๑) ทบทวนสิ่งที่ควรคำนึง
ขอเริ่มด้วยการให้ท่านดูภาพและข้อความในบทพระราชนิพนธ์ ต่อไปนี้ครับ
- ระหว่างทางเสด็จเพื่อทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีมะม่วงสองต้นเขียวชะอุ่ม ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ... ใคร ๆ มิอาจเก็บผลจากต้นนั้นได้ เพราะพระราชายังมิได้เสวย
- เมื่อพระมหาชนกเก็บเอาผลหนึ่งเสวย ... พอตั้งอยู่อยู่ที่ปลายพระชิวหา (ลิ้น) ก็ปรากฎดุจโอชารสทิพย์ ทรงคิดว่า "เราจักกินให้มาก เวลากลับ" ก่อนเสด็จสู่อุทยาน
- คนอื่น ๆ มีอุปราชเป็นต้นจนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน ฝ่ายคนเหล่าอื่นยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง
- เมื่อทรงเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเห็น...เหล่าอามาตย์กราบทูลว่า ใบและวรรณะของมะม่วงต้นหนึ่งไม่สิ้นไปเพราะไม่มีผล แต่อีกต้นหนึ่งถูกโค่นไปเพราะมีผล ทรงดำริว่า "แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล"
- ตอนที่เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว...นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง
๒) สังเกตุและตีความ "เมืองอวิชชา"
- ลองพิจารณารูปประกอบโดยละเอียด จะพบว่า
- ทรงตั้งชื่อเมือง (ที่ผู้คนจาริกอยู่ในโมหภูมิ) ว่า "เมืองอวิชชา" เจ้าเมืองท่าทางเก่งฉลาด รอบรู้วิทยาการ (ใส่แว่น หัวใส) แต่เป็นคนไม่ดี (ลักษณะหน้าตา) กำลังเสพสำราญกับสตรีแสนสวย โดยมีสตรีขับกล่อมดินตรีและเฝ้าปรนนิบัติบริการอย่างดี
- มีปราสาทย่อย ๓ หลังชื่อ โลภ โกรธ และหลง
- ปราสาทชื่อ "โกรธ" เป็นศาลาเปิดโล่ง (โจ่งแจ้ง) ไม่กลัวใคร บำเรอความสุขของตนอ้วยอิทธิพลและสาวงามมากมาย กำลังยกหูโทรศัพท์คุยสั่งการงานอัปรีย์ไม่ดีทั้งหลาย
- ปราสาทชื่อ "โลภ" เป็นศาลาปิดม่านมิดชิด กำลังถ่ายทำหนังลามก แต่เปิดให้เด็ก ๆ เข้าชมได้
- ปราสาทชื่อ "หลง" เป็นปราสาทคอนกรีตสองชั้น ชั้นบนมีคนกำลังเสพยาและสมสู่กันเป็นชู้นอน ด้านล่างคุณครูกำลังพาเด็ก ๆ มาศึกษาดูงาน
- บริเวณพื้นที่หน้า/กลางลานเมือง มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกำลังเต้นรำ กอดรัด กันอยู่อย่างสนุกสนาน
- ในขณะที่คนไทยจำนวนมากกำลังรอคิดแจ้งเหตุ กับ เจ้าหน้าที่ในป้อมยาม
- ถัดจากป้อมยามรับแจ้งเหตุ ด้านหลังของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีผู้ใหญ่กำลังเทน้ำเสียและของเสียทิ้งลงแม่น้ำ ในขณะที่เด็ก ๆ ก็กำลังดูเป็นตัวอย่าง... เจ้าหน้าที่มัวแต่ง่วนอยู่กับการรับแจ้งเหตุรายวัน (กำลังคุยโทรศัพท์) จึงไม่ได้คิดเรื่องห้ามการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ
- แม่น้ำนั้นมีเด็กส่วนหนึ่งกำลังลงว่ายน้ำเล่น แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่งที่นั่งขับถ่ายลง
- ถัดมามีผู้ใหญ่ ๕ คนอยู่บนเรือ คนหนึ่งพายเรือ อีกคนชวนดื่มเหล้า คนหนึ่งกำลังดื่มและเอาท้าวราน้ำด้วย ส่วนอีกสองคนกำลังเล่นดนตรีร้องเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน
- ประชาชนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิงผู้ชาย ชาวบ้าน พรมหม์ ต่างช่วยกันกินผลมะม่วง และโค่นผลมะม่วง ทั้งใช้วิธีดึง โน้ม และใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ต้นมะม่วงล้มลงแล้ว
๓) ฟื้นฟู "ต้นมะม่วง"
- ทรงดำริว่า ทุกบุคคลจะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น... อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นต้องหาทางฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล
- ทรงให้ไปเชิญอุทิจจพราหมณ์มหาศาลให้มาพร้อมด้วยลูกศิษย์สองสามคน ... อุทิจจพราหมณ์มหาศาลมาเข้าเฝ้าพร้อมลูกศิษย์สองคนคือ จารุเตโชพราหมณ์ และ คเชนทรสิงหบัณฑิต
- จารุเตโชพรหาหมณ์ เชี่ยวชาญเรื่องการปลูก ... สังเกตว่าเป็นพราหมณ์ น่าจะส่งทรงหมายถึงภูมิปัญหาของไทยใน "บวร" บ้านวัดโรงเรียนอยู่ด้วยกัน
- คเชนทรสิงหบัณฑิต เชี่ยวชาญเรื่องการถอน... สังเกตว่าเป็นบัณฑิตผู้รู้วิทยาการ (ต่างประเทศ) คนนี้เองที่เอาเครื่องจักรไปโค่นต้นมะม่วง
- เมื่อมาถึงหน้าพระพักตร์ คเชนทรสิงหบัณฑิต ทรุดลงแทบพระบาทของพระราชา แล้วกล่าวว่า "ข้าพระองค์ผิดเอง" ... ผมตีความว่า แม้ขณะนี้ที่ผมกำลังเขียนบันทึกนี้ ก็ยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์นี้เลย นอกจากจะไม่ได้สำนึกผิดแล้ว ยังกล่าวตู่ด้วยความทิฐิมานะ (ดูคลิปนี้นาทีที่ ๗ - ๒๔ เถิด)
- พระราชาบอกว่า "อย่าโทมนัสไปเลย... บัดนี้ปัญหาคือจะฟื้นฟูต้นมะม่วงได้อย่างไร...เรามีวิธี ๙ อย่างที่อาจจะใช้ได้ ...ดังนี้ (เชิญอ่าน การตีความของ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ได้ที่นี่ครับ ผมสรุปคำสำคัญไว้ในวงเล็บครับ)
- หนึ่งคือ เพาะเมล็ด ... (การศึกษาของเยาวชน)
- สองคือ ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ ... (สืบสานและพัฒนาภูมิปัญญา รากเหง้าวัฒนธรรมอันดี)
- สามคือ ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ.. (บำรุง ส่งเสริมคนดี ให้ได้เติบโต)
- สี่คือ เอากิ่งดีมาเสียบยอดของกิ่งที่ไม่มีผลให้มีผล ... (ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองคนไม่ดี)
- ห้าคือ เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น ... (เอาความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ๆ มาใช้)
- หกคือ เอากิ่งมาทาบกิ่ง ... (รวมพลังคนดี ประสานสามัคคีกัน)
- เจ็ดคือ ตอนกิ่งให้ออกราก ... (สร้างเสริมคนดีให้มีความเข้มแข็งเพียงพอเพื่อขยายผล)
- แปดคือ รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล ... (อาจต้องใช้การบังคับให้กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ)
- เก้าคือ ทำชีวาณูสงเคราะห์ ... (ใช้การเปลี่ยนทัศนคติของสังคมโดยใช้สื่อสารมวลชน)
- หลังจากพระราชทานแนวพระราชดำริแล้ว ทรงบอกกับอุทิจจพราหมณ์มหาศาลว่า "จงให้พราหมณ์อันเตวาสิกไปพิจารณา"
๔) ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
- ทรงตรัสกับพราหมณ์มหาศาลว่า "เราสงวนเรื่องนี้มานานหลายเวลาแล้ว...ก่อนที่คลื่นยักษ์จะมากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกันว่า โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า.."
- พราหมณ์ทูลว่า "ข้าพระองค์ก็เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่ามีปูทะเลยักษ์ดังนี้หรือไม่"
- พระราชาตรัสว่า "มีแน่แท้ หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่า ก็ว่ายข้ามมหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราว ๆ บางครั้งก็รู้สึกได้เหยิบพื้นทะเลได้คล้าย ๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่ ๖ ในจำพวก ๗ บุคคล (ในพระไตรปิฎก อุทกูปมสูตรที่ ๕ )
- จำพวกที่ ๑ ตกน้ำแล้วจมเลย ...(ทั้งชีวิตประกอบแต่อกุศลกรรม)
- จำพวกที่ ๒ ตกน้ำ ผุดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วจม ... (มีธรรม แต่ไม่คงที่ ไม่เจริญ เสื่อมไป)
- จำพวกที่ ๓ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่ ... (มีธรรม ไม่เสื่อม แต่ไม่เจริญ)
- จำพวกที่ ๔ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ... (พระโสดาบัญ)
- จำพวกที่ ๕ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ... (พระสกทาคามี)
- จำพวกที่ ๖ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ... (พระอนาคามี)
- จำพวกที่ ๗ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่ง ข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพรามหมณ์ยืนอยู่...(พระอรหันต์)
- นางมณีเมขลา กล่าวว่า "ท่านต้องให้สาธุชนได้รับพร แห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน ถึงกาลอันสมควรท่านจงตั้ง มหาวิชชาลัย"
- เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ และทรงเห็นสมควรว่าควรจัดตั้ง "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว
- พราหมณ์มหาศาลเห็นพ้องกับพระราชดำริ กล่าวว่า "พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ไว้ใจได้ และจะประดิษฐาน ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี
- มิถิลาไม่สิ้นคนดี
- วิริยะ(อนุรักษ์+พัฒนา)
- คุณธรรม(อนุรักษ์ + พัฒนา)
๕) ผมตีความ
- ต้นมะม่วง ก็คือ ประเทศไทยของเรานั้นเอง ถ้าเรามุ่งพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่มีความเจริญอย่างมาก (เจริญทางโลก) โดยที่คนในประเทศไม่มีปัญญา หลงอยู่ใน "โมหภูมิ" ประเทศเราก็จะกลายเป็น "เมืองอวิชชา" ที่มากด้วยโลภโกรธหลง ดังเช่นประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ทั่วโลก ที่กำลังมุ่งไปสู่สงคราม การยื้อแย่งทำลายล้างกัน ... ผมว่าประเทศเราถล่ำลงไปกว่าครึ่งตัวแล้ว
- พราหมณ์มหาศาล ก็คือ องคมนตรี
- ปูทะเล คือ มรรคมีองค์ ๘ (ปูมีแปดขา)
- ทรงสอนให้คนไทย ไม่ทิ้งวัด ไม่ทิ้งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ต้นเหตุของการทำลายประเทศนี้คือ "โลภ โกรธ และ หลง"
- โลภ คือ โลภอย่างมาก อยากจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย จึงอยากเป็นเสือตัวที่ห้า พาประเทศเข้าสู่การเป็นทุนนิยมเสรี ทุนนิยมสมัยใหม่เต็มตัว .... ทรงสอนเรื่อง "ความพอประมาณ" เพื่อจัดการกับความโลภ
- โกรธ คือ ขาดเหตุผล ขาดความรอบคอบ ยึดถือตัวตน เอาต้นเป็นใหญ่ อิทธิพล อำนาจ บังคับ ทะเลาะ ขัดแย้ง สงคราม .... ส่งสอนเรื่อง เหตุผลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
- หลง คือ การตกอยู่ในโมหภูมิ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร ไม่รอบรู้ ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ศักยภาพของตนเอง ไม่รู้วิชา ไม่มีความรู้ ทำอะไรขาดความระมัดระวัง ... ทรงสอนเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันในตนที่ดี
- นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง
- คนรักษาม้า คือ เกษตรกร ชาวบ้าน ประชาชน
- อุปราช คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม
- อามาตย์ คือ ข้าราชการ
ผมอ่านพระราชนิพนธ์พระมหาชนกรอบนี้ ด้วยความสุข และสนุกที่ได้ประเทืองปัญญาตนเองอย่างยิ่ง ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองศึกษาดูด้วยตนเองเถิดครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ ที่ท่านได้อธิบายให้เห็นในที่ลับและได้รู้ในที่แจ้งครับ
ตอบลบเป็นการตีความที่น่าสนใจมากครับ...ตอนที่ผมอ่านหนังสือพระมหาชนก ก็เหมือนจะจับอะไรได้บ้างแต่ไม่ชัดเจนนัก..อ่านบทความนี้ รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย เพราะรู้สึกว่ามีการซ่อนปริศนาธรรม ไว้มากมายทั้งในเนื้อหา และ รูปภาพประกอบ
ตอบลบ