วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พุทธศาสนากับปัญญาทางโลก

ปรัชญาที่ว่า "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" นั้น อาจตีความได้หลายแง่มุมโดยพิสดาร เช่น

(ก.) "ผู้มีปัญญา" จะต้อง "เป็นอยู่เพื่อมหาชน" ... หากไม่เป็นอยู่เพื่อมหาชน แสดงว่าเป็นผู้ไม่มีปัญญา 

(ข.) "ผู้มีปัญญา" ควรจะ "เป็นอยู่เพื่อมหาชน" ... ผู้มีปัญญาบางคนไม่ต้องเป็นอยู่เพื่อมหาชนก็ได้ ผู้ที่บรรลุสู่การเป็นผู้มีปัญญา มีสิทธิเลือกอย่างเสรีว่าจะเป็นอยู่เพื่อมหาชนหรือไม่
(ค.) "ผู้มีปัญญา" จะ "เป็นอยู่เพื่อมหาชน" ... ผู้มีปัญญาจะเป็นอยู่เพื่อมหาชนโดยธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ เพราะการบรรลุสู่การเป็นผู้มีปัญญา จะนำมาซึ่งคุณลักษณะของจิตใจที่เป็นไปเพื่อมหาชน

(ง.) ถูกทั้ง ก. ข. และ ค.

(จ.) งง

นิสิตหรืออาจารย์ที่อ่านถึงตรงนี้ คิดว่าข้อใดถูกต้องที่สุดครับ?????

ผมขอเฉลย ดังนี้


คำตอบจะขึ้นอยู่กับนิยามความหมายของคำว่า "ปัญญา" ที่เราเข้าใจ  ท่านเข้าใจว่า "ปัญญา" มีความหมายตามข้อใดต่อไปนี้ 
  • หากเข้าใจว่า "ปัญญา" คือ ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทางโลก ... หากท่านเข้าใจแบบนี้  ท่านคงตอบข้อ ก. หรือไม่ก็ ข.  ส่วนจะเป็นข้อใดนั้น เถียงกันไปก็ประเทืองปัญญาทางโลกดี
  • หากเข้าใจว่า "ปัญญา" คือ ความรู้แจ้งความจริงของธรรมชาติ ความจริงของโลกทั้งหมด ทั้ง"โลกภายนอก" และ "โลกภายใน" คือกาย (รูปธรรม) และใจ(นามธรรม) ของตนเอง (คือ รู้แจ้งอริยสัจ) หรือที่เรียกว่า "ปัญญาทางธรรม" ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ... ท่านอาจจะตอบ ข้อ ข. หรือ ข้อ ค. ก็เป็นได้  ส่วนจะตอบข้อใด อาจเป็นได้ดังนี้ 

    • การเข้าถึง "ปัญญาทางธรรม" เข้าถึงความไม่มีตัวไม่มีตน จะนำไปสู่ความเมตตา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน โดยอัตโนมัติ 
    • ผู้ที่ ตอบ ข. ท่านคือ พุทธสาวก หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า 
    • ผู้ที่ ตอบ ค. ท่านคือผู้ที่มีจิตใจแบบ พระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ 
  • เชื่อว่า อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่าน อาจจะตอบ ข้อ จ. .... งง.... ฮา 

อธิบายให้หายงง (ดูผัง)




  • คำว่า "ปัญญา" ในพระพุทธศาสนา เน้นไปที่ การศึกษาให้เกิดปัญญาเกี่ยวกับ กายและจิตใจ ของตนเอง เพื่อจะได้เห็นจริงว่า จริงๆ แล้ว 
    • เห็นแจ้งว่า กายใจไม่ใช่ตัวตน  (บรรลุเป็นพระโสดาบัน -> พระสกิทาคามี) 
    • รู้ทุกข์แห่งการยึดกาย -> ละวางกาย ไม่ยึดกาย พ้นจากกาม (พระอนาคามี)
    • รู้ทุกข์แห่งการยึดจิต -> ละวางจิต ไม่ยึดจิต พ้นจากทุกข์ (พระอรหันต์)
  • ปัญญาทางธรรม เกิดจาก การ "รู้" เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเองด้วยการ เจริญสติ ภาวนา "มีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยใจที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง" (ตามแนวการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช) มีลักษณะสำคัญคือ 
    • มีจุดสิ้นสุด จบงานเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์
    • ยิ่งคิด ยิ่งไม่รู้ แต่ต้องอาศัยดูการคิด 
    • รู้เห็นได้ด้วยตนเองผู้ศึกษาเท่านั้น (รู้เฉพาะตน)
    • รู้ได้เห็นได้ด้วยตนเองทุกคนที่ลงมือศึกษา (รู้ได้ด้วยตนเอง)
    • รู้ได้ไม่จำกัดกาล
  • คำว่า "ปัญญา" ในความหมายของคนส่วนใหญ่ในโลก จะเน้นไปที่ การศึกษาให้เกิดปัญญาเกี่ยวกับโลกแห่งกายภาพ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้ง ๖ ประการ (ด้านล่าง) ล้วนแต่เป็นปัญญาทางโลกนี้ทั้งนั้น 
  • ปัญญาทางโลก เกิดจากการ ฟัง-อ่าน คิดเป็นเหตุเป็นผล-คิดวิเคราะห์ และการลงมือปฏิบัติทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์  มีลักษณะสำคัญคือ 
    • พิสูจน์ได้ อธิบายได้ มีเหตุผล 
    • พิสูจน์ซ้ำได้ 
    • นำไปประยุกต์ใช้ อธิบาย สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้ เช่น เทคโนโลยีต่างๆ
    • ขั้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เครื่องมือ สิ่งแวดล้อม ชุมชน บุคคล กาลเวลา   
    • ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งสืบค้นยิ่งพบ ยิ่งคิดยิ่งมีเรื่องที่ต้องคิด สิ่งค้นยิ่งมีเรื่องสงสัยมากขึ้น 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น