วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ฅนค้นครู (พอเพียง) ๑: ศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดบูรพาราม บ.นกเหาะ ต.ครั่งใหญ๋ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

ช่วยค่ำๆ วันนี้ ผมพบครูรูปหนึ่ง (ท่านคลองเพศสมณะประมาณ ๑๐ พรรษา (ไม่กล้าถาม)) ณ ศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดบูรพาราม บ.นกเหาะ ต.ดงครั่งใหญ่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ต้องขอบพระคุณ(อดีต)กำนันสัมฤทธิ์ ที่ทั้งแนะและนำผมให้ไปกราบท่านถึงที่ จนได้คลิปวีดีโอเหล่านี้มาฝากท่านผู้ชม





ก่อนท่านจะพาเดินชมแบบไว ๆ ดังที่ได้บันทึกและขออนุญาตเพื่อเผยแพร่นี้ ท่านได้บรรยาย "ปริยัติ" หรือทฤษฎีให้กับผมแบบ "ตัวต่อตัว" เกือบชั่วโมงเทียว  ขอถอดความสิ่งที่ท่านตกผลึกเป็นความรู้ "กึ่งสำเร็จรูป" ให้ทุกท่านไปพิจารณา ... เชิญเถิด

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ๕ ประการ ในการทำเกษตรพอเพียง

 ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านสอนเป็นเหมือน "คาถา" ซึ่งหากใครมีศรัทธาสงสัยก็นำไปท่องจำนำไปปฏิบัติได้เลย ใครจะมีทำเกษตรพอเพียงจะต้องมี ๕ อย่างนี้ ไม่มีข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ได้แก่

  • ต้องมีเวลา 
  • ต้องมีแรง
  • ต้องมีความรู้ 
  • ต้องมีปัญญา
  • ต้องมีสังคม 
ขออธิบายความหมายและแนวทางปฏิบัติที่ท่านเล่าให้ฟังดังนี้ครับ 

๑) ต้องมีเวลา

ใครจะทำต้องจริง ๆ  เรียนรู้จริง ๆ  ต้องให้เวลาเต็มที่ เพื่อมาศึกษาวิจัยจากการปฏิบัติ ไม่ใช่ลองผิดลองถูก แต่เป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการควบคุมเงื่อนไข (ท่านไม่ได้ใช้คำว่าตัวแปร) และมีสังเกตผลอย่างเป็นกระบวนการ (ก็คือการวิจัยนั่นเอง) โดยเฉพาะปีแรก ๆ  ... ท่านบอกว่า หลังจาก ๕ ปีก็สบาย 

ท่านให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มาก ๆ ซึ่งเห็นได้จากสิ่งที่ท่านเน้นย้ำกับผมโดยเฉพาะในช่วงตอนก่อนจะจบพลบค่ำวันนี้ว่า ที่ศูนย์ฯ นี้ 
  • ใครจะมาเรียน "ต้องรู้" 
  • ใครจะมาดู "ต้องเห็น" 
  • ใครจะมาทำ "ต้องทำเป็น" 
ท่านเล่าว่าทุก ๆ วันตอนเย็นในการอบรม จะมีการสรุปสะท้อนการเรียนรู้กันว่าได้ผลตรงตามเป้าหมายดังกล่าวนี้ในแต่ละวันหรือไม่... ฟังจากที่กำนันสัมฤทธิ์พูด ในระแวกนี้มีแต่ท่านเท่านั้นที่ทำได้ 

๒) ต้องมีแรง

ต้องมีแรง ต้องทำด้วยตนเอง (ต้องพึ่งตนเอง) เพราะการทำด้วยตนเองจะทำให้ "ทำเป็น" ... การคิดจะทำเกษตรพอเพียงแล้วเอาแต่จ้างคนมาทำจะไม่นำไปสู่ความ "พอเพียง" 

๓) มีความรู้

ความรู้ที่ท่านเน้นย้ำสำหรับเรื่องเกษตร มี ๓ ประการ ได้แก่ 
  • ต้องรู้เรื่องดิน ... จะใส่อะไรลงในดิน รู้หรือยังว่าดินต้องการอะไร ขาดอะไร หลายครั้งที่ชาวบ้านจะเพิ่มความเป็นกรดให้กับดินโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ต้องวัดค่า pH ของดินเสียก่อน)
  • ต้องรู้เรื่องจุลินทรีย์... ไม่ใช่แค่รู้วิธีทำ วิธีหมัก วิธีใช้ แต่ต้องรูลึกถึงเหตุ-ผล รู้ทุกขั้นวัฏจักรของจุลินทรีย์ที่สร้างขึ้น รู้วิธีการใช้อย่างละเอียด ... ผมฟังท่านเล่าตอนนี้ รู้สึกทึ่งสุด ๆ  เหมือนเปิดกระโหลกทีเดียว
  • ต้องรู้เรื่องการดูแลต้นไม้ ... ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการปลูก แต่สำคัญคือเรื่องการดูแลรักษา ท่านบอกว่า "ฉันไม่ได้ออนซอน (ไม่ทึ่ง ไม่ปลื้ม) กับคนปลูกต้นไม้เป็นหมื่นต้น แต่ฉันออนซอน (ภูมิใจ) คนที่สามารถดูแลต้นไม้ให้รอดงามแม้เพียง ๑๐ ต้น ....  
๔) มีปัญญา

ในที่นี้ท่านไม่ได้หมายถึงปัญญาทางธรรมครับ เป็นปัญญาทางโลก ก็คือความฉลาด ความสังเกต ทักษะการคิด การนำความรู้มาประยุกต์ใช้ การค้นหาความรู้ ทักษะการเรียนรู้ และรวมถึงความคิดสร้างสรรค์ด้วย ... หรือก็คือ กระบวนการวิจัยและพัฒนา นั่นเอง 

๕) มีสังคม 

ท่านนิยามคำว่า "สังคม" ด้วยประโยคง่าย ๆ ว่า "...คนคนเดียวไม่ใช่สังคม สังคมเกิดขึ้นเมื่อคนไปเกี่ยวกับคนอื่นหรือสิ่งอื่น..."  ระบบนิเวศก็เป็นสังคมในความหมายของท่าน 

ความรู้ใหม่ในวันนี้สำหรับผม

องค์ความรู้ต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ใหม่ในวันนี้ ประทับใจจึงจำได้ ได้แก่ 
  • สูตรทำให้กล้วยมีมากกว่า ๑๐ หวี ... อยากรู้เปิดคลิปแรกดูอีกทีนะครับ 
  • สูตรปลูกกล้วย ๒ เป้า... จะเอาอะไร 
    • เอาหน่อ ... อย่าขุดหลุม ..."กล้วยไม่มีรากแก้ว".... หรือ 
    • เอาผลผลิต ...ให้ขุดหลุม เลี้ยงด้วยโฮโมนร์ไข่ ๔ ฟอง ๔ ขั้น 
      • เริ่มหมักฮอร์โมนไข่ ๔ ฟอง พร้อมวันที่ปลูกกล้วย 
      • เมื่อกล้วยเข้าวัยหนุ่มสาว (ครบ ๔ เดือน) เดือนที่ ๕ ให้เทฝังฮอร์โมนเป็นหลุมใกล้โคนกล้วย ๑/๓ ส่วน ผสมน้ำ ๑ ถังคุ  ตัดหน่อของมันมากลบบริเวณที่รดฮอร์โมน...ที่เหลือหมักต่อ
      • เข้าเดือนที่ ๖ เอาส่วนที่สอง (๑/๓) มารดในหลุมเดิม ทำเหมือนเดิม
      • เข้าเดือนที่ ๗ เอาส่วนที่เหลือ (๑/๓) มารถในหลุมเดิม 
  • มะละกอกิ่งตอนจะดกและไม่เป็นโรค
  • พริกไทยกิ่งจากไหล (เอาไหลมาต่อยอด) จะดีกว่าพริกไทยที่ปลูกจากต้น 
  • แมลงอยากกินอะไรหากให้เขากิน เขาจะได้ไม่ไปรบกวนพืชที่เราต้องการ 
ขออนุโมทนาสาธุครับ ...  สำหรับผมเหลือแต่ต้องลงมือปฏิบัติและใช้กระบวนการวิจัยสมัยใหม่ไปช่วยท่าน และถอดบทเรียนจากท่านมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์ของมหาชนคนไทยต่อไปครับ 

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"ต้นมะม่วง" และ "ปูทะเล" คืออะไร ตีความด้วยใจบูชา พระมหาชนก (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙)

ผมตั้งคำถามกับนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบ่อย ๆ ว่า "มีใครไม่รู้จักพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนกหรือไม่" ทุกครั้งจะได้คำตอบอันชื่นใจ ไม่มีใครไม่รู้จักเลย ท่านผู้อ่านก็คงเช่นกัน ....  วันนี้โอกาสดี ขอหยิบเอาหนังสือพระราชนิพนธ์ฯ ที่เราต่างก็รู้กันดีนั้น มาศึกษาตีความให้ประเทืองปัญญา เสริมศรัทธา และหนุนความเพียรกันครับ



๑) ทบทวนสิ่งที่ควรคำนึง

ขอเริ่มด้วยการให้ท่านดูภาพและข้อความในบทพระราชนิพนธ์ ต่อไปนี้ครับ



  • ระหว่างทางเสด็จเพื่อทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีมะม่วงสองต้นเขียวชะอุ่ม ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ... ใคร ๆ มิอาจเก็บผลจากต้นนั้นได้ เพราะพระราชายังมิได้เสวย 
  • เมื่อพระมหาชนกเก็บเอาผลหนึ่งเสวย ... พอตั้งอยู่อยู่ที่ปลายพระชิวหา (ลิ้น) ก็ปรากฎดุจโอชารสทิพย์ ทรงคิดว่า "เราจักกินให้มาก เวลากลับ" ก่อนเสด็จสู่อุทยาน 

  • คนอื่น ๆ มีอุปราชเป็นต้นจนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน ฝ่ายคนเหล่าอื่นยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง 
  • เมื่อทรงเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเห็น...เหล่าอามาตย์กราบทูลว่า ใบและวรรณะของมะม่วงต้นหนึ่งไม่สิ้นไปเพราะไม่มีผล แต่อีกต้นหนึ่งถูกโค่นไปเพราะมีผล ทรงดำริว่า "แม้ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล" 
  • ตอนที่เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว...นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง 

๒) สังเกตุและตีความ "เมืองอวิชชา"
  • ลองพิจารณารูปประกอบโดยละเอียด จะพบว่า 

    • ทรงตั้งชื่อเมือง (ที่ผู้คนจาริกอยู่ในโมหภูมิ) ว่า "เมืองอวิชชา" เจ้าเมืองท่าทางเก่งฉลาด รอบรู้วิทยาการ (ใส่แว่น หัวใส) แต่เป็นคนไม่ดี (ลักษณะหน้าตา) กำลังเสพสำราญกับสตรีแสนสวย โดยมีสตรีขับกล่อมดินตรีและเฝ้าปรนนิบัติบริการอย่างดี  
    • มีปราสาทย่อย ๓ หลังชื่อ โลภ โกรธ และหลง 
      • ปราสาทชื่อ "โกรธ" เป็นศาลาเปิดโล่ง (โจ่งแจ้ง) ไม่กลัวใคร บำเรอความสุขของตนอ้วยอิทธิพลและสาวงามมากมาย กำลังยกหูโทรศัพท์คุยสั่งการงานอัปรีย์ไม่ดีทั้งหลาย 
      • ปราสาทชื่อ "โลภ" เป็นศาลาปิดม่านมิดชิด กำลังถ่ายทำหนังลามก แต่เปิดให้เด็ก ๆ  เข้าชมได้
      • ปราสาทชื่อ "หลง" เป็นปราสาทคอนกรีตสองชั้น ชั้นบนมีคนกำลังเสพยาและสมสู่กันเป็นชู้นอน ด้านล่างคุณครูกำลังพาเด็ก ๆ มาศึกษาดูงาน 
    • บริเวณพื้นที่หน้า/กลางลานเมือง มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกำลังเต้นรำ กอดรัด กันอยู่อย่างสนุกสนาน 
    • ในขณะที่คนไทยจำนวนมากกำลังรอคิดแจ้งเหตุ กับ เจ้าหน้าที่ในป้อมยาม 

    • ถัดจากป้อมยามรับแจ้งเหตุ ด้านหลังของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีผู้ใหญ่กำลังเทน้ำเสียและของเสียทิ้งลงแม่น้ำ ในขณะที่เด็ก ๆ ก็กำลังดูเป็นตัวอย่าง... เจ้าหน้าที่มัวแต่ง่วนอยู่กับการรับแจ้งเหตุรายวัน (กำลังคุยโทรศัพท์) จึงไม่ได้คิดเรื่องห้ามการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ 
    • แม่น้ำนั้นมีเด็กส่วนหนึ่งกำลังลงว่ายน้ำเล่น แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่งที่นั่งขับถ่ายลง 
    • ถัดมามีผู้ใหญ่ ๕ คนอยู่บนเรือ คนหนึ่งพายเรือ อีกคนชวนดื่มเหล้า คนหนึ่งกำลังดื่มและเอาท้าวราน้ำด้วย ส่วนอีกสองคนกำลังเล่นดนตรีร้องเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน 
    • ประชาชนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิงผู้ชาย ชาวบ้าน พรมหม์ ต่างช่วยกันกินผลมะม่วง และโค่นผลมะม่วง ทั้งใช้วิธีดึง โน้ม และใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ต้นมะม่วงล้มลงแล้ว 
๓) ฟื้นฟู "ต้นมะม่วง"
  • ทรงดำริว่า ทุกบุคคลจะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น... อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นต้องหาทางฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล 
  • ทรงให้ไปเชิญอุทิจจพราหมณ์มหาศาลให้มาพร้อมด้วยลูกศิษย์สองสามคน ... อุทิจจพราหมณ์มหาศาลมาเข้าเฝ้าพร้อมลูกศิษย์สองคนคือ จารุเตโชพราหมณ์ และ คเชนทรสิงหบัณฑิต 
    • จารุเตโชพรหาหมณ์ เชี่ยวชาญเรื่องการปลูก ... สังเกตว่าเป็นพราหมณ์ น่าจะส่งทรงหมายถึงภูมิปัญหาของไทยใน "บวร" บ้านวัดโรงเรียนอยู่ด้วยกัน 
    • คเชนทรสิงหบัณฑิต เชี่ยวชาญเรื่องการถอน... สังเกตว่าเป็นบัณฑิตผู้รู้วิทยาการ (ต่างประเทศ) คนนี้เองที่เอาเครื่องจักรไปโค่นต้นมะม่วง 
  • เมื่อมาถึงหน้าพระพักตร์ คเชนทรสิงหบัณฑิต ทรุดลงแทบพระบาทของพระราชา แล้วกล่าวว่า "ข้าพระองค์ผิดเอง" ... ผมตีความว่า แม้ขณะนี้ที่ผมกำลังเขียนบันทึกนี้ ก็ยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์นี้เลย นอกจากจะไม่ได้สำนึกผิดแล้ว ยังกล่าวตู่ด้วยความทิฐิมานะ (ดูคลิปนี้นาทีที่ ๗ - ๒๔ เถิด)
  • พระราชาบอกว่า "อย่าโทมนัสไปเลย... บัดนี้ปัญหาคือจะฟื้นฟูต้นมะม่วงได้อย่างไร...เรามีวิธี ๙ อย่างที่อาจจะใช้ได้ ...ดังนี้ (เชิญอ่าน การตีความของ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ได้ที่นี่ครับ ผมสรุปคำสำคัญไว้ในวงเล็บครับ)
    • หนึ่งคือ เพาะเมล็ด ... (การศึกษาของเยาวชน)
    • สองคือ ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ ... (สืบสานและพัฒนาภูมิปัญญา รากเหง้าวัฒนธรรมอันดี)
    • สามคือ ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ.. (บำรุง ส่งเสริมคนดี ให้ได้เติบโต)
    • สี่คือ เอากิ่งดีมาเสียบยอดของกิ่งที่ไม่มีผลให้มีผล ... (ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองคนไม่ดี)
    • ห้าคือ เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น ... (เอาความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ๆ มาใช้)
    • หกคือ เอากิ่งมาทาบกิ่ง ... (รวมพลังคนดี ประสานสามัคคีกัน)
    • เจ็ดคือ ตอนกิ่งให้ออกราก ... (สร้างเสริมคนดีให้มีความเข้มแข็งเพียงพอเพื่อขยายผล)
    • แปดคือ รมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล ... (อาจต้องใช้การบังคับให้กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ)
    • เก้าคือ ทำชีวาณูสงเคราะห์ ... (ใช้การเปลี่ยนทัศนคติของสังคมโดยใช้สื่อสารมวลชน)
  • หลังจากพระราชทานแนวพระราชดำริแล้ว ทรงบอกกับอุทิจจพราหมณ์มหาศาลว่า "จงให้พราหมณ์อันเตวาสิกไปพิจารณา" 

๔) ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
  • ทรงตรัสกับพราหมณ์มหาศาลว่า "เราสงวนเรื่องนี้มานานหลายเวลาแล้ว...ก่อนที่คลื่นยักษ์จะมากระหน่ำนาวา เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกันว่า โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า.."
  • พราหมณ์ทูลว่า "ข้าพระองค์ก็เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่ามีปูทะเลยักษ์ดังนี้หรือไม่" 
  • พระราชาตรัสว่า "มีแน่แท้ หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่า ก็ว่ายข้ามมหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราว ๆ บางครั้งก็รู้สึกได้เหยิบพื้นทะเลได้คล้าย ๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่ ๖ ในจำพวก ๗ บุคคล (ในพระไตรปิฎก อุทกูปมสูตรที่ ๕ )
    • จำพวกที่ ๑ ตกน้ำแล้วจมเลย ...(ทั้งชีวิตประกอบแต่อกุศลกรรม)
    • จำพวกที่ ๒ ตกน้ำ ผุดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วจม ... (มีธรรม แต่ไม่คงที่ ไม่เจริญ เสื่อมไป)
    • จำพวกที่ ๓ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่ ... (มีธรรม ไม่เสื่อม แต่ไม่เจริญ)
    • จำพวกที่ ๔ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ... (พระโสดาบัญ)
    • จำพวกที่ ๕ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ... (พระสกทาคามี)
    • จำพวกที่ ๖ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ... (พระอนาคามี)
    • จำพวกที่ ๗ ตกน้ำ ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่ง ข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพรามหมณ์ยืนอยู่...(พระอรหันต์)
  • นางมณีเมขลา กล่าวว่า "ท่านต้องให้สาธุชนได้รับพร แห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน ถึงกาลอันสมควรท่านจงตั้ง มหาวิชชาลัย" 
  • เสด็จไปพบอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อดำริให้ถวายคำแนะนำการตั้งชื่อ และทรงเห็นสมควรว่าควรจัดตั้ง "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ทรงกล่าวว่า .... เหตุการณ์ในวันนี้แสดงถึงความจำเป็นที่จะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว 
  • พราหมณ์มหาศาลเห็นพ้องกับพระราชดำริ กล่าวว่า "พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ไว้ใจได้ และจะประดิษฐาน ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี 
  • มิถิลาไม่สิ้นคนดี 
  • วิริยะ(อนุรักษ์+พัฒนา)
  • คุณธรรม(อนุรักษ์ + พัฒนา) 
๕) ผมตีความ

  • ต้นมะม่วง ก็คือ ประเทศไทยของเรานั้นเอง ถ้าเรามุ่งพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่มีความเจริญอย่างมาก (เจริญทางโลก) โดยที่คนในประเทศไม่มีปัญญา หลงอยู่ใน "โมหภูมิ" ประเทศเราก็จะกลายเป็น "เมืองอวิชชา" ที่มากด้วยโลภโกรธหลง ดังเช่นประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ทั่วโลก ที่กำลังมุ่งไปสู่สงคราม การยื้อแย่งทำลายล้างกัน ... ผมว่าประเทศเราถล่ำลงไปกว่าครึ่งตัวแล้ว
  • พราหมณ์มหาศาล ก็คือ องคมนตรี 
  • ปูทะเล คือ มรรคมีองค์ ๘ (ปูมีแปดขา)
  • ทรงสอนให้คนไทย ไม่ทิ้งวัด ไม่ทิ้งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
  • ต้นเหตุของการทำลายประเทศนี้คือ "โลภ โกรธ และ หลง" 
    • โลภ คือ โลภอย่างมาก อยากจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย จึงอยากเป็นเสือตัวที่ห้า พาประเทศเข้าสู่การเป็นทุนนิยมเสรี ทุนนิยมสมัยใหม่เต็มตัว .... ทรงสอนเรื่อง "ความพอประมาณ" เพื่อจัดการกับความโลภ 
    • โกรธ คือ ขาดเหตุผล ขาดความรอบคอบ ยึดถือตัวตน เอาต้นเป็นใหญ่ อิทธิพล อำนาจ บังคับ ทะเลาะ ขัดแย้ง สงคราม .... ส่งสอนเรื่อง เหตุผลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง 
    • หลง คือ การตกอยู่ในโมหภูมิ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร ไม่รอบรู้ ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ศักยภาพของตนเอง ไม่รู้วิชา ไม่มีความรู้ ทำอะไรขาดความระมัดระวัง ... ทรงสอนเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันในตนที่ดี 

  • นับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอามาตย์ ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง 
    • คนรักษาม้า คือ เกษตรกร ชาวบ้าน ประชาชน
    • อุปราช คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม 
    • อามาตย์ คือ ข้าราชการ 
ผมอ่านพระราชนิพนธ์พระมหาชนกรอบนี้ ด้วยความสุข และสนุกที่ได้ประเทืองปัญญาตนเองอย่างยิ่ง ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองศึกษาดูด้วยตนเองเถิดครับ 

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"บันได ๓ ขั้น สู่การเป็นมหาวิทยลัยที่พึ่งของชุมชนรอบมหาวิทยาลัย"

ขณะนี้สำนักศึกษาทั่วไป กำลังคิดเรื่องการปลูกจิตสำนึกการเป็นที่พึ่งของชุมชนและสังคมผ่านการจัดการเรียนรู้รายวิชา ๐๐๓๕๐๐๑ หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน สำหรับภาคการศึกษาที่ ๒-๒๕๖๑ ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราคิดกันอยู่ ๓ เรื่องซึ่งเป็นปัญหาหลักและปัญหาหนักอกสำหรับครูอาจารย์ทุกคน ได้แก่
  • ๑) ปัญหาขยะ เป็นข้อสรุปยุติแล้วว่า สาเหตุสำคัญคือจิตสำนึกของคน โดยเฉพาะประชากรแฝงกว่า ๕๐,๐๐๐ คน ที่อาศัยอยู่รอบๆ มหาวิทยาลัย (อ่านความทุกข์ของเทศบาลท่าขอนยางที่นี่)  
  • ๒) ปัญหาน้ำเสีย เรื่องนี้กำลังจะส่งผลวิกฤตต่อเกษตรกรชาวนาที่น้ำเสียจากชุมชนรอบมหาวิทยาลัยไหลผ่านไปที่นาตามลำรางต่างๆ (ผมเคยศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังแลเขียนไว้ที่นี่) และ 
  • ๓) ปัญหาด้านจราจร อุบัติเหตุ ผู้รับทุกข์เรื่องนี้มากที่สุดคือนิสิตและผู้ปกครองของนิสิต 
ทั้ง ๓ ประเด็นนี้ต้องแก้ไขไปพร้อมๆ กัน และบางอันไม่สามารถจะแก้ไขได้แบบตรงๆ ต้องแก้ที่ต้นเหตุแบบไกลๆ  ... เหมือนกับที่ในหลวง ร.๙ แก้ปัญหาเรื่องการปลูกฝิ่นด้วยโครงการหลวง ... อย่างนั้นเลย 

ผมขอเสนอบันได ๕ ขั้นเพื่อการแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อข้างต้นอย่างยั่งยืน ดังจะอธิบายพอสังเขป ดังนี้

ขั้นที่ ๑ พอกิน 

เป้าหมายคือ ทำให้ชุมชนรอบมหาวิทยาลัย "พอกิน"  มีกินและได้กินอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ราคาไม่แพง 

จากการสำรวจสอบถามตามร้านค้า ร้านอาหาร ต่างๆ รอบ ๆ มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากตลาดกลางในเมือง พืชผักส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกในพื้นที่แต่ถูกขนมาจากระยะไกล้  แม้ว่าในพื้นที่จะมีลำน้ำชีและที่เพาะปลูกอย่างเพียงพอ และที่สำคัญ ไม่ใช่อาหารปลอดสารพิษ รับประกันไม่ได้ว่าอาหารที่นิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัยกินทุกวันนั้นปลอดภัยหรือไม่เพียงใด 

วิธีการก้าวผ่านบันไดขั้นนี้ 
  • สร้างพื้นที่และเปิดพื้นที่ให้ร้านอาหาร ข้าวแกง อาหารตามสั่ง เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยมากขึ้น ไม่เฉพาะบริเวณตลาดน้อย แต่บริเวณข้างอาคารของแต่ละคณะ ซึ่งหลายๆ คณะได้ดำเนินการแล้ว เช่น สถาปัตย์ วิทยาศาสตร์ บัญชีฯ เป็นต้น  ซึ่งจะทำให้
    • นิสิตไม่ต้องขับรถออกไปกินข้าวข้างนอก  
    • นิสิตมีเวลาเพียงพอที่จะทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ไปซื้อลูกชิ้น หมูปิ้ง ฯลฯ 
    • มหาวิทยาลัยอาจได้รายได้เพิ่มในการให้เช่า (เบื้องต้นไม่แนะนำให้จัดเก็บ แต่ให้ควบคุมราคาและคุณภาพให้ ถูกกว่า และดีกว่าการออกไปกินข้างนอก และดีคุ้มค่ากว่าการกินอาหารฟาสฟู๊ดในราย 7-11)
  • พัฒนา (อบรม) ผู้ประกอบการร้านอาหารเหล่านี้ที่เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยทั้งหมด ให้จัดการเรื่องขยะตามแนวทางของมหาวิทยาลัย  หากไม่สามารถจัดการได้ตามมาตรฐาน ต้องถูกระงับพื้นที่การขาย (อาจมีมาตรการหลายระดับ ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง)
    • ร่วมกันร่างข้อกำหนดและแนวปฏิบัติต่างๆ ในการจัดการขยะ การลดขยะ ความสะอาด ฯลฯ
    • การใช้วัตถุดิบสะอาด ปลอดสารพิษ โดยเฉพาะผลผลิตที่สะอาดที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ส่งเสริมและผลิต 
  • ออกสำรวจพื้นที่เพาะปลูกและรับสมัครเกษตรเข้าร่วมโครงการผลิตอาหารปลอดภัยให้ลูกหลานในมหาวิทยาลัยของเรากิน  ให้คณะที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พาทำ พาชาวบ้านเพาะปลูกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะชมชนที่มีศักยภาพในพื้นที่เขตชลประทานต่างๆ เช่น ริมชี ข้างหนองคูขาด เป็นต้น ...  ข้อนี้ต้องใช้กำลังใจ ความเพียร สติปัญญา และความสามัคคีร่วมมือกันระหว่างหลักสูตรและสาขาวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 
  • ประกาศให้มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยอาหารสะอาด เมื่อพร้อม เพื่อกำลังผลิตสมดุล และสามารถควบคุมความปลอดภัยของการผลิต การแปรรูป และการขายอาหารในมหาวิทยาลัยได้ สำนักศึกษาทั่วไปรับผิดชอบสื่อสารไปยังนิสิตในทุกชั้นเรียน
ขั้นที่ ๒ พอใช้

เป้าหมายคือ ทำให้นิสิต บุคลากร และชาวบ้านในชุมชนรอบๆ มหาวิทยาลัย มีวินัยและใส่ใจในการใช้สิ่งของต่าง ๆ คือ ใช้เป็น ใช้แบบประหยัด และรับผิดชอบในการใช้สิ่งของต่าง ๆ  ต้องไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดมลภาวะใด ๆ สร้างสังคมไร้ขยะขึ้น โดยมุ่งส่งเสริมหรือสนับสนุนให้นิสิต และชุมชน สร้างผลิตภัณฑ์ปลอดภัย มาขายในราคาถูกในมหาวิทยาลัย เช่น 
  • เศษอาหารจากร้านอาหารและเศษใบไม้ใบหญ้าที่ตัดมาจำนวนมากนั้น ให้นำไปทำปุ๋ยหมัก เพื่อทำดินปลูก มาจำหน่ายราคาถูกภายในมหาวิทยาลัย 
  • ลดการใช้พลาสติกอย่างจริงจัง 
  • คัดแยกขยะอย่างจริงจัง ใช้กลไกของกิจกรรมในหลักสูตร โดยเฉพาะรายวิชาศึกษาทั่วไป ขับเคลื่อนให้นิสิตทุกคนคัดแยกขยะอย่างจริงจัง 
  • สร้างคลังหรือตลาดเปิดเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ามือสองของนิสิต 
    • จะสังเกตว่านิสิตชั้นปี ๔ ทิ้งสิ่งของใช้จำนวนมาก หรือจำเป็นต้องขนกลับบ้าน ส่วนนิสิตใหม่ชั้นปีหนึ่ง ก็ต้องหาซื้อของใช้ราคาแพงจำนวนมาก 
    • หากมหาวิทยาลัยทำตลาดหรือโกดังขายสินค้ามือสองแบบพี่-น้อง จะทำให้เกิดพลังหมุนเวียน แลกเปลี่ยน ซื้อขาย สิ่งของต่างๆ เช่น เฟอร์นีเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ 
    • ว่าที่บัณฑิตจะมีรายได้ นิสิตใหม่จะประหยัดรายจ่าย 
    • จะลดปริมาณขยะลงไปไม่น้อยเทียว
  • แต่ละคณะที่มีความถนัดในการผลิต ส่งเสริมให้นิสิตผลิตสินค้าออกขายให้คนภายในมหาวิทยาลัยกันเองในราคาเป็นธรรม เช่น นิสิตเอกโภชนาการขายอาหารปลอดภัย นิสิตเกษตรขายผลิตผลทางการเกษตร  ฯลฯ  อาจเรียกว่า "๑ หลักสูตร ๑ ผลิตภัณฑ์" หรือ " ๑ หลักสูตร ๑ นวัตกรรม" 
ขั้นที่ ๓ พออยู่

เป้าหมายคือการสร้างชุมชนและสังคมที่น่าอยู่ คงความดีของสังคมไทยในอดีตกลับมาให้มากที่สุด เช่น ความเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน วัฒนธรรมครอบครัวใหญ่ ทำนุบำรุงประเพณีวัฒนธรรมที่แท้จริงกลับมา เช่น 
  • จัดทำโครงการ "ลูกฮัก พักบ้านพ่อ-แม่"  ให้ร่วมกันกับชุมชนที่มีบ้านที่อยู่อาศัยพร้อมในกว่า ๕๐ หมู่บ้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัย จัดให้นิสิตที่เรียนดี ขาดแคลน รักดี ไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติดใด ๆ เข้าอยู่อาศัยเป็น "ลูกฮัก" (ลูกบุญธรรม) ของพ่อฮักแม่ฮัก  ชดเชยการจากไปของลูกแท้ๆ ที่ต้องจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัด  โดยต้องช่วยดูแลท่านเหมือนดูแลพ่อแม่ ช่วยทำงานบ้าน ช่วยทำงานการเกษตรเสาร์-อาทิตย์หรือตามสมควร  โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านใด ๆ เหมือนอยู่ในบ้านตนเอง  ซึ่งในวันเปิดตัว อาจมีพิธีกรรมสัญญา-สาบานกันตามสมควร 
  • สร้างหลักสูตรสร้างคนเกษตรพอเพียง (อาจจะใช้ชื่อใดก็ได้) โดยดำเนินการดังนี้ 
    • ค้นหาและถอดบทเรียนอาจารย์หรือบุคลากรมหวาวิทยาลัยที่เป็นคน "พอเพียง" ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพร้อมที่จะรับนิสิตเข้าศึกษาในแปลงเกษตรหรือฟาร์มของท่าน  สร้างเป็นฐานการเรียนรู้ระดับเชี่ยวชาญ
    • เปิดหลักสูตรระยะ ๒ ปี ๓ ปี หรือ ๔ ปี  สามารถเปิดได้หลากหลายแบบ ตัวเช่น กรณี ๔ ปี ให้ 
      • ปี ๑ เรียนวิชาพื้นฐาน และกระบวนการเรียนรู้ ให้เข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 
      • ปี ๒ ส่งไปอยู่เรียนรู้แบบฤาษี (เรียนแบบฝึกช่าง) คือไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ที่รับเป็นครูฝึก ให้เชี่ยวชาญเรื่อง พืช 
      • ปี ๓ ส่งไปอยู่เรียนแบบฤาษีให้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ (อาจเลือกตามความสนใจ)
      • ปี ๔ กลับมาเรียนแบบเสวนา สัมมนา และแลกเปลี่ยน เน้นไปที่การสหกรณ์ กระบวนการภาคประชาสังคม และการตลาด
    • ฯลฯ 
  • พัฒนาสำนักงานหอพักของมหาวิทยาลัยให้ดูแลนิสิตของมหาวิทยาลัยให้มากที่สุด  โดยใช้วิธีการสร้างระบบหอพักเครือข่ายให้เข้มแข็ง  
    • หอพักที่จะรับนิสิตของมหาวิทยาลัยได้ ต้องเป็นหอพักเครือข่าย  โดยอาจมีมาตรฐานของหอพักเครือข่ายระดับต่าง ๆ ให้ผู้ปกครองสามารถเลือกได้ เช่น 
      • หอพักระดับ ก. คือหอพักแยกชายหญิงชัดเจน อย่างเข้มงวด มีกล้องวงจรปิด เช่นดัง หอพักใน ของมหาวิทยาลัย 
      • หอพักระดับ ข. คือหอพักแยกชายหญิงชัดเจน แต่ไม่เข้มงวด ... มีอยู่ดาดเดื่อนตอนนี้ 
      • บ้านเช่าหรือบ้านพักแบบที่นิสิตอยู่รวมกันหลายคน 
      • ฯลฯ  
    • หอพักที่จะรับนิสิตต้องมีการจัดการขยะที่ดี ต้องจัดการน้ำเสียได้มาตรฐาน หากหอพักใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการใดๆ ที่มหาวิทยาลัยกำหนด จะมีการแจ้งข้อมูลและเตือนไปยังผู้ปกครอง หรือประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน 
    • ฯลฯ
  • ฯลฯ
ขั้นที่ ๔ พอเพียง

เมื่อขับเคลื่อนไปได้ใกล้เคียงกับการพอกิน พอใช้ และพออยู่แล้ว มหาวิทยลัยของได้ใจนิสิต ได้ใจชาวบ้านรอบมหาวิทยาลัยพอสมควรแล้ว ๓ ขั้นแรกนั้นเป็นเหมือนการทำให้ดู ทำเป็นแบบอย่าง และเป็นเหมือนการให้ใจ ผลก็คือการได้ใจกลับมานั่นเอง

เมื่อให้ใจ ก็จะตั้งใจฟัง และเชื่อฟังมหาวิทยาลัย ถึงเวลาเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ชุมชนอย่างเต็มกำลัง  สิ่งที่ควรทำคือ จัดตั้งสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นในมหาวิทยาลัย ทำหน้าที่ดังนี้คือ

  • จัดการความรู้เรื่อง พอกิน พอใช้ พออยู่ 
  • พัฒนานิสิตและบุคลากร ให้ระเบิดจากข้างใน เข้าใจเรื่องความพอเพียงอย่างถูกต้อง จนสามารถถ่ายทอดได้ 
  • ผลิตบัณฑิตด้วยหลักสูตรต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง และขยายผลอย่างเป็นระบบ
  • วัดผลและประเมินผลกระทบต่อชุมชนและสังคม
ขั้นที่ ๕ พอพึ่งพา

เป้าหมายคือ การก้าวสู่การสร้างปรัชญาของมหาวิทยาลัยที่เป็นนามธรรม คือ "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" ให้เป็นรูปธรรมโดยเปลี่ยนมหาวิทยาลัยไปสู่ "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมและชุมชน" (Social Engagement University) โดยดำเนินการดังนี้
  • มอบหมายให้รองอธิการท่านหนึ่งรับผิดชอบด้านนี้โดยตรง  
  • แต่งตั้งประธานหลักสูตรเป็นกรรมการรับผิดชอบดูแลขับเคลื่อนเรื่องนี้จริงจัง โดยปรับพันธกิจหลักด้วยมุมมองใหม่ (รายละเอียดอ่านบันทึกถอดบทเรียนจากการฟัง ศ.นพ.วิจารณ์ ที่นี่)
  • สร้างทีมกระบวนกรหรือคุณอำนวย (Facilitator) เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างบูรณาการ ๕ ภาคส่วนได้แก่
    • มหาวิทยาลัย
    • ภาครัฐ หน่วยงานรัฐ
    • ภาคประชาชน ประชาสังคม 
    • ภาคเอกชน 
    • สื่อสารมวลชน 
  • สร้างระบบและกลไกการขับเคลื่อนอื่นๆ เช่น งบประมาณ บุคลากร ฯลฯ โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน
  • ประเมินผลกระทบ วิจัย และพัฒนากระบวนการขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคม" 

ถึงตรงนี้ ... ผมขอสะกิดตนเองให้ตื่นมาพบกับความจริงของชีวิต ด้วยจิตที่ปล่อยวาง ... เชียร์อยู่ห่าง ๆ ต่อไปครับ..  คิดใหญ่ทำเล็กเสมอ....

ดูเหมือนบันได ๕ ขั้นนี้ จะไม่เกี่ยวกับปัญหา น้ำเสีย ขยะ และจราจร  แต่ความจริงเกี่ยวโดยตรง เพราะแท้จริงแล้วสาเหตุของปัญหาทั้งสามมาจากจิตสำนึก คนพอเพียงซึ่งมีจิตสำนึกของความรู้+ความดี จะทำให้ปัญหาทั้งสามอย่างค่อย ๆ หายไปเอง (อ่านสมการความพอเพียงที่นี่)

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ในหลวง ร.๙ ทรงบอกว่า "...ให้ทำแบบคนจน ให้อยู่แบบคนจน..." การศึกษาแบบคนจนเป็นอย่างไร เพิ่งจะเข้าใจวันนี้

ผมสงสัยมานานว่า ทำไม อ.ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ต้องเริ่มสอนทฤษฎีตอนตี ๕ ออกเรียนภาคปฏิบัติตอนมองเห็นลายฝ่ามือ... แต่คลิปที่ฟังมาทั้งหมดท่านไม่ได้บอกไว้ วันนี้เจอคลิปที่ท่านพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนยิ่งนัก ... ท่านใดใคร่ดูเองเชิญเถิดครับ ... แต่หากชอบอ่านเลื่อนผ่านไปเลยครับ



เกริ่นก่อน (สิ่งที่ผมเพิ่งจะเข้าใจเป็นครั้งแรก)

  • เพิ่งเข้าใจว่า ทำไมการศึกษาไทยสมัยใหม่จึงล้มเหลว ล้มเหลวในที่นี้ หมายถึง การศึกษาสมัยนี้ทำให้คนทิ้งถิ่น ทิ้งบ้านทิ้งเรือน 
  • เพิ่งเข้าใจว่า "คนจนเขาทำงานแบบไหน" ทั้งๆ ที่ผมเองก็ผ่านความยากจนแบบนั้นมากด้วยตนเอง แค่ฟังท่านพูด ภาพในอดีตทั้งหลายมันรวมลงในใจผมว่า ใช่ ใช่เลย ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็สอนแบบนี้... ผมลืมคำสอนของท่านไปนานกี่ปีเนี่ย
  • เพิ่งจะเข้าใจว่า หนังสือพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" ตีความว่า "ต้นมะม่วง" ก็คือ "ประเทศไทย" ... ในใจมีเสียงกังวาลว่า ...อ้อ...เข้าใจแล้ว 
การศึกษาแบบคนจน-คนรวย
  • คนจนตั้งตนอยู่ในความลำบาก (ฝืนกิเลส) กุศลจึงเจริญ  ผู้คนจึงใจดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ... แต่การศึกษาในปัจจุบัน สอนให้นิสิตนักศึกษา ตั้งตนอยู่ในความสบาย (ตามใจกิเลส) สังคมจึงเสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด 
  • คนจนตื่นตี ๔ เริ่มเรียนรู้และทำงานตอนตี ๕ นอนเร็ว ตื่นเช้า เข้าวัดวันโกณวันพระ แต่การศึกษาสมัยใหม่ ทำให้คน ตื่นสาย นอนดึก เที่ยวกลางคืน ไม่เข้าวัด หยุดเสาอาทิตย์ 
  • การศึกษาแบบคนรวย(แบบทุนนิยม) ทำให้คนทิ้งถิ่น ยิ่งเก่งยิ่งทิ้งชุมชนเร็ว ใครเก่งที่สุดจะถูกส่งเสริมให้ทิ้งบ้านเข้าเมือง เมื่อสำเร็จการศึกษาได้ทำงานที่ตั้งตนอยู่ในความสบาย หาเงินเพื่อซื้อความสบาย นำเงินซื้อความสบายให้พ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน .... จึงกระตุ้นให้คืนอื่นๆ เกิดกิเลสอยากสบายและมีหน้าตาเป็นเจ้าเป็นนายบ้าง จึงแห่กันทิ้งบ้านทิ้งเรือนเข้ากรุงมุ่งหาเงินซื้อข้าวกิน (ทั้งที่ตนเองปลูกกินเองได้) ... จนเป็นที่มาของหนี้สินและความจน(จริง)
  • คนที่เคยสบายแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะกลับไปลำบาก(กาย) ยิ่งเด็กรุ่นหลังที่ไม่ได้รับการปลูกฝังให้ผ่านการตั้งตนอยู่ในความยากลำบากกับชีวิต "แบบคนจน" เลย จึงไม่มีทางที่การศึกษาแบบคนรวย จะทำให้คนกลับไปอยู่บ้านเกิดภูมิลำเนาของตนเอง 
การศึกษาแบบคนจน

  • คือการศึกษาบนฐานชีวิตจริงๆ ของชาวบ้าน  มีลำดับขั้นการศึกษาพัฒนา ๓ ขั้นตอน คือ 
    • การศึกษาเพื่อให้เป็นผู้มีวินัย มีคุณธรรม ... เป็นคนดี มีสัมมาสามัญสำนึก
    • การศึกษาเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพ ทำมาหากินได้ (สัมมาอาชีวะ) ... พึ่งตนเอง
    • การศึกษาให้เกิดความเชี่ยวชาญ เป็นปราชญ์ เป็นครู พัฒนาต่อยอดหรือสร้างภูมิปัญญา และสอนลูกหลานต่อไป ...แบ่งปัน ช่วยเหลือคนอื่นได้ 
  • วิธีการศึกษาแบบคนจน ควรจะ 
    • ฝึกให้ชินกับการฝืนกิเลส รู้จักกิเลส เอาชนะกิเลส โดยการสร้างปัญญาในตนเอง  เช่น 
      • สอนให้รู้จักศีล เบญจศีล เบญจธรรม 
      • ตื่นเช้า (กิเลสชอบนอนตื่นสาย)  เพียรทำงานหนัก (กิเลสชอบสบาย) ขยัน (กิเลสชอบขี้เกียจ) 
      • ฝึกวินัยในทุกกิจกรรม ทุกกิจวัตร ทุกอริยาบท (ปูพื้นไปสู่การปฏิบัติธรรม เจริญสติ เจริญปัญญาภายใน) ตั้งแต่เท้าถึงเส้นผม ตั้งแต่รองเท้าถึงหมวก ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ 
      • เข้าวัด ฟังธรรมะ เสียสละ ทำเพื่อสวนรวม ผ่านกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ พร้อมๆ กับการรักษาและทำนุวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของบรรพบุรุษ  (บวร บ้าน วัด โรงเรียน)
    •  ฝึกให้รู้สึกปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดำเนินชีวิตและพัฒนาชีวิตตามลำดับขั้นด้วยความรู้และความดี  
      • พอกิน
      • พอใช้
      • พออยู่
      • พอร่มเย็น
      • สั่งสมบุญ เริ่มจากการดูแลตอบแทนบุญคุณ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ญาติ มิตร สหาย และผู้มีพระคุณทั้งหลาย 
      • ทำทาน อามิสทาน อภัยทาน ธรรมทาน ฯลฯ 
      • ขาย ค้าขายแลกเปลี่ยน ขยายความความสุขความสำเร็จให้เจริญขึ้น 
      • ร่วมตัวกันสร้างเครือข่าย สู่ความสามัคคี พอเพียง มั่งคั่ง ยั่งยืน 
อ.ยักษ์ท่านบอกว่า ... พูดแบบนี้มาก็นานแล้ว แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยใดทำเลย....ผมเอาเรื่องนี้มาคุยกับน้อง ๆ ที่ทำงาน  น้องอาจารย์บอกว่า  ยากมากนะครับ

ผมยอมรับว่า เพิ่งจะเข้าใจก็คราวนี้เองว่า ที่ในหลวง ร.๙ ทรงตรัสว่า "ให้ทำแบบคนจน"  นั้น สำหรับด้านการศึกษาเป็นแบบนี้เอง