มาครั้งนี้มีฐานะเป็นกรรมการตรวจเยี่ยมประเมินสถานศึกษาพอเพียงต้นแบบ ซึ่งรับสมัครใจเข้าร่วมมา ๗ แห่ง เพื่อคัดเลือกโรงเรียนที่พร้อมที่สุด ๓ แห่ง เป็นตัวแทนของ สพม.เขต ๒๖ ในการขับเคลื่อนเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงภายในปีการศึกษา ๒๕๕๘ นี้
ในมุมมองของคนขับเคลื่อน ปศพพ.ฯ สิ่งที่เป็นจุดแข็งของโรงเรียนคือ กระบวนทัศน์ (paradigm) วิธีคิด (mind set) (หรือที่นักวิชาการเรียก mind model) ของผู้อำนวยการโรงเรียน ประโยคแรกๆ ที่ผมได้ยินท่านสนทนากับคณะกรรมการ ท่านปรารภว่า ปัจจุบันสังคมมีค่านิยมผิดๆ ว่า "หากมีผลงาน โกงบ้างก็ไม่เป็นไร" ท่านบอกว่า บุคลากรทางการศึกษาต้องช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้องอย่างเร่งด่วน และปลูกฝังค่านิยมของความซื่อสัตย์ให้กับลูกหลาน สะท้อนให้เห็นถึงความยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และความมุ่งมั่นที่จะสร้างนักเรียนให้เป็น "คนดี มีคุณธรรม"
ผมมองว่าการเน้นเรื่อง "ความซื่อสัตย์" อย่างจริงจังนั้น เหมาะสมกับปัญหา ทันกับเหตุการณ์ของบ้านเมืองไทยตอนนี้อย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เรื่องนี้ ผลงานที่โรงเรียนนำมาเสนอด้านอาเซียน สิ่งแวดล้อม แหล่งเรียนรู้ และป้ายข้อเขียนที่ติดไว้ตามอาคารสถานที่ ยังสะท้อนให้เห็นชัดว่า ถึงความพยายามในการ "พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง" ที่กำลังจะมาถึง ผมเสนอท่านว่านอกจากความ "ซื่อสัตย์" แล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดอีกประการที่นักเรียนต้องมีคือ "ใฝ่เรียนรู้" และต้องรวมถึงครูด้วยที่ต้องทำเป็นแบบอย่าง
พิธีการประเมินเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไหลลื่น ดำเนินการโดยนักเรียนแกนนำเป็นหลัก นักเรียน ๕ คนออกมาแสดงความสามารถด้านภาษาไทย โดยกล่าวต้อนรับเป็นกลอน ก่อนจะคนที่ ๒ ๓ ๔ ๕ จะกล่าวเป็นภาษา อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม ตามลำดับ โดยเฉพาะเด็กที่พูดภาษาเวียดนาม ผอ.บอกว่า เรียนรู้ด้วยตนเอง ผมทึ่งในความสามารถนั้น และชื่นชมทันทีว่า อุปนิสัย "ใฝ่เรียนรู้" เป็นอุปนิสัยพอเพียงประการหนึ่ง .... ผมเสนอว่า ควรจะมีเวทีให้นักเรียนที่ประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้แบบนี้ได้ "ถอดประสบการณ์" และแลกเปลี่ยนแบ่งปัน "หลักปฏิบัติ" ของกันและกัน ซึ่งถ้าทำได้อย่างสนุกและต่อเนื่อง จะเกิด "สังคมแห่งการเรียนรู้ " ตามปรัชญาของโรงเรียน
ประธานนักเรียนกล่าวต้อนรับด้วยคำกลอนด้านล่างนี้ครับ คลิกฟัง
ขอต้อนรับสู่โรงเรียนวิถีพุทธ บริสุทธิ์หัวใจให้แด่ท่าน
ผู้เดินทางข้ามภูเขาลำเนาธาร จากร้อยเอ็ดเจ็ดย่านที่ผ่านมา
สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ สู่โรงเรียนในฝันสมคุณค่า
สู่วิถีพุทธศาสน์แห่งสมญา สู่ดินแดนบูชาพระธาตุนาดูน
ถือเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่ยืนยันสมมติฐานในการขับเคลื่อนของผมมานาน แต่จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่กล้ายืนยัน ผมพบว่าโรงเรียนที่สนใจและประสบผลสำเร็จในการขับเคลื่อนฯ จะมีฐานของ "วิธีพุทธศาสน์" ซึ่งในที่นี้ก็คือ "โรงเรียนวีถีพุทธ" แต่ในทางกลับกัน ผมพบว่า โรงเรียนอีกจำนวนหนึ่ง สนใจที่จะขับเคลื่อนฯ หรือน้อมนำ ปศพพ. ไปใช้อย่างจริงจัง เพราะเจอประสบการณ์ของการ "ไม่พอเพียง" ในการพัฒนา "โรงเรียนในฝัน" ..... ส่วนนี้ไม่มีผิดถูก ท่านผู้อ่านมีประสบการณ์อย่างไร นำมาแลกเปลี่ยนจะดีมาก
ข้อค้นพบและความเห็นสะท้อนกลับหลังจากการเยี่ยมประเมิน
จากวีดีทัศน์ที่ทางโรงเรียนนำเสนอต่อคณะกรรมการ ผมตีความว่า การขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนนาดูนฯ เน้นกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ซึ่งโดยมากจะเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้แต่ละกลุ่มสาระจัดทำ เช่น กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ทำโครงการ Thailand Go Green รวมพลังเยาวชนก้าวสู่สังคมสีเขียว กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ทำโครงการค่ายเตรียมพร้อม ๓ วัน ๒ คืน กลุ่มสาระการงานอาชีพ ทำโครงการเบญจอาชีวะ ฯลฯ ตลอดวีดีทัศน์กล่าวถึงโครงการและกิจกรรมต่างๆ มากมาย และพูดถึงรางวัลต่างๆ ที่ได้รับจากการแข่งขันทั้งระดับจังหวัดถึงระดับประเทศ หลังจากชมวีดีทัศน์และการนำเสนอแล้ว ผมไม่สามารถสังเคราะห์ได้ว่า ประเด็นสำคัญ ๔ ประการ ที่กรรมการฯ ควรจะได้คำตอบ ได้แก่
- "อุปนิสัยพอเพียง" ในความหมายของครูและนักเรียนคืออะไร อะไรคือ "อุปนิสัยเป้าหมาย" ของแต่ละกิจกรรมหรือโครงการ
- วิธีการปลูกฝังหรือสอดแทรก "อุปนิสัยเป้าหมาย" นั้นๆ ลงในแต่ละกิจกรรมหรือโครงการ
- ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อครูและนักเรียนในภาพรวม ในที่นี้หมายถึงครูและนักเรียนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกิจกรรมหรือโครงการ ซึ่งจำเป็นจะต้องเล่าให้เห็นวีธีการในการประเมินผลนั้นๆ ด้วย
- มีการขยายผลต่อผู้อื่นอย่างไร
ในการสอบถามและประเมินที่แหล่งหรือฐานการเรียนรู้ต่างๆ ผมตระหนักอย่างมากว่า ช่วงเวลาในการมาประเมิน โรงเรียนเพิ่งจะเปิดเรียนในภาคการศึกษาใหม่ได้เพียงไม่กี่วัน ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ว่า จะเห็นร่องรอยของความสม่ำเสมอของการใช้ฐานหรือแหล่งเรียนรู้นั้นๆ ประเด็นสำคัญจึงเป็น "เรื่องเล่า" หรือ "คำตอบ" จากนักเรียนผู้อยู่ประจำฐานการเรียนรู้
ข้อสะท้อนผลการประเมิน โดยใช้กรอบวิธีคิดที่ได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกที่ผ่านมา ที่นี่
- นักเรียนแกนนำส่วนหนึ่งสามารถ นิยาม ตีความ นำไปใช้ และขยายผลได้ แต่ยังเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในระดับนิยามและตีความให้เข้ากับ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข แต่ยังไม่สามารถที่จะอธิบายขยายผลได้ มีส่วนหนึ่งที่กรรมการพบว่า ยังอยู่เพียงในระดับนิยาม ยังไม่สามารถบูรณาการเข้ากับสิ่งที่ตนเองทำได้ เป้าหมายสำคัญที่สุดก่อนการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์ฯ นักเรียนแกนนำอย่างน้อยร้อยละ ๒๕ จะต้องสามารถ นิยาม ตีความ นำไปใช้ และภูมิใจขยายผลไปยังเพื่อนนักเรียนถึงให้ได้ถึงร้อยละ ๗๐ ..... หากขับเคลื่อนฯ อย่างถูกต้องจะเกิดผลลัพธ์ถึงร้อยละ ๑๐๐ ได้
- ผู้อำนวยการมีความรู้ความเข้าใจและมีศรัทธาต่อการขับเคลื่อนฯ อย่างยิ่ง มีทีมบริหารที่พร้อม ได้รับการสนับสนุนจากกรรมการสถานศึกษาอย่างเต็มที่ คณะครูมีความสามัคคีและศรัทธาต่อผู้บริหาร และแนวทางในการพัฒนาโรงเรียน แสดงถึงศักยภาพที่จะสามารถขับเคลื่อนฯ ได้ทันที
- สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ แหล่งเรียนรู้ และฐานการเรียนรู้พร้อมมาก หากมี "หลักปฏิบัติ" การใช้แหล่งหรือฐานในการขับเคลื่อนฯ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แหล่งเรียนรู้ หรือฐานการเรียนรู้ที่ถูกต้อง น่าจะพร้อมรับการประเมินได้
- บทบาทของครูอาจารย์ น่าจะอยู่ในระดับที่ ๑ และ ๒ กล่าวคือ ใช้การ "ถอดบทเรียน" อย่างมีรูปแบบ "จับใส่กล่อง" ควรทำต่อไปและยกระดับบทบาทของครูอาจารย์ให้นักเรียนได้ "ฝึก" มากขึ้น
- เปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นเจ้าของโครงการหรือกิจกรรมมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด ฝึกทำ ฝึกนำเสนอ" ด้วยตนเอง ฝึกการทำงานเป็นทีม โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก และกระตุ้นแรงบันดาลใจ และตั้งคำถามเพื่อติดตาม ชี้แนะ
- ระวังตกร่อง "ชิ้นงาน" เป้าหมายสำคัญของกิจกรรมและโครงการต่างๆ คือ ทักษะและเจตคติของนักเรียน ไม่ใช่ผลงานที่เป็น "ชิ้นงาน" เช่น ในฐานการเรียนรู้เรื่องการปลูกเห็ดฟาง ผลลัพธ์ไม่ใช่เห็ดฟางที่ได้ แต่เป็นความรู้และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ของนักเรียน
- คัดเลือกครูและนักเรียนแกนนำที่ถึงระดับ ๔ แล้ว จัดเป็นกลุ่มแกนนำเพื่อขยายผลไปยังโรงเรียนอื่นๆ
- ใช้เครื่องมือจัดการความรู้ (KM) เช่น BAR, AAR, Story Telling, Dialouge, Deep Listening ฯลฯ ในการขับเคลื่อนฯ จะทำให้เข้าใจและตีความได้ดีและเร็วขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น