาลัย" 
  • เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ และทรงเห็นสมควรว่าควรจัดตั้ง "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว 
  • พราหมณ์มหาศาลเห็นพ้องกับพระราชดำริ กล่าวว่า "พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ไว้ใจได้ และจะประดิษฐาน ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี 
  • มิถิลาไม่สิ้นคนดี 
  • วิริยะ(อนุรักษ์+พัฒนา)
  • คุณธรรม(อนุรักษ์ + พัฒนา) 
๕) ผมตีความ

  • ต้นมะม่วง ก็คือ ประเทศไทยของเรานั้นเอง ถ้าเรามุ่งพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่มีความเจริญอย่างมาก (เจริญทางโลก) โดยที่คนในประเทศไม่มีปัญญา หลงอยู่ใน "โมหภูมิ" ประเทศเราก็จะกลายเป็น "เมืองอวิชชา" ที่มากด้วยโลภโกรธหลง ดังเช่นประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ทั่วโลก ที่กำลังมุ่งไปสู่สงคราม การยื้อแย่งทำลายล้างกัน ... ผมว่าประเทศเราถล่ำลงไปกว่าครึ่งตัวแล้ว
  • พราหมณ์มหาศาล ก็คือ องคมนตรี 
  • ปูทะเล คือ มรรคมีองค์ ๘ (ปูมีแปดขา)
  • ทรงสอนให้คนไทย ไม่ทิ้งวัด ไม่ทิ้งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
  • ต้นเหตุของการทำลายประเทศนี้คือ "โลภ โกรธ และ หลง" 
    • โลภ คือ โลภอย่างมาก อยากจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย จึงอยากเป็นเสือตัวที่ห้า พาประเทศเข้าสู่การเป็นทุนนิยมเสรี ทุนนิยมสมัยใหม่เต็มตัว .... ทรงสอนเรื่อง "ความพอประมาณ" เพื่อจัดการกับความโลภ 
    • โกรธ คือ ขาดเหตุผล ขาดความรอบคอบ ยึดถือตัวตน เอาต้นเป็นใหญ่ อิทธิพล อำนาจ บังคับ ทะเลาะ ขัดแย้ง สงคราม .... ส่งสอนเรื่อง เหตุผลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง 
    • หลง คือ การตกอยู่ในโมหภูมิ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร ไม่รอบรู้ ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ศักยภาพของตนเอง ไม่รู้วิชา ไม่มีความรู้ ทำอะไรขาดความระมัดระวัง ... ทรงสอนเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันในตนที่ดี 

  • นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง 
    • คนรักษาม้า คือ เกษตรกร ชาวบ้าน ประชาชน
    • อุปราช คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม 
    • อามาตย์ คือ ข้าราชการ 
ผมอ่านพระราชนิพนธ์พระมหาชนกรอบนี้ ด้วยความสุข และสนุกที่ได้ประเทืองปัญญาตนเองอย่างยิ่ง ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองศึกษาดูด้วยตนเองเถิดครับ 

2 ความคิดเห็น:

  1. อนุโมทนา​บุญ​ด้วยครับ​ ที่ท่านได้อธิบายให้เห็นในที่ลับและได้รู้ในที่แจ้งครับ

    ตอบลบ
  2. เป็นการตีความที่น่าสนใจมากครับ...ตอนที่ผมอ่านหนังสือพระมหาชนก ก็เหมือนจะจับอะไรได้บ้างแต่ไม่ชัดเจนนัก..อ่านบทความนี้ รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย เพราะรู้สึกว่ามีการซ่อนปริศนาธรรม ไว้มากมายทั้งในเนื้อหา และ รูปภาพประกอบ

    ตอบลบ