วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๓ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๓)

บันทึกที่ ๑...
บันทึกที่ ๒...

หากพิจารณาให้ดี จะพบว่า "ความพอเพียง" มีหลายระดับ หากจะพัฒนาสู่ไปสู่ "ความยั่งยืน" ซึ่งเป็นคำสำคัญที่สุดในมิติของผลลัพธ์ในการขับเคลื่อนฯ จะต้อง "ระเบิดจากภายใน" ภายในตน ภายในคน ภายในชุมชน คือ  เป็นคน "รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้คน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้ชุมชน" (ปุริสธรรม ๗ ประการ) เพื่อให้สามารถ "พออยู่ พอกิน พอใช้ พอซื้อ พอขาย พอได้ พอมี พอดี พอให้ พอไป พอมา พอกับเวลาที่มี"  คำว่า "พอ" จึงเป็นเรื่องเฉพาะตน เฉพาะคน เฉพาะชุมชน เช่นกัน ดังนั้น การ "รู้จักตนเอง" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ "พอประมาณ" ได้ 

ผมขอเสนอให้แยกพิจารณาเพื่อให้รู้จัก "อัตตภาพของตนเอง" หรือ "ตัวตนของตนเอง" ออกเเป็น ๒ ส่วน คือ "ส่วนตน" และ "ส่วนรวม" เพราะเป็นเสมือนต้นทางและปลายทางในการน้อมนำหลักปรัชญามาใช้  กล่าวคือ เมื่อ "พอเพียง" ในประโยชน์ตนแล้ว จะแบ่งปันเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่น หรือก็คือประโยชน์ส่วนรวม


ในส่วนประโยชน์ตน ผู้บริหารและครูแกนนำ ควรออกแบบกิจกรรมการขับเคลื่อนให้ครอบคลุมทั้ง  ๓ ฐานหลัก ได้แก่ ฐานคิด ฐานใจ และฐานกาย หรือ Head, Heart, Hand กล่าวคือ
  • ฐานคิด เช่น ระดมสมอง (Brain Storming), ใช้ผังความคิด (Mind Mapping), สะท้อน (Reflection), ถอดบทเรียน (After Learning Review), อภิปราย (disscussion) ฯลฯ
  • ฐานใจ เช่น เจริญสติ, ฝึกสมาธิ, ปฏิบัติธรรม, สุนทรียสนทนา (Dialouge), ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening), กิจกรรมจิตศึกษา หรือ จิตตปัญญาศึกษา, การสะท้อนความรู้สึก, ศิลปะ, ดนตรี ฯลฯ 
  • ฐานกาย เช่น กิจกรรมชุมนุม, การทำโครงการ, การทำโครงงาน, กีฬา, ทำอาหาร, ทำ Lab ในห้องปฏิบัติการ, กีฬา, การปั้น, งานฝีมือ ฯลฯ
ในส่วนประโยชน์ส่วนรวม อาจพิจารณาแบ่งหน้าที่ของคนออกเป็น ๓ บทบาท ได้แก่ "ผู้นำ ผู้ทำ ผู้ให้"  เพื่อฝึกให้นักเรียนแต่ละคน รู้จักหน้าที่ของตนเอง รับผิดชอบต่อบทบาทที่ตนเองกำหนดนั้น และ ดำรงตนเองให้เป็นผู้แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เป็นที่พึ่งในสิ่งที่ตนเข้าใจ มั่นใจ
  • ผู้นำ โดยสังเกตว่าอะไรที่เรามี "ฉันทะ" ประสบความสำเร็จ ภูมิใจ มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และต้องการจะเปลี่ยนแปลง "ส่วนรวม" ให้ดีขึ้นด้วยตนเอง ฯลฯ กล่าวคือ ผู้นำ ในที่นี้คือ "ผู้บุกเบิก" ควรเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนหลักวิชาการ วิทยาการต่างๆ มีความพากเพียรและกล้าหาญ ที่จะลองผิดลองถูกในการน้อมนำ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" มาใช้กับตนเอง  ลักษณะสำคัญของ "ครูแกนนำ" คือ มี "พลัง ๕" (ตามบันทึกที่ ๒)ต่อ ปศพพ. และมี "ความมั่นใจในตนเอง"
  • ผู้ทำ หมายถึง ผู้เรียนรู้และผู้ตาม บทบาทของ "ผู้เรียน" คือผู้ลงมือคิด-ทำด้วยตนเอง โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษามาใช้กับตนเอง ให้ความร่วมมือ โดยคำนึงถึงการไม่เบียดเบียนผู้อื่น และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
  • ผู้ให้ คือ ผู้ให้ คงไม่ต้องอธิบายสำหรับคนไทย "ให้" ตั้งแต่ อามิสทาน วิทยาทาน "กรรมทาน" (ช่วยด้วยแรงมือ) เพราะ สังคมไทยเป็นเด่นเป็นอักลัษณ์เรื่อง เอื้อเฟื้อแบ่งปันมาแต่บรรพบุรุษ อย่างไรก็ดี การให้ที่ไม่ดี ไม่มีปัญญา ่ขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบตามหลัก ปศพพ. ก็สามารถก่อปัญหาบ้านเมืองได้อย่างที่เป็น...

รู้จักตนเอง

ผมขอให้ทุกคน หลับตา สำรวจใจ แล้วให้ยกมือขึ้นหาก "คิดว่า" ตนเองมีต่อไปนี้
  • ท่านใดที่มั่นใจว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างยิ่งถ้านำมาปฏิบัติ  ... ผลปรากฎว่า เกือบทุกคนยกมือ ...
  • ท่านใดที่มั่นใจว่าตนเองเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ... ปรากฎว่า ยกมือเพียง ๔-๕ คน ...  ผมอยากเสนอให้ทางโรงเรียนไปค้นภาพหรือวีดีโอที่บันทึกไว้ ใครที่ยกมือตอนนั้น ถือว่ามีความ "มั่นใจในตนเอง" เป็นคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของ "ผู้นำการเปลี่ยนแปลง" 
  • ท่านใดที่รู้วิธีการขับเคลื่อนหลัป ปศพพ. ด้านการศึกษา ในสถานศึกษา .... มีคนยกมือประมาณ ๕ คน เช่นกัน.... ลองตามดูจากเทปบันทึก น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ยกมือในคำถามที่ ๒ 
คำถามทั้ง ๓ ข้อนี้ สะท้อนระดับของความมั่นใจของกลุ่มเป้าหมายได้ว่า การฝึกอบรมควรเน้นไปที่ความเขาใจ เพื่อเสริมความมั่นใจ ในการขับเคลื่อนฯ

ผมมีความเห็นว่า "ความมั่นใจในตนเอง" เกิดจาก "ความภูมิใจในตนเอง" ซึ่งภูมิใจในตนเองก็ต่อเมื่อ "รู้จักตนเอง" รู้จักตนเองใน ๓ ประเด็น ได้แก่
  • รู้ศรัทธาและปัญญาของตนเอง คือ รู้จักความชอบ ความอยาก ความไม่อยาก ความถนัด ความสามารถ และ รู้จักศักยภาพ หรือขีดจำกัดของตนเอง ... ผมเสนอ ให้ครูแกนนำออกแบบกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนทำความรู้จักตนเอง ด้วยการตั้งคำถามต่อไปนี้ 
    • กิจกรรมอะไรบ้างที่ทำให้ตนเอง "สนุก"  "สนุกตรงไหน ขั้นตอนใด เพราะเหตุใดจึงสนุก?" 
    • กิจกรรมเหล่านั้น อะไรที่ "ชอบที่สุด" "ชอบเพราะอะไร  ความชอบเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะอะไร?"
    • กิจกรรมหรือสิ่งที่ "ชอบที่สุด"นั้น อะไรที่ "ุถนัด" ทำได้ดี มีผลงานดีเยี่ยม มักทำได้ดีกว่าเพื่อน
    • หาก "ความชอบ" และ "ความถนัด" ตรงกัน สิ่งๆ นั้นมักจะกลายเป็น "ความภูมิใจ" เพราะ "จะมีความรู้ ทำเองได้ คิดต่อยอดได้ และแก้ไขพัฒนาได้" ซึ่งจะนำไปสู่ "ความภูมิใจในตนเองในที่สุด" 
  • รู้จักนิสัยใจคอของตนเอง  รู้ "จริต" ของตนเองว่าแต่ละด้านมากน้อยอย่างไร การรู้จักใจคอของตนเอง จะทำให้รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นไปด้วยพอสมควร ซึ่งจะทำให้ความรู้และทักษะทางมิติสังคมเพิ่มขึ้น "จริต ๖" ได้แก่ 
    • เป็นคนรักสวยรักงาม (ราคะจริต) สะอาด เรียบร้อย เป็นระเบียบ ชอบแต่งองค์ทรงสวย เสื้อผ้า หน้า ผม ต้องเป๊ะ 
    • เป็นคนมักโกรธ (โทสะจริต) โกรธงายหายเร็ว 
    • เป็นคนติดสุข (โมหะจริต) ชอบดูหนัง ฟังเพลง ปล่อยใจไปกับสิ่งเร้าภายนอก ห้ามใจตนเองไม่ได้ ควบคุมตนเองไม่ค่อยได้  อยากได้รุนแรง ฯลฯ 
    • เป็นคนเชื่อง่าย (ศรัทธาจริต) เชื่อเร็ว ศรัทธายึดมั่นในตัวบุคคล 
    • เป็นคนคิดมาก (วิตกจริต) คิดเล็กคิดน้อย เรื่องน้อยนิดแต่เก็บมาคิดเป็นเรื่องราว จนเศร้าซึม  เวลาดีใจก็ดีใจมาก ใจพองโตเกินเหตุ
    • เป็นคนมีเหตุมีผล (พุทธิจริต) มักคิดเป็นเหตุเป็นผล ตัดสินใจด้วยหลักการ หลักฐาน และเหตุผล มีความสุขุม ลุ่มลึก รอบรู้ 
  • รู้รากเหง้า วัฒนธรรม ความเป็นมาของตนเอง สามารถบอกเหตุผลและความสำคัญของรากเหง้าภูมปัญญานั้นๆ ของตนเอง 
  • รู้จักทุนทางทรัพยากรของตนเอง เช่น สิ่งของ วัตถุ กำลังทรัพย์ ของตนเอง รวมทั้งรู้จักสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ตนเองอยู่หรือเกี่ยวข้องด้วย


ผมได้เรียนรู้และเข้าใจ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" จาก ผอ.ระวี ขุณิกากรณ์ และ อาจารย์ฉลาด ปาโส เมื่อครั้งแรกๆ ที่ลงพื้นที่ไปเรียนรู้จากโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม จ.ร้อยเอ็ด ปัจจุบัน ผอ. ระวี เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่ที่โรงเรียนอาจสามารถวิทยา จ.ร้อยเอ็ด ส่วนอาจารย์ฉลาด ยังเป็นกำลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อนฯ ที่เดิม  ทั้งสองท่านจะเน้น "ความคิดความเข้าใจ" เป็นอันดับหนึ่ง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ใครจะมาขับเคลื่อนฯ หรือจะไปขับเคลื่อนสู่ใคร จะต้องมา "นั่งอธิบาย" จนเข้าใจอย่างดีเสียก่อน เพราะเป็นไปได้ยากที่จะเข้าใจโดยไม่ได้ลงมือปฏิบัติ  แต่หมายความว่า จะทำอะไร ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ จะเน้นการ "สะท้อน" "ถอดบทเรียน" "อธิปราย" ร่วมกัน ดังนั้น ทุกกิจกรรม หรืองานที่ลงมือทำ จึงเหมือน "การฝึกทำ เพื่อให้ได้ฝึกคิด" เพื่อความเข้าใจในการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้

ข้อเสนอแนะ

ขอเสนอให้ทุกโรงเรียน ให้ความสำคัญกับการพัฒนา "ความคิด ความเข้าใจ" ในการขับเคลื่อนฯ ทั้งที่ขับเคลื่อนในห้องเรียน ผ่านกิจกรรมเสริม หรือการเชื่อมโยงสู่ ๔ มิติในชีวิตประจำวัน เพื่อฝึกฝนให้ทุกคนในโรงเรียน เรียนให้ "รู้จักตนเอง" โดยการเน้นกระบวนการต่อไปนี้
  • กิจกรรมพัฒนาภายใน ทั้ง ฐานคิด ฐานใจ และฐานกาย ด้วย กิจกรรรมหน้าเสาธงหรือกิจวัตร หรือ วัดในโรงเรียน หรือจิตศึกษา หรือ จิตตปัญญาศึกษา เพื่อพัฒนา "จิต" หนุนให้ "พลัง ๕" เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ 
  • กำหนดให้ทุกกิจกรรมการเรียนรู้ ต้องทำกระบวนการ "สะท้อนการเรียนรู้" และ "ถอดบทเรียน"  และจัดให้มีการนำเสนอหรือเผยแพร่แลกเปลี่ยนผลสรุปของการเรียนรู้นั้นๆ เป็นรายลักษณ์อักษร หรือเป็น ชิ้นงาน 
ทั้งหมดที่เขียนนี้ เป็นเพียง "ความคิด" ของผมเท่านั้น ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ให้ทดลองนำไปทำดู เพราะข้อสังเกตและข้อเสนอข้างต้นนี้ เป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่มีคนนำไปทำแล้วได้ผลดี

๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘

บันทึกต่อไปมาว่ากันด้วย "ความเข้าใจ" ว่าอะไรคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา





 















วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๒ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๒)

บันทึกที่ ๑...

แผนที่ผลลัพธ์ (Outcome Mapping) 

สิ่งแรกที่โรงเรียนควรทำในการขับเคลื่อน ปศพพ. คือการร่วมกันทำ "แผนที่ผลลัพธ์" หรือ OM (อ่านที่นี่) ผมพยายามเน้นถึงเป้าหมายรายทางที่สำคัญๆ ที่ครูและนักเรียนต้องให้ความสำคัญ เพื่อที่จะขับเคลื่อนฯ ให้เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการ "กระทำในระดับกิจกรรม" เท่านั้น การทำ OM จะมีประสิทธิภาพมากนั้น สิ่งสำคัญคือความเข้าใจร่วมกันในปัญหา เป้าหมาย  ผมจึงได้เล่าถึงรากเหง้าของปัญหา ที่เป็นที่มาของ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" คือ กิเลส ๓ ประการที่ทุกคนรู้จักดี คือ โลภ โกรธ และ หลง
  • เมื่อโลภ คือ ไม่พอประมาณ
  • เมื่อโกรธ มักจะ ไม่มีเหตุผล
  • เมื่อหลง เมื่อนั้นยากที่จะมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
เป้าหมายที่แท้จริงของ ปศพพ. คือ การควบคุมและจัดการกับ "กิเลส" เครื่องเศร้าหมอง เหล่านี้ โดยตรง .... 




ในเป็นเวทีแรกในการนำเสนอให้ผู้บริหาร ครู และนักเรียน "ฟังพร้อมๆ กัน" ผมพยายามเน้นให้ทุกคน "เห็น" ถึงสิ่งที่สำคัญและ "จำเป็น" ต้องฝึกฝนให้เกิดมีในตัวนักเรียนทุกคน คือ "สติ และ สมาธิ" อันจะหนุนให้มี "ศรัทธา" และ "ปัญญา" ที่ถูกต้อง สามารถทำการงานสิ่งใดๆ ได้สำเร็จได้ด้วยความเพียร คือ "วิริยะ"  กล่าวคือ ครูต้องใส่ใจเรื่องการปลูกฝัง "พลัง ๕" หรือ "พละ ๕" นี้ให้สั่งสมในตัวของนักเรียน

"สติ" ที่จะต้องฝึกที่กล่าวถึงนี้ (คือการ "ระลึกรู้") ไม่ใช่ "สติ" ที่เข้าใจว่าในชีวิตประจำวันกับกิจกรรมต่างๆ อยู่แล้ว เช่น จะเรียน เขียน อ่าน ทำงาน กินข้าว ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้ "สติ" เหมือนๆ กับที่ แมวกำลังจะจับหนู ทหารกำลังเล็งปืน  แต่เป็น "สัมมาสติ" คือ สติในการระลึก "รู้ตัว" ฝึกให้ "รู้สึกตัว" ฝึกให้เรียนรู้ "อาการของกาย" เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ฯลฯ และ "อาการของใจ" เช่น โมโห โกรธ เกลียด ชอบ อิจฉา ขยะแขยง มีความสุขใจ กลุ้มใจ ฯลฯ โดยฝึกให้นักเรียนสังเกตเรียนรู้ตนเองผ่านกิจกรรมต่างๆ หรือในกิจวัตรประจำวัน ....  ภาษาทางพุทธเรียกว่า "เจริญสติ"

"สมาธิ" (คือการ "ตั้งมั่นของใจ") ก็สามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทเช่นกัน คือ สมาธิที่ใจตั้งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว และ สมาธิที่ใจตั้งมั่นในการรับรู้สิ่งต่างๆ  สมาธิอันแรกสำคัญและจำเป็นในการจดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำลังคิดกำลังทำได้นาน ไม่วอกแวก ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสมาธิอันหลังสำคัญและจำเป็นในการ "เจริญสติ" จะหนุนให้เกิด "ปัญญา" ระดับต้น คือ "สัมปชัญญะ" คือเมื่อ "ระลึกรู้" ด้วยสติแล้ว จะรู้ด้วยว่า (ผม "ฟัง" และ "เข้าใจ" ครั้งแรก จากการฟังหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช)
  • สิ่งนั้นมีสาระ หรือไม่มีสาระ 
  • สิ่งที่มีสาระนั้น มีประโยชน์หรือไม่ 
  • สิ่งที่มีสาระและมีประโยชน์นั้น เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ 
  • สิ่งที่มีสาระ และมีประโยชน์ และเหมาะสม นั้น จำเป็นหรือไม่
โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ มีจุดแข็งตรงที่มี "วัดในโรงเรียน" ผมเสนอให้ ครูคุยกันเพื่อมอบหมายให้ผู้ที่สนใจและเหมาะสมที่จะเป็นแกนหลักในการฝึกฝน และปลูกฝัง "สัมมาสติ" และ "สมาธิตั้งมั่นในการรับรู้" นี้ให้กับนักเรียนแกนนำอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเรียกว่า "ครูแกนนำในการวางรากฐานของความดี" โดยครูแกนนำคงต้อง ศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติกับตนเอง (ผมเองศึกษาตามแนวทางของวัดป่า เน้นการ “ดูจิต” ที่นี่) พร้อมๆ กับออกแบบกิจกรรมต่าง โดยใช้ "วัด" เป็นฐานการเรียนรู้นี้ ซึ่งสำหรับการเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ จำเป็นต้องเขียน "แผนการใช้ฐานการเรียนรู้" ที่ต้องเก็บร่อยรอยหลักฐานให้เห็นชัดเจนใน ๔ ประเด็นได้แก่
  • เป้าหมายในการใช้ฐานนี้ อยากให้เกิดความรู้ หรือทักษะ อะไรบ้าง 
  • นักเรียนจะได้เรียนรู้ หรือฝึกฝน และเกิดความรู้หรือทักษะตามเป้าหมายนั้นๆ อย่างไร ตอนไหน (ขั้นตอน วิธีการใช้ฐานฯ)
  • จะรู้ได้อย่างไรว่าได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ...  คือ วัดผลและประเมินผลลัพธ์ของการใช้ฐานอย่างไร 
  • ปัญหาอุปสรรค การแก้ไขปรับปรุง และข้อเสนอแนะจากประสบการณ์ต่างๆ สำหรับโรงเรียนหรือชุมชนอื่นๆ ที่อยากนำ "หลักปฏิบัติ" นี้ไปใช้บ้าง 
บันทึกต่อไป มาว่ากันต่อเรื่องการขับเคลื่อนฯ ครับ

๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗





เมื่อถามว่า "ใครเห็นว่า ปศพพ. เป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่า และจะนำมาปรับใช้กับตนเอง"


ดูรูปทั้งหมดที่นี่

SEEN มหาสารคาม _๑๑ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๑)

วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ทีม CADL เดินทางไปตามนัดหมาย ปลายทางคือโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหาร ครูทุกคน นักเรียนแกนนำ และทีมขับเคลื่อนฯ จากโรงเรียนที่กำลังขับเคลื่อนฯ ไปพร้อมๆ กัน คือ โรงเรียนกันทรวิชัย โรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์  และโรงเรียนมัธยมยางสีสุราช รวมกว่า ๒๐๐ คน  ผม AAR กับตนเองว่า ช่วงเช้าไม่ค่อยดีนัก แต่ช่วงบ่ายเราน่าจะบรรลุวัตถุประสงค์เรื่องความเข้าใจว่า "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" ก็คือ "หลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง" ไม่มากก็ไม่น่าจะน้อย...  ผมอยากใช้บันทึกนี้สรุป "สาระ" ที่ต้องการสื่อเสริมไปยังทุกคนอีกครั้ง

เอกสารประกอบการฝึกอบรมกว่า ๗๐ หน้า ที่แจกในวันฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเป็นผลงานของผู้อำนวยการโรงเรียน แสดงให้เห็นชัดถึง การทำตนเป็นแบบอย่างของนักเรียนรู้ นักทำงาน และความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนฯ ใครอย่างจะได้ไปศึกษาคงต้องปรึกษาหรือหาความรู้จากท่านเองจาก บล็อค gotoknow ของท่านที่นี่ เป็นต้น

ก่อนจะเริ่มเรื่อง ขอแก้ความเข้าใจผิด ที่วิทยากรบอกว่า ผมมีผลงานวิชาการเยอะมาก อันนี้ไม่จริงครับ แต่ที่บอกว่าผมเรียนตรี โท เอก ฟิสิกส์ และทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องฟิล์มสนามแม่เหล็กนั้น เป็นเรื่้องจริง ปัจจุบัน ผมไม่ได้แบ่งเวลาให้ความสำคัญกับงานวิจัยนั้นเลยครับ ผมพบแล้วว่าผมจะทำประโยชน์ให้กับพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน ได้อย่างไรที่จะคุ้มค่าและเกิดคุณค่าทั้งต่อผมและต่อพวกเขาเหล่านั้นให้มากที่สุด จึงบอกตัวเองว่า จะขอหยุดส่วนนั้น มาทำส่วนนี้ ส่วนที่ผมยึดมั่นว่าดีและทำได้และเกิดประโยชน์สูงสุด


"นิยาม" ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา

การสร้าง "ภาพฝันร่วมกัน" (Shared vision) ของผู้บริหารและครูในโรงเรียน ในเบื้องต้นควรจะประจักษ์ชัดว่า ทุกคนเห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของ ปศพพ. ว่าเป็นรากฐานของชีวิต รากฐานของความมั่นคงของแผนดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้ การน้อมนำ ปศพพ. มาใช้ด้านการศึกษา เปรียบเสมือนการตอกเสาเข็มแข่ง "ปัญญา" ให้กับเยาวชน บ่มเพาะ ปลูกฝัง "การมีปัญญารู้คิด มีสติรู้ตัว ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท"  อันเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต รากฐานของการพัฒนาตน พัฒนาคน และพัฒนาชาติ



ผมแลกเปลี่ยนกับทุกคนว่า วิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจและเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือการศึกษาหลักการทรงงาน ประวัติการทรงงาน ผลงานจากโครงการหลวงต่างๆ ที่มีมากกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ เพราะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "ตกผลึก" จากประสบการณ์ทรงงานของในหลวงกว่า ๖๖ ปี ไม่ได้เกิดจากการ "คิด" หรือ "จิตนาการ" แต่เป็น "หลักคิด" ที่ออกมาจาก Tacit Knowledge โดยแท้ แม้ว่าจะทรงใช้คำว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในพระราชดำรัสครั้งแรกในปี ๒๕๔๐





หนังสือชื่อ "วิกฤตเศรษฐกิจ ๒๕๔๐ กับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเีพียง" ที่เรียบเรียงโดย ดร.ปิยนุช ธรรมปิยา เล่าความเป็นมาของ ปศพพ. ไว้ดีมาก มีใจความว่า ..

... พระราชดำรัสวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ ที่ว่า "...เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง... ในคราวนั้น เมื่อปีที่แล้วนึกว่าเข้าใจ .. ต้องพูดเข้าเรื่องเลย เพราะหนักใจว่า ไม่เข้าใจ..." เป็นแรงกระตุ้นให้ ศ.ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต ประธานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ขณะนั้น เชิญชวนผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ และสาขาอื่นๆ มาร่วมกลั่นกรองพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ใช้เวลา ๖ เดือน แล้วสรุปออกมาเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในปี ๒๕๔๒ (ดาวน์โหลดที่นี่)  และได้ทำหนังสือราชการกราบบังคมทูลขอพระราชวินิจฉัยและพระบรมราชานุญาต เพื่ออัญเชิญไปใช้เป็นแนวปฏิบัติ ในหลวงทรงปรับปรุงแก้ไข และโปรดเกล้าพระราชานุญาตตามที่ขอในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ... เป็นอันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในการขับเคลื่อนฯ ปศพพ. ...

  • ๒๕๔๒ สศช. นำมาใช้กับการบริหารหน่วยงาน นำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหัวข้อในการจัดประชุมวิชาการ ประจำปี ฯลฯ หน่วยงานต่างๆ จัดกิจกรรมเผยแพร่ สร้างความเข้าใจ
  • ๒๕๔๓ เผยแพร่สู่เวทีระหว่างประเทศ เช่น การประชุมอังค์ถัด (UNCTAD) ครั้งที่ ๑๐ ณ ประเทศไทย ในเดือนกุมภาพันธ์
  • ๒๕๔๔ นำเสนอในที่ประชุมรัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ ๒๒
  • ๒๕๔๕ - ๒๕๕๙ สศช. อัญเชิญมาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๙ ๑๐ และ ๑๑ ตามลำดับ
  • ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ สศช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี รศ.ดร.จิรายุ อิศรากูร ณ อยุธยา เป็นประธานอนุฯ
ประมาณช่วงปี ๒๕๔๔-๒๕๔๖ หลังจากที่ในหลวงพระราชทานหลักปรัชญาฯ ให้แต่เราชาวไทย พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

...ในปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๖ มีนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึง ดร.ปิยนุช ธรรมปิยา ด้วย พยายามพัฒนากรอบแนวคิดทางทฤษฎีเศรษศาสตร์ของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยเริ่มจากการศึกษาคำนิยาม และใช้วิธีการจำแนกวิเคราะห์คำ (Parsing) เพื่อเชื่อมโยงแต่ละข้อความและประโยคที่อธิบายปรัชญาของเศรษบกิจพอเพียงเข้าด้วยกัน ทำให้สรุปได้ว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" มีองค์ประกอบด้านต่างๆ ที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนากรอบทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ได้อย่างสมบูรณ์ โดยจำแนกออกเป็น ๔ ส่วนองค์ประกอบได้แก่ แนวคิดหลัก หลักการ เงื่อนไข และเป้าหมาย
  • แนวคิดหลักมีกรอบคิด ๔ ประการ ได้แก่ 
    • เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน 
    • ไม่มีกาลเวลา หมายถึง เป็นปรัชญาที่ใช้ได้ตลอดเวลา 
    • เป็นปรัชญาที่มองโลกเชิงระบบที่มีลักษณะพลวัต 
    • เป็นปรัชญาที่มองอย่างองค์รวม เชื่อมโยงกันทั้งโลก
  • คุณลัษณะของแนวคิดหลัก 
    • สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับการปฏิบัตนของคนทุกระดับ 
    • มีหัวใจสำคัญคือ "ทางสายกลาง" 
  • หลักการ หรือ คำนิยามของ "ความพอเพียง" มี ๓ ประการได้แก่
    • "ความพอประมาณ" กับ ศักยภาพของตนเอง และสภาวะแวดล้อมตามความเป็นจริง
    • "ความมีเหตุผล" บนพื้นฐานของความถูกต้อง
    • "การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี" คือ ไม่ประมาทในการดำเนิชีวิต ที่ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลง
  • มีเงื่อนไขพื้นฐาน ๒ ประการ ได้แก่
    • เงื่อนไขความรู้ คือ รอบรู้ รอบคอบ (เชื่อมโยง) และระมัดระวังในการนำความรู้ไปใช้
    • เงื่อนไขคุณธรรม  ที่ต้องสร้างให้เป็นพื้นฐานทางจิตใจของคนในชาติ ... คือ ความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหนี่ รู้จักแบ่งปัน และรับผิดชอบในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
  •  เป้าหมายและผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
    • การพัฒนาที่สมดุล
    • และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง



โดยแสดงกรอบความคิดเป็นภาพด้านล่าง


ในการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และมูลนิธิสยามกัมมาจล ได้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนฯ อย่างเป็นระบบ (และได้ให้โอกาสผมได้เข้ามาเรียนรู้เรื่องนี้ ถือเป็นบุญ เป็นพระคุณต่อชีวิตผมอย่างยิ่ง)  และพัฒนา "นิยาม" ของอุปนิสัย "พอเพียง" ที่คาดหวังจะให้เกิด 



สรุปให้สั้นที่สุดคือ การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา คือการพัฒนา บ่มเพาะ ปลูกฝังนักเรียนให้มีอุปนิสัย "พอเพียง" ที่ได้กล่าวถึงนั่นเอง 

บันทึกหน้ามาว่ากันเรื่องว่า "จะเริ่มอย่างไรดี"...................










วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๐ : ประเมินโรงเรียนกันทรวิชัย จ.มหาสารคาม

ภาคบ่าย วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ทีมขับเคลื่อนฯ ปศพพ.ด้านการศึกษา ของ สพม. ๒๖ มหาสารคาม เข้าตรวจเยี่ยมและประเมินโรงเรียนกันทรวิชัย อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม  ผมค้นหาเว็บของโรงเรียนไม่พบ แต่มี FB ที่อัพเดทมากๆ ที่นี่ และข้อมูลพื้นฐานในเว็บของ สพฐ. ที่นี่ เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ขนาดกลางนักเรียนประมาณ ๑,๐๐๐ คน คณาจารย์ ๖๗ คน

ท่าน ผอ.คณาพร เทียมกลาง ผู้อำนวยการโรงเรียน เพิ่งจะย้ายมาจากโรงเรียนดงใหญ่วิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๒๕ โรงเรียนในโครงการขับเคลื่อนฯ เมื่อปีที่แล้ว ถือได้ว่าเป็นผู้ร่วมบุกเบิก "ถางทาง" ในการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษาในจังหวัดมหาสารคาม เมื่อท่านย้ายโรงเรียน ท่านนำ "ความพอเพียง" ไปบริหารโรงเรียนใหม่ด้วย...ผมคิดว่าท่านเป็นปัจจัยของความสำเร็จของ สพม. ๒๖ ที่สามารถนำโรงเรียนผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียง ๑๐๐ เปอร์เซนต์

ตั้งแต่ท่านย้ายมา โรงเรียนเริ่มขับเคลื่อนฯ อย่างจริงจัง ต่อเนื่องจากการฝึกอบรมที่จัดโดย สพม. ๒๖ มีผมเองและผู้อำนวยการโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ฯ (ศสพ.) ผอ.แสน แหวนวงศ์ จากโรงเรียนศรีขรภูมิพิสัย จ.สุรินทร์ และ อ.ฉลาด ปาโส จากโรงเรียนเชียงขวัญวิทยาคมเป็นวิทยากรบรรยาย  ท่านได้เชิญทางโรงเรียนศรีขรภูมิพิสัยทั้งทีม "มาลง" ที่โรงเรียนกันทรวิชัยอีกครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มขับเคลื่อนฯ กันอย่างจริงจัง  ทำให้การประเมินในวันนี้ มีบรรยายกาศคล้ายการประเมินโรงเรียนศูนย์ฯ จริงๆ ขาดก็แต่เพียงเครือข่ายฯ และผลงานการขยายไปสู่โรงเรียนภายนอก ที่ต้องมากขึ้นกว่าเดิมนี้...  จากการซักถาม ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะได้ขยายและเกิดผลแล้ว ผมเข้าใจว่า วันนั้นวัตถุประสงค์การประเมินฯ เน้นการขับเคลื่อนภายใน สนใจศักยภาพในการพัฒนา ทางโรงเรียนจึงไม่ได้เชิญสถานศึกษาเครือข่ายมามากนัก


ผลการประเมินและข้อเสนอแนะจากกรรมการ

กรรมการฯ ทุกท่านชื่นชม และสะท้อนว่าได้เรียนรู้รูปแบบของการขับเคลื่อนและนำเสนอของโรงเรียนกันทรวิชัย พัฒนาการของนักเรียนแกนนำ สามารถเชื่อมโยงถึง "คุณค่า" เข้าใจถึงระดับ "หลักคิด"  (ตามกรอบคิดนี้) เพียงแต่ครูอาจารย์อาจจะยังมีบทบาทอยู่ในระดับที่ ๒ ตามกรอบคิดนี้ 

ในมุมมองของผู้ขับเคลื่อนฯ โรงเรียนกันทรวิชัย ขับเคลื่อนไปได้ไกล และใกล้เคียงกับการเป็นโรงเรียนศูนย์ฯ มากที่สุด ผมเองมีเพียงความเห็นและข้อเสนอแนะเดียว นอกจากเรื่องการขยายเครือข่ายฯ คือ การ "ถอย" บทบาทของครู ออกมาเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ ออกมาเป็น "โค๊ช" ดูอยู่ห่างๆ บ้าง หรือเรียกว่าเป็น "ครูฝึกกก" (อ่านบึนทึกนี้ครับ) เพื่อให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" "ฝึกทำ" "ฝึกแก้ปัญหา" "ฝึกสร้างปัญญาด้วยตนเอง" และเปิดโอกาสให้ได้นำเสนอ แสดงความสามารถ ในรูปแบบที่นักเรียนออกแบบเอง

ตัวอย่างการ "ถอยยย ออกมาเป็น ครูฝึกกก"

...รายวิชาภาษาไทย ครูมอบหมายให้นักเรียน สืบค้น ศึกษา เรียนรู้ และจัดกิจกรรม ฝึกขับร้องทำนองเสนาะ เกี่ยวกับบุญเผวท ฟังเทศน์มหาชาติ เวชสันดรชาดก กัณฑ์ทศพร  โดยให้จัดงานในโรงเรียนวันเดียวกับที่ชุมชนจัดงานนี้ ...  

เปลี่ยนเป็น

...ราย วิชาภาษาไทย กำหนดให้นักเรียนจัดงานจำลองประเพณีบุญเผวทของชาวอีสาน ในโรงเรียน โดยให้ทั้งระดับชั้นระดมสมองและกำหนด วันเวลาและรูปแบบของการจัดงานเอง แต่ต้องจัดให้มีนำเสนอผลงานหรือการแสดงของของกลุ่มในวันงาน และต้องนำแผนการจัดการงานและแผนกิจกรรมของแต่ละกลุ่มมาเสนอต่ออาจารย์ก่อนลง มือทำจริง ....โดยอาจารย์เป็นที่ปรึกษา และกรรมการในการประเมินผลคะแนน....

จะ เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่ ครูอาจารย์ "ถอยยย" ออกมา ให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" ตั้งแต่ ต้องสืบค้น หาความรู้ ระดมสมอง วางแผนเอง แล้วต้อง "ฝึกนำเสนอ" แผนงานของตนเอง โดยมีอาจารย์ตั้งคำถาม เพื่อให้ชัดเจน เหมาะสม ขยายองค์ความรู้ และกระตุ้นการเรียนรู้  ก่อนจะได้ "ฝึกทำเอง" โดยมี "การป้อนกลับ" เพื่อการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ...

สรุปคือ ครูอาจารย์ "ถอยยย" ตนเองออกมาจาก การ "คิดให้ กำหนดให้ ป้อนให้ สั่งไป... " มาเป็น "ชง ชวน เชียร์ ชม" และถ้าจำเป็นค่อย "ช่วย"  .... เรียกว่า บทบาทแบบ "๕ช"


 




 

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๐๙ : เตรียมเอกสารสำหรับการขับเคลื่อนฯ โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์

โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ เป็น ๑ ใน ๓ โรงเรียนสถานพอเพียงต้นแบบ ที่คณะกรรมการประเมินฯ เห็นว่า มี "ใจ" มี "หลัก" และมี "ศักยภาพ" ที่จะพัฒนาเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ในวงสนทนากับผู้อำนวยการเขตและศึกษานิเทศก์ เราวิเคราะห์ว่า เรามีจุดแข็งคือ เรามีโรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือกพร้อมขับเคลื่อนฯ  และมีจุดอ่อนคือทุกโรงเรียนยังขาดการขยายความสำเร็จของตนออกไปยังเครือข่ายไปยังโรงเรียนภายนอก จึงได้ออกแบบการส่งเสริมแนวทางการขับเคลื่อนฯ ให้โรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือก สลับกันเป็นเจ้าภาพในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยเอาบริบทของโรงเรียนตนเองเป็นตัวอย่าง แล้วเปิดทางสร้างโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ ที่สนใจ ส่งตัวแทนเข้าร่วมเรียนรู้ รวมทั้งนำผลงานมาเสนอแลกเปลี่ยนกัน

ทันทีที่ท่าน ผอ.สุรเชษฐ์ ช่างถม ทราบว่า โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ ผ่านเป็นการคัดเลือก ท่านดำเนินการขับเคลื่อนฯ ทันที โดยที่ผมยังไม่ได้สื่อสารแนวทางการขับเคลื่อนฯ ข้างต้น ท่านเชิญผมไปคุยกับครูและนักเรียนแกนนำทั้งโรงเรียน ผมจึงถือโอกาสอธิบาย ท่านเข้าใจในทันที และได้มอบหมายให้ อ.รักศักดิ์ ดำเนินการ ... ผมตกลงกับท่านว่าจะส่งเอกสารฝึกอบรมไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่ด้วยงานประกันภายในสำนักศึกษาทั่วไป จึงได้ขอนำส่งท่าน ในวันนี้ ดังนี้ ครับ

BAR (Before Action Review)

คาดหวังอะไรในการนี้?
  • ทุกคนมีความรู้ และเข้าใจว่า อะไรคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา (ปศพพ.ด้านการศึกษา)
  • ได้ผู้มี "ใจ" อาสามาเป็นแกนนำขับเคลื่อน ปศพพ.ด้านการศึกษา"
  • ผู้บริหารและครูแกนนำขับเคลื่อน "เห็น" แนวทางการขับเคลื่อน ปศพพ.ด้านการศึกษา ในโรงเรียนของตน 
  • ทุกคนที่เข้าร่วม รู้บทบาทหน้าที่ของตนเองในกระบวนการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียน 
  • ได้แผนการขับเคลื่อนฯ ร่วมกัน มีกรอบเวลาชัดเจนว่า จะขอรับการประเมินเมื่อใด
แนวคิดและหลักการ

ด้วยบริบทของโรงเรียนนาดูนฯ ที่เป็นโรงเรียนสถานพอเพียงต้นเแบบ และการลงพื้นที่ประเมินฯ ตามบันทึกนี้ ทำให้เรามีข้อมูลในเบื้องต้นพอสมควรเกี่ยวกับ จุดเด่น จุดเน้น วิธีการขับเคลื่อนฯ ที่ผ่านมา และทรัพยากรต่างๆ ในโรงเรียน ตลอดทั้งแหล่งเรียนรู้ในชุมชน โดยเฉพาะพระธาตุนาดูน และบุคลากรทั้ง ผู้บริหาร ครู และนักเรียนแกนนำก็ผ่านประสบการณ์การถอดบทเรียนโดยใช้หลัก ปศพพ. มาแล้ว ดังนั้น วิธีที่น่าจะดีที่สุดคือการ นำสิ่งที่มีอยู่ ทำอยู่ รู้อยู่ มาเรียนรู้และร่วมระดมสมองในมุมมอง (ภาษา KM เรียกว่า แว่นตา) ของ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" ก่อนจะหารวมกันวางแนวทาง และแยกกลุ่มย่อมตามกลุ่มสาระหรือช่วงชั้น เพื่อร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติและบทบาทของตนๆ

อย่างไรก็ตาม การปรับระดับความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ ปศพพ.ด้านการศึกษา และทำให้ทุกคนเห็น "คุณค่า" และ "ความหมาย" ของ "วิสัยทัศน์ร่วม" (Shared Vision) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติในเบื้องต้น ก่อนจะค้นหาคนที่มีประสบการณ์ มีอุดมการณ์ มีจิตอาสา ที่จะมาเป็นแกนนำขับเคลื่อนฯ ในลักษณะของการขยายความสำเร็จ ความภูมิใจในแนวปฏิบัติของตนออกไป  อย่างไรก็ดี การสื่อสารแนวปฏิบัติที่ดีของตน ต้องมุ่ง "สอนคน" ให้ใช้ "หลักคิด" ไปทดลองทำ จนเกิด "แนวปฏิบัติ" จนได้ "หลักปฏิบัติ" ของตนเองต่อไป

ดังนั้นหลักการสำคัญ ๓ ประการที่ต้องตกลงกัน คือ
  • เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายความสำเร็จ ไม่ใช่การ "บอก สอน ป้อน สั่งการ" 
  • เป็นการร่วมกันทำงานเป็นทีม เรียนรู้เป็นทีม ไม่ใช่  "การสอนเดี่ยว ทำเดี่ยว เรียนเดี่ยว"
  • เป็นการพัฒนางานเดิม ไม่ใช่ "การเพิ่มเติมงานใหม่"

วิธีการและขั้นตอน

การฝึกอบรมในครั้งนี้ จึงจะกำหนดวิธีการขั้นตอนเป็น ๗ ช่วง ได้แก่
  • สำรวจให้รู้ตน 
  • กำหนดเป้าหมายในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ร่วมกัน 
  • บรรยาย อภิปราย และ Workshop เพื่อกำหนด "ความหมาย" และ "ความเข้าใจ" ให้ตรงกัน 
  • เล่าเรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนฯ และตัวอย่างการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ 
  • Work Shop กลุ่มย่อย เพื่อระดมสมอง จัดทำแนวทางและแนวปฏิบัติในการขับเคลื่อนของกลุ่ม
  • สุ่มนำเสนอวิธีการขับเคลื่อนฯ โดยวิทยากรร่วมสะท้อนและให้ข้อเสนอแนะ
  • วางแผนการขับเคลื่อนร่วมกัน 
อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้
  • กระดาษบลุ๊ฟขนาด A0 จำนวน = จำนวนกลุ่ม x ๒ + ๑๐ (สำหรับวิทยากร)  
  • สีชอล์ค กลุ่มละ ๑ กล่อง + ๑ กล่อง (สำหรับวิทยากร)
  • กระดาษ A4 หนึ่งรีม
เอกสารที่ใช้ในการฝึกอบรม

แน่นอนครับสิ่งที่ทุกคนควรมีคือ เกณฑ์ก้าวหน้า ดาวน์โหลดที่นี่ครับ

ในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ไม่มีเอกสารเน้นการถ่ายทอดความรู้ แต่ใช้เอกสารเป็น เครื่อมมือกระตุ้นการเรียนรู้  โดยนำเสนอเป็นภาพความคิดรวบยอดในแต่ละภาพ และใช้สลับกับ Work Shop บนกระดาษ A4 เพื่อให้ทุกคนได้ "ฝึกคิด" กำหนด "นิยาม"  ได้ "ฝึกตีความ" ให้เกิดองค์ความรู้ เป็นครูของตนเอง













 




















วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๐๘ : ประเมินโรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์

วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กรรมการประเมินศักยภาพโรงเรียนต้นแบบสถานศึกษาพอเพียง เพื่อพัฒนาเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประเมินฯ โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ โรงเรียนประจำอำเภอขนาดใหญ่ จำนวนครู ๑๒๗ คน จำนวนนักเรียนประมาณ ๒,๔๐๐ คน ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์โรงเรียนได้ที่นี่ ดูข้อมูลพื้นฐานที่นี่
ติดตามเฟสบุ๊คโรงเรียนที่นี่ 

โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์เป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล เป็นโรงเรียนวิถีพุทธ ที่เน้นจิตอาสา และขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่โรงเรียนมาอย่างจริงจังตั้งแต่สมัยอดีต ผอ.ไพจิตร ปริวัฒนากุล  ปัจจุบันคือ หลวงพ่อไพจิตร ปัจจุบันหลังเกษียณ ท่านประจำอยูที่วัดป่ากุง (วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด) จากการสืบค้น ผมพบว่า ตอนปี ๒๕๓๕ ท่านเป็นผู้บุกเบิกให้เกิดโรงเรียนประชาพัฒนา อธิบายว่าทำไมหลวงปู่ศรี มหาวีโร พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้สร้างวัดป่ากุง จึงได้เมตตาเป็นองค์อุปถัมภ์และมอบปรัชญาให้โรงเรียนประชาพัฒนายึดถือเรื่อยมา ดังที่ ผอ.บุญทัน ท่านนำเสนอไว้ (อ่านที่นี่)  นอกจากนี้ ผมยังพบว่า รอง ผอ.ดร. ภักดี เอื้อราษฎร์ ของโรงเรียนผดุงนารี ท่านย้ายมาจากโรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ ผมทึกทักเอาว่า แรงบันดาลใจในการเลือก หัวข้อวิทยานิพนธ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คุณธรรม จริยธรรม และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก อดีต ผอ.ไพจิตร เป็นแน่ ..... ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว "ปัจเจกชน" บุคลิกและอุปนิสัยของคนที่เป็นผู้บริหารนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลในการกำหนดแนวทางพัฒนาการศึกษาในโรงเรียนอย่างยิ่ง









ระหว่างนั่งรอเริ่มพิธีประเมินฯ อย่างเป็นทางการ ผอ.พงศักดิ์ ถวิลไพร ผู้อำนวยการคนปัจจุบัน ท่านเล่าถึงวิธีการจัดการกับปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าในตอนที่ท่านย้ายมาใหม่ๆ แล้วพบว่าค่าไฟฟ้าของโรงเรียนแพงหลายแสนบาท เริ่มจากการเชิญคนที่พิจารณาว่าน่าเกี่ยวข้องมาระดมสมองไตร่ตรองร่วมกันถึงสาเหตุ แล้วกำหนดวิธีแก้และทำทันที วางแผนระยะกลางและระยะยาวอย่างมีระบบ เรื่องเล่าเล็กๆ นี้สะท้อนวิธีการแก้ปัญหาโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับการพัฒนาโรงเรียน และจากการสังเกตและสนทนา ผมสังเคราะห์ว่า ท่านรู้ เข้าใจ นำไปปฏิบัติกับตน จนเห็นผลเห็นคุณค่า ถือเป็นจุดแข็งของโรงเรียนในการขับเคลื่อนฯ ...  อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นซักถาม พบว่าเพิ่งจะเริ่มปีที่ ๒ ของท่านที่นี่ ในใจผมยังมีคำถามเกี่ยวกับ "ความสามัคคี" และ "เอกภาพ" ของทีมบริหาร ว่าทุกคนพร้อมที่จะร่วมใจขับเคลื่อนฯ ไปด้วยกันหรือไม่

จุดเด่นที่เห็นจากการสังเกต "ความภูมิใจ" ของนักเรียน ครู และกรรมการสถานศึกษา คือ โครงการสวนพฤกษาศาสตร์ในโรงเรียน ที่สามารถผ่านระดับ ๒ ตามเกณฑ์ของหลักสูตร ซึ่งเห็นชัดว่าเกิดผลลัพธ์กับนักเรียน มีร่องรอยหลักฐานชัดเจน มีการบูรณาการระหว่างกิจกรรมกับการจัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ถือเป็นต้นแบบสำหรับโรงเรียนที่จะไปศึกษาดูงานด้านนี้ 

แกนนำขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนคือ รอง ผอ.เรืองยศ วิชัย วิธีที่ใช้คือ การบูรณาการ ปศพพ. ลงในกิจกรรมชมรมและโครงการต่างๆ เช่น ชมรมดนตรีที่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง ชุมนุมลูกสือเนตรนารี โครงการสวนพฤกษาศาสตร์ในโรงเรียน โครงการทำนา ธนาคารโรงเรียน ฯลฯ โดยขับเคลื่อนฯ สู่ครูที่ปรึกษาประจำชมรมหรือครูที่รับผิดชอบโครงการ นอกจากนี้ก็ขับเคลื่อนฯ ผ่านการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ









ฯลฯ

ข้อความเห็นของกรรมการประเมินฯ

หลังจากการตรวจเยี่ยมประเมินฯ กรรมการฯ ทุกคนประทับใจนักเรียนมาก นักเรียนส่วนหนึ่ง สามารถที่จะตอบคำถามได้อย่างเข้าใจ ใช้เหตุใช้ผลได้อย่างมั่นใจ แสดงถึงการขับเคลื่อนฯ ที่เน้นให้นักเรียนได้ทำจริงๆ ลงมือทำจริงๆ

กรณีหนึ่งที่นักเรียนตัวถ้วมน้ำหนักมาก นั่งอยู่บนหมูที่ทำจากกระดาษแช่น้ำติดกาว กรรมการฯ ถามว่า "..น้ำหนักเรามากขนาดนี้ หมูจะรับไหวเหรอ?"  เด็กชายตอบทันทีว่า "รับได้ครับ หมูตัวนี้ติดกระดาษ ๔๐ ชั้น สามารถรับน้ำหนักได้ถึง ๑๐๐ กิโลกรัม น้ำหนักผม ๘๐ รับได้.. ไม่มีปัญหาครับ"....  คำตอบเพียงสั้นๆ ของเด็กชายสะท้อนให้เห็นว่า
  • ได้ทำเอง  จึงจำแม่น มั่นใจ มีไหวพริบในการตอบคำถาม
  • ทำอย่างมีหลักวิชา เรียนรู้ศึกษาปัญหาอย่างเป็นกระบวนการ ผ่านประสบการณ์การทดลองตรวจสอบ จึงสามารถสร้างองค์ความรู้ให้เกิดกับตนเองได้ 
  • เห็นคุณค่าและภูมิใจในสิ่งที่ตนเองทำ ในที่นี้คือ สามารถนำกระดาษมาใช้ได้อย่างคุ้มค่า ใช้งานได้จริงและเกิดประโยชน์สูงสุด 
  • เห็นการ "วิเคราะห์ตนเอง" ก่อนที่จะตัดสินใจทำอย่างรอบคอบ กล่าวคือ รู้ว่าหมูรับได้ ๑๐๐ กิโลกรัม ตนเองหนัก ๘๐ กิโลกรัม จึงตัดสินใจนั่ง
เมื่อกรรมการฯถามว่า "ทำไมต้องเป็นหมู ทำไมเลือกหมู ทำไมไม่ทำเป็นรูปสัตว์ประเภทอื่น?" เด็กชายอธิบายว่า " ชีวิตของตนเป็นคน อ.บัวขาว ครอบครัวเลี้ยงหมูมาตั้งแต่ตนยังเด็ก จึงมีความผูกพันและเห็นความสำคัญของหมูมาตั้งแต่วัยเด็ก.."  ทำให้ ผอ.เกษม ประทับใจ ถึงกับบอกว่า "เยี่ยมยอดมาก" อย่างไรก็ดี ยังมีนักเรียนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นเจ้าของผลงาน จึงทำให้ไม่สามารถตอบคำถามได้ และด้วยความซื่อสัตย์จึงได้บอกกับกรรมการตรงๆ ว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของผลงาน

ผมประเมินว่า ผลสำเร็จในการปลูกฝังอุปนิสัย "พอเพียง" ตามกรอบคิดนี้ อยู่ในระดับนิยาม และตีความ หรืออยู่ในระดับ "มูลค่า" และ "ความรู้" หากพิจารณาตามกรอบนี้  บทบาทของครูแกนนำน่าจะยังอยู่ในระดับ ๒ คือขับเคลื่อนด้วยการ ๒ "ถอดบทเรียน" ซึ่งจากความเห็นกรรมการ นักเรียนแกนนำยังไม่สามารถเล่าเรื่อง และบูรณาการหลัก ปศพพ. กับสิ่งที่ทำได้มากนัก นั่นหมายถึง ต้อง "ถอดบทเรียน" ให้มากขึ้น


ข้อเสนอแนะ
  • ถอดบทเรียนและขยายความสำเร็จจากโครงการสวนพฤกษาศาสตร์ หรือวงโปงลางของโรงเรียน โดยครูอำนวยและกระตุ้นให้นักเรียน นำกระบวนการเรียนรู้ไปปรับใช้กับโครงการอื่นๆ
  • ปรับเปลี่ยนหรือออกแบบกิจกรรมให้เน้นการฝึกฝน "ทักษะ" และ "กระบวนการเรียนรู้" ของนักเรียน มากขึ้น ระวังไม่ให้เป็นเพียงกิจกรรมที่ทำกันเพียงไม่กี่วัน แต่เป็นภารกิจสำคัญที่นักเรียนจะได้ฝึกวิธีการใช้ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" ในการทำเรื่องต่างๆ ในระยะยาวขึ้น เช่น การปรับเอารายวิชา IS ในหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากลมาเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะเอื้อให้นักเรียนได้ทำโครงงานบนฐานปัญหาหรือชีวิตจริงๆ
  • ร่วมกันทำ "วิสัยทัศน์ร่วม" กันอย่างจริงจังสู่ความเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาฯ แต่งตั้งคณะครูแกนนำขึ้น เพื่อขยายความสำเร็จสู่โรงเรียนและชุมชนภายนอกโรงเรียน 
  • ส่งเสริมการ "สอนเป็นทีม" หรือ สร้างชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) เพื่อร่วมกันพัฒนา เปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ 
  • ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม โดยการใช้เครื่องมือจัดการความรู้ (KM) เช่น ฺBAR, DAR, AAR, Deep Listening, Dialouge, ALR, AI เป็นต้น ซึ่งสามารถสืบค้นเรียนรู้ได้ทั่วไป 

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๐๗ : ประเมินโรงเรียนผดุงนารี จ.มหาสารคาม

วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ตอนบ่าย คณะกรรมการประเมินการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) ด้านการศึกษา  กลับเข้ามา อ.เมือง เพื่อตรวจเยี่ยมโรงเรียนผดุงนารี หลังจากที่ตอนเช้าเข้าเยี่ยมโรงเรียนบรบือ อ.บรบือ โรงเรียนผดุงนารีเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ มีนักเรียนกว่า ๔,๐๐๐ คน เป็นโรงเรียนตามหลักสูตรมาตรฐาน-สากล ดูข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียนที่นี่ เว็บไซต์ของโรงเรียนอยู่ที่นี่ เฟสบุ๊คของโรงเรียนอยู่ที่นี่

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ผมได้รับการเชิญให้ไป "สนทนา" กับทีมขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนผดุงนารี  ผมพิจารณาว่า เป็นจังหวะดีที่จะได้เรียนรู้ว่า ทางโรงเรียนขับเคลื่อนอย่างไร และมีปัญหาตรงไหนอย่างไร และอีกทั้งเวลาตามตารางที่จะมาประเมินที่โรงเรียนผดุงนารีคือ วันที่ ๒๒ ผมติดราชการเป็นวิทยากรที่ มทร.โคราช จึงเป็นโอกาสที่จะได้สัมภาษณ์ทีมขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนไปด้วย และผมตีความว่า นี่เป็นความกระตือรือล้นของโรงเรียนในการเตรียมตัว เตรียมงาน อาจเป็นเพราะทางทีมคณะกรรมการอาจจะยังไม่เพียงพอในการสื่อสาร จึงทำให้เกือบทุกโรงเรียนยังไม่เข้าใจกระบวนการประเมินในครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการปรับเปลี่ยนตารางการประเมินใหม่ จึงเป็นโอกาสให้ผมได้เข้าร่วมประเมินได้ในที่สุด ผมคิดเหตุการณ์นี้เป็นการนำหลัก ปศพพ. มาใช้ในการทำงานประการหนึ่งของทีมขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียน.... ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การพูดคุยสนทนากันแบบไม่เป็นทางการนั้น "ทรงประสิทธิภาพ" สอดคล้องกับบริบทของคนไทยมากกว่า "การส่งจดหมาย ขอเข้าพบ" มากนัก


ความภูมิใจที่สัมผัสได้จาการนำเสนอของผู้บริหาร คือ ความสำเร็จในการส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนจนสามารถชนะเลิศการแข่งขันทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ ได้แก่ วงอีสาน-ดรัมไลน์ และตะกร้อลอดห่วงหญิงรุ่นอายุไม่เกิน ๑๘ ปี (อ่านข่าวที่นี่) เป็นต้น


ดูข่าวการชนะเลิศระดับโลกของวง อีสาน-ดรัมไลน์ ได้ที่คลิปนี้ 


ดูการแสดงจริงๆ ของวงได้ที่คลิปนี้  น่าจะได้รับเชิญไปแสดงที่อเมริกาหลังจากได้แชมป์แล้ว


ผมตีความและสังเคราะห์ว่า ปัจจัยของความสำเร็จอยู่ที่ "ความเพียร" การฝึกฝนอย่างหนักของนักเรียน ภายใต้ความเข้มงวดของครูผู้รับผิดชอบ และอีกประการสำคัญน่าจะเป็น "วิสัยทัศน์" และ วิธีการบริหารจัดการและ "สนับสนุน" อย่างเต็มที่และมีระบบของ ดร.มีศิลป์ ชินภักดี ผู้อำนวยการโรงเรียน

แม้ว่าจะไม่ได้พบและสัมภาษณ์นักเรียนทั้งสองกลุ่มนี้ แต่หลังจากสืบค้นและศึกษาผลงานของพวกเขา ผมมั่นใจว่า พวกเขาทุกคนเห็นคุณค่าของภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรมไทยอีสาน และภูมิใจในเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของความเป็นไทยที่พวกเขาได้บรรลุความสำเร็จด้วยความเพียรของตน ... นี่เป็นอุปนิสัยพอเพียงประการสำคัญ


สิ่งที่กระผมชื่นชมที่สุดไม่ใช่รางวัลต่างๆ ที่นำมาแสดง  แต่เป็นความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ และเสียสละของครู ในโครงการ "เยี่ยมบ้านนักเรียน" ท่าน ผอ. เล่าให้ฟังว่า "..เราเยี่ยมบ้านนักเรียน ๑๐๐ เปอร์เซนต์ เยี่ยมบ้านทุกคน..."  ทันทีที่ได้ฟัง สมองผมเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ที่อาจารย์ไพรัตน์ ธรรมแสง หนึ่งในทีมขับเคลื่อนฯ ของเรา เล่าให้ฟังเรื่องอาจารย์เปิ้ล (ภรรยาท่าน) ซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนผดุงนารีทำงานเยี่ยมนักเรียนหนักแค่ไหนในแต่ละเทอม  ในแต่ละห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ ๕๐ คน มีครูประจำชั้น ๒ คน นั่นคือครูแต่ละคนต้องออกเยี่ยมบ้าน ๒๕ ครอบครัว โดยมีงบสนับสนุนเพียง ๑,๕๐๐ บาท .... ผมตีความว่า นี่เป็นไม้ตายของ ผอ.มีศิลป์ ที่ทำให้ท่านสามารถเพิ่มนักเรียนจาก ๒,๕๐๐ เป็น ๔,๐๐๐ คนในปีนี้

ผมฟังว่า เหตุที่โรงเรียนผดุงนารี มีความมั่นใจที่จะขับเคลื่อนฯ เป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือการมีรองผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ท่านสำเร็จการศึกษาด้านปริญญาเอกด้านนี้มาโดยตรง และที่ผ่านมาท่านก็ได้ทำกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ในความเข้าใจของผม ผู้ขับเคลื่อนฯ แม้จะจบการศึกษามาด้านสาขาวิชาใด แต่หากมี "ใจ" เห็นความสำคัญของอุปนิสัย "พอเพียง" และมีอุดมการณ์ มุ่งมั่นที่จะแบ่งปันแผ่ขยายไปสู่นักเรียนลูกหลาน เป็นอันใช้ได้  และยิ่งหากมี "หลักวิชา" ที่ได้ศึกษามาโดยตรง มีประสบการณ์งานขับเคลื่อนฯ ดังเช่น รอง ผอ. ภักดี ด้วยแล้ว ยิ่งต้องถือว่าพร้อมและไม่จำเป็นจะต้องรอผลการประเมินใดๆ  ลุยได้ทันที ประโยชน์เกิดกับตนเอง เพื่อนครู และนักเรียนทันที ...

สิ่งที่ประทับใจและชื่นชมอันดับสองรองจากครู คือ การให้ความสำคัญต่อภูมิปัญญา และส่งเสริมนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านภูมิปัญญา ได้รับโอกาสมาแสดงความสามารถ  นักเรียนคนหนึ่งที่มาเล่าเรื่องมีความสามารถด้านการเรียนและการรู้จักตนเอง อีกทั้งยังกำหนดเป้าหมายในชีวิตของตนเองชัดเจนตั้งแต่ยังเยาว์นัก ส่วนนักเรียนชายอีกคนมีความสามารถด้านการด้นเพลง "แหล่"... เสียดายที่ไม่ได้บันทึกเสียงไว้ และค้นทางออนไลน์ก็ไม่พบ ...


ผลการประเมินและข้อสะท้อน

โดยภาพรวมแล้ว กรรมการประมินฯ สะท้อนว่า นักเรียนแกนนำที่มาแสดงผลงานในห้องทุกคน มีทักษะการคิดวิเคราะห์  สามารถสังเคราะห์ โต้ตอบ ตอบคำถามได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล มีไหวพริบดีเยี่ยม สอดคล้องกับที่เป็นผลงานของโรงเรียนมาตรฐานสากล ที่เน้นให้นักเรียนได้ "ฝึกสืบค้น ฝึกคิด ฝึกทำ ฝึกนำเสนอ ฝึกแก้ปัญหา" อย่างไรก็ตาม หลังจากการเดินสำรวจ สังเกต และสัมภาษณ์นักเรียน ผมพบว่า

  • นักเรียนเข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระดับ "มูลค่า" และระดับ "ความรู้" (อ่านที่นี่) การบูรณาการ "หลักคิด" เข้าไปในสิ่งที่ทำเช่น โครงงาน ฯลฯ หรือการนำไปปรับใช้ในกิจกรรมและกิจวัตร ยังไม่ชัดเจน  คำตอบของนักเรียนจึงมักเน้นด้านมิติของวัตถุ เศรษฐกิจ 
  • ผมสังเคราะห์และตีความว่า ผู้บริหารและครูล้วนแต่มีอุปนิสัย "พอเพียง" เพียงแต่กระบวนการขับเคลื่อนฯ ให้นักเรียนแกนนำได้ "เรียนรู้วิธีการเรียนรู้" ของตนเอง และ "เรียนรู้จากการทำงาน" ว่า ตรงไหนบ้างที่ "ปรับใช้" หรือนำ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" ไปใช้ ยังไม่มากพอ  ผมคาดว่า "บทบาทของครูแกนนำ" ในการขับเคลื่อนฯ น่าจะอยู่เพียงระดับที่ ๒ ตาม "กรอบคิดนี้"
  • ผมวิเคราะห์ว่า การขับเคลื่อนฯ ที่ผ่านมาอาจแยกส่วนระหว่าง "คุณธรรม" กับ "ความรู้" (หมายถึงวิชาการ) แยกจากกิจกรรมชมรม กิจกรรมเด่นๆ เช่น วงอีสาน-ดรัมไลน์ หรือตะกร้อลอดห่วง  แม้ผมจะมั่นใจว่า เด็กนักเรียนเจ้าของเหรียญทองเหล่านั้นจะภูมิใจในตนเองและท้องถิ่น และมีอุปนิสัย "พอเพียง" พอสมควร แต่ผมคิดว่า พวกเขายังไม่ได้เอา ปศพพ. ไปขยายบอกต่อ 
  • ในการขึ้นไปเยี่ยมห้องเรียน ผมเห็นร่องรอยของการขับเคลื่อนฯ อย่างจริงจัง  ภาพที่อยู่หลังห้องเรียนแสดงถึงหัวเรื่องเรียนรู้ที่ครูให้ความสำคัญ ดังภาพ 
  • ภาพข้างบนสะท้อนให้เห็นว่า เด็กๆ สืบค้นเรื่อง ปศพพ. และนำเสนอเกี่ยวกับการเกษตร "เกษตรทฤษฎีใหม่" ยังไม่เห็นร่องรอยของการใช้ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" มาใช้กับ "การศึกษา" ในที่นี้คือ "การเรียน" และ "ชีวิตประจำวัน" ที่อยู่กลางเมืองมหาสารคาม  จึงทำให้ผมคิดว่า ทั้งนักเรียนและครูส่วนหนึ่ง อาจจะยังไม่ได้รับการขับเคลื่อนฯ ปศพพ. อย่างถูกต้องและทั่วถึง 
 ข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนฯ
  • ใช้รายวิชา IS ในหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน "หลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง" ไปใช้กับกระบวนการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้สะท้อน หรือ "ถอดบทเรียน" การเรียนรู้ของตนเอง และ ฝึกตีความและอธิบายงานของกลุ่มตนเองตามหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ
  • ปรับใช้ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" กับการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม และกิจกรรมต่างๆ ถ้าเป็นไปได้ ให้บูรณาการเชื่อมโยงระหว่าง กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม และการมอบหมายงานหรือตั้งปัญหาให้สอดคล้องกัน สอดคล้องกับปัญหาจริงๆ ของชุมชนและสังคม
  • แต่งตั้งทีมขับเคลื่อนฯ ครูแกนนำ และนักเรียนแกนนำอย่างเป็นทางการ เพื่อดำเนินการขยายความสำเร็จของโรงเรียนในทุกมิติ โดยใช้กระบวนการจัดการความรู้ หรือ KM  โดยครูแกนนำทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการหรือ "กระบวนกร" 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขียนนี้ค่อนข้าง "หยาบ" และเป็นการ "คิดเขียน" ด้วยการประเมินที่จำกัด  อย่างไรก็ดี การเขียนบันทึกนี้ก็เพื่อพัฒนา ด้วยใจที่เป็นกัลยาณมิตรกับท่าน สงสัยหรือเห็นเป็นประการใด โปรดได้อธิบายชี้แจงต่อไปครับ