ทำไมต้อง ๓ เสาหลัก .... คำถามนี้ตอบง่าย แต่ตอบให้เข้าใจ เชื่อในใจได้ยาก คงต้องสอนให้เด็ก ๆ รู้จักที่มาของ ๓ เสาหลัก เสียก่อน ... การชมคลิปวิดีโอการบรรยายพิเศษของ ศาตราจารย์กิตติคุณ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ) ดร.วิษณุ เครืองาม และจับประเด็นสำคัญ ๆ ดังเขียนในบันทึกนี้ ทำให้ผมทราบความเป็นมาและตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งของ ๓ เสาหลัก
ทำไมจึงเรียกว่า "ราชวงศ์จักรี"
- จักรี แปลว่า ผู้มีจักรเป็นอาวุธ สระอีในภาษาไทยนั้น เขาเรียกว่า "ปัจจัย" ที่ทำให้เกิดความหมายใหม่ ไม่ว่าเอาสระอีไปเติมอะไร จะเกิดความหมายใหม่ทันที เช่น
- หัตถะ แปลว่ามือ เติมสระอี เป็น หัตถี แปลว่าช้าง หรือผู้มีมือจากที่ไม่เคยมีมือ
- จักร แปลว่า อาวุธ เติมสระอีเป็น จักรี แปลว่า ผู้มีอาวุธ
- แต่ก่อนกษัตริย์ มีจำนวนมากที่ขึ้นต้นว่า พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระรามาธิบดี ฯลฯ นี้ เป็นอิทธิพลของพราหม์ ดังนั้น คำว่า จักรีที่แปลว่าผู้มีจักร นั้น เป็นคำที่ศาสนาพราหมณ์ใช้เรียกพระนารายณ์ เท่านั้น
- คตินิยมของไทย ได้มาจากขอมหรือเขมร คตินิยมของขอมหรือเขมรนั้น ได้มาจากอินเดียหรือศาสนาพราหมณ์ นั่นเอง
- ดังนั้น พระเจ้าแผ่นดินของ แขก เขมร และของไทย จึงเป็นร่างอวตารของ พระนารายณ์ ตามความเชื่อนั่นเอง
- ในเรื่อง รามเกียรติ์ นั้น พระนารายณ์เกิดมาเป็นคนเดินดิน เรียกว่า พระราม ดังนั้น กษัตริย์ของไทย จึงนำมาใช้เป็นชื่อรัชกาล เช่น พระรามาธิบดี
- มีเพียงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวที่ไม่ได้ราชาภิเษกคือ รัชกาลที่ ๘ แต่ในหลวง ร.๙ ก็ทรงเฉลิมพระปารมาภิไท ตั้งชื่อถวายใหม่ ด้วยพระนามว่า พระอัตถมรามาธิบดี ... สะพานพระราม ๘ ก็ตั้งชื่อด้วยเหตุคิดเดียวกันนี้
- กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีแล้ว แท้จริง มีเชื้อสายมอญ
- คราวที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ถูกส่งไปช่วยปราบกบฎ ตามคำขอของพระเจ้านันทะบุเลง ลูกชายของบุเลงนอง ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว
- พระเจ้านันทะบุเลงทรงเล่นไม่ซื่อ สั่งกระซิบสั่งความว่า หากพระนเรศวรผ่านมา ให้หาอุบายฆ่าเสีย
- เรื่องไปถึงหู พระยาเกียรติและพระยาราม จึงเอาไปเล่าให้อาจารย์ของตนเองฟัง คือ พระมหาเถรคันฉ่อง พระมหาเถรจึงได้เกลี้ยกล่อมจนสองพระยากลับใจ ไปถวายตัวเข้ารับใช้ เมื่อพระนเรศวรมาถึง ทรงโกรธมากจึงยกทัพกลับพร้อมด้วยพระยาเกียรติ พระยาราม และพระมหาเถรคันฉ่อง
- กองทัพพม่ายกทัพตามมา จนถึงริมฝั่งแม่น้ำสโตง พระนเรศวรคว้าพระแสงปืนต้น ยิงจากฝั่งแม่น้ำสโตง โดนพระสุรกันมาตกจากหลังช้าง ทัพพม่าจึงยกทัพกลับไป
- ทุกท่านปลอดภัย พระยาเกียรติพระยาราม มาอยู่ด้วยอยุธาได้มีเมียเป็นไทย มีลูก มีหลาน และมีเหลน และช่วยพระนเรศวรรบจนกอบกู้อิสระภาพได้
- หลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติหรือพระยาราม (ไม่ปรากฎหลักฐาน) คือนายทองด้วย ต่อมาก็คือ รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง
- นายทองด้วง มีเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ นายสินเชื้อสายจีน อีกคนเป็นไทยเชื้อสายอีหร่าน ชื่อนายบุญนาค สามคนนี้เล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ
- นายบุญนาคนั้น รวย จึงได้ทำงานในวัง ส่วน นายสินกับนายทองด้วงนั้น ได้เป็นอัยการ
- พ่อสินค้นโต ไม่มีเส้น จึงถูกส่งไปเป็นอัยการอยู่ไกลมาก ไปอยู่เมืองตาก ไปเป็นหลวงยกกระบัด เมืองตาก
- พ่อทองด้วง มีเส้นบ้าง ไปเป็นหลวงยกกระบัด ไปอยู่ใกล้หน่อย ที่ราชบุรี
- พ่อสินที่ถูกส่งไปอยู่เมืองตาก กลับได้โอกาสขึ้นเป็นพระยาตาก เป็นเจ้าเมืองตาก เพราะพระยาตากตาย ส่วนกลางไม่อยากจะเสียค่าขนส่ง
- หลวงยกกระบัดทองด้วง ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสักที จนมีวันหนึ่ง พม่ายกทัพมาล้อมอยุธา เจ้าเมืองกำแพงเพชรตาย จึงบอกให้เจ้าเมืองตากย้ายมาเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่เนื่องจากยังไม่ได้เผาคนเดิม จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า พระยาวชิรปราการ(สิน) แต่แทนที่ท่านจะไปรับตำแหน่ง ท่านกลับนำทัพมาสู้กับพม่าที่ล้อมเมืองอยู่ จนพบว่า อยุธยาจะแตก ท่านจึงพาทหาร ๕๐๐ คนตีฝ่าวงล้อมไปตีเมืองชลบุรี ระยอง และเมืองจันทบุรี เราจึงรู้จักท่านใน ชื่อ พระเจ้าตากสิน ไม่ใช่ พระยาวชิรปราการ
- พระเจ้าตาก(สิน) ทรงคิดได้ฉลาดและแยบยลมาก ในการเลือกเป้าหมายที่จะไปตีเมืองจันทบุรี แทนที่จะกลับไปที่เมืองตาก .... ทรงคิดที่จะกู้บ้านกู้เมือง เมืองตากติดพม่า ทรงรู้ว่าเมืองจันทบุรีมีคนจีนเยอะ ท่านมีเชื้อสายจีน จึงคิดจะไปเกลี้ยงกล่อมชวนคนจีนให้ช่วยต่อเรือ เพราะคนจีนต่อเรือเก่ง และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ ทรงได้เรือมาตั้งหลายร้อยลำ แล้วนั่งเรือลงมาตีธนบุรีก่อนเพื่อให้สำเร็จและให้ข่าวกระพือไป ซึ่งตอนนั้นพม่าส่งแม่น้ำสุกี้มาปกครอง
- ตอนนั้นพม่าได้ยึดครองหมดแล้ว จับเอาเฉลยศึกกว่า ๓ หมื่นคน เดินท้าวกลับพม่า เจาะหลังข้อเท้าเอาหวายร้อย เพื่อป้องกันการหนี ... ด้วยเหตุนี้จึงเรียกตรงนั้นว่า "เอ็นร้อยหวาย"
- หลังจากปราบแม่ทัพพม่าเมืองธนบุรีแล้ว ก็เข้าไปที่อยุธยา ซึ่งพม่าเผาทิ้ง ๗ วัน ๗ คืน ไม่มีทหารพม่าเหลือแล้ว เหลือน้อย ท่านเห็นสภาพแล้วสลดรันทดใจมาก ไม่น่าจะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ แต่หากจะสั่งการให้หนีไปสร้างเมืองใหม่เลย ก็เกรงจะว่าประชาชนจะหาว่าขี้ขลาด จึงทรง มีอุบายว่า เจ้าเมืองอยุธยาที่ตายไปมาเข้าฝัน ไล่ไปไม่ให้มาอยู่ เพราะท่านไม่มีเชื้อสายกษัตรย์ จงอย่าอยู่เลย จงไปหาที่อยู่ใหม่เถิด คนจึงเห็นใจตามท่านไปสร้างเมืองใหม่ที่ธนบุรี
- เหตุที่ท่านมาอยู่ที่ธนบุรี น่าจะมีเหตุเพราะกรุงธนบุรี มีชื่อต้องโฉลกโชคชัยกับท่าน เพราะ ธนบุรีแปลว่า เมืองแห่งทรัพย์สิน
- ก่อนที่อยุธยาจะแตก พ่อทองด้วง เป็นหนุ่มโสด ที่อยู่ราชบุรี พระเจ้าเอกทัต มีพระราบดำรัสว่า เมืองใด ที่มีสาวงาม โสด ให้คัดเลือกแล้วส่งเข้าไปให้เมืองละคน
- เมืองอัมพวา มีกุลสตรี ที่สวยและโสด ชื่อแม่นาค เป็นลูกเศรษฐี เชื้อสายมอญ
- แต่คุณนาคไม่ต้องการจะเข้าไป วิธีเดียวที่จะหนีได้คือ ต้องรีบแต่งงาน เลยมีคนไปบอกพ่อทองด้วง ให้ไปดูตัวและสู่ขอ แม่นาคเลยรอดตัวไป .... ต่อมาได้มาเป็นพระราชินีพระองค์แรกของราชวงศจักรี
- เมื่อแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูก เมื่ออยุธยาแตก วันหนึ่งจึงมีน้องชายคนหนึ่งมาหา เล่าเรื่องให้ฟังว่า ตอนนี้ พ่อสินได้มีบุญญาธิการ ได้เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรี และแนะนำให้ไปรับใช้ท่าน
- จึงพาลูกเมียเดินทางไปฝากตัวกับพระเจ้าตาก ทรงจำได้ ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชวารินทร์ ถ้าเทียบกับทุกวันนี้ก็คงเป็น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ... จากอัยการ มาเป็นตำรวจ
- เมื่อส่งให้ไปรบ รบชนะ ก็ทรงแต่งตั้งเป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ เทียบทุกวันนี้น่าจะเป็น แม่ทัพภาค ๑ ... จากตำรวจ ไปเป็นทหาร
- ทรงส่งไปรบอีก ชนะอีก ทรงแต่งตั้งเป็น พระยายมราช .เทียบเป็น มท.๑ เสนาบดีมหาดไทย
- และพอไปรบอีก คราวนี้ไปรบต่างแดน เขมร เมื่อชนะ จึงแต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาจักรี ... เทียบ นายกรัฐมนตรี เป็นสมุหนายก ... เรียกว่ เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)
- และเมื่อยกทัพไปปราบเมืองลาว มีความดีความชอบ ชนะ ขากลับยังได้พระแก้วมรกตอีก จึงแต่งตั้งเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
- อยู่มาเขมรมีขบถที่เขมร พระเจ้าตากสินจึงทรงส่งไปปราบขบถ ขณะที่กำลังรบนั้น เกิดขบถพระยาสันบุกกรุงธนบุรี จับพระเจ้าตากสินขังไว้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงรีบเสด็จกลับ
- ระหว่างเดินทางกลับ ได้แวะสระผมอาบน้ำที่วัดสระแก ก่อนจะขึ้นช้างเดินทางต่อมาที่วัดโพธิ์ ขุนนางธนบุรีมารับที่วัดโพธิ์ เชิญท่านขึ้นเรือข้ามไปฝั่งธนบุรี และเชิญขึ้นครองราชย์
- ทรงสำเร็จโทษ ประหารพระยาสันเสีย และในพงศวดารยังเขียนด้วยว่า ได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินด้วย ด้วยเหตุว่า
- ทรงพระสติฟั่งเฟือน จากการทำสมถสมาธิ เข้าใจว่าพระองค์เองบรรลุโสดาบัน
- ทรงเรียกสมเด็จพระดสังฆราชเข้ามาถามว่า ถ้าฆาราวาสบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน สมเด็จพระสังฆราชต้องกราบไหม .... พระสังฆราชตอบว่า ไม่กราบ เพราะพระมีศีล ฆาราวาสไม่มีศีล พระเจ้าตากทรงกริ้วมาก ให้จับพระสังฆราชสึก ให้ไปทำงานแรงงานอยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ตั้งพระที่ตอบว่าต้องกราบขึ้นเป็นพระสังฆราชแทน
- เกิดการจราจลวุ่นวายอยู่ในพระราชวัง
- แม้พงศาวดารจะเขียนว่า ทรงประหารด้วยไม้จันท์หอม แล้วนำไปฝังไว้ เป็นปีก่อนจะนำกลับมาเผา แต่ก็มีหลายกระแสข่าว เช่น
- ไม่น่าจะทรงประหารพระเจ้ากรุงธนบุรี เพราะท่านทรงเป็นเพื่อนรักกันมาก มาตั้งแต่ยังเด็ก และท่านมาขอรับราชการกับพระเจ้ากรุงธนฯ และท่านยังเป็นพ่อตาของพระเจ้ตากสินด้วย ... น่าจะเป็นการประหารตัวปลอม แล้วปล่อยให้หนีไปสักแห่ง น่าจะไปบวชเป็นพระอยู่ที่นครศรีธรรมราช ที่เขาควรพนม ตอนนี้มีคนไปสร้างตำหนักที่นั่นด้วย
- ลูกของพระเจ้าตากสินกับลูกสาวของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่ชือว่า "แม่ฉินใหญ่" คือ เจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์
- ลูกคนที่สองของรัชกาลที่ ๑ กับ แม่บุญนาค คือ พ่อฉิมเล็ก ต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๒
- ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ท่านทรงเห็นว่า กรุงธนบุรีนั้น เป็นเหมือนเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ เหมือนอยุธยา ซึ่งเป็นจุดอ่อนให้ข้าสึกล้อมรอบ ปิดเมือง จึงทรงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงมาฝั่งบางกอก หรือกรุงเทพฯ ปัจจุบัน
- ทรงให้มีการตั้งเสาหลักเมือง ย้ายวัดพระแก้วมาไว้ในที่ปัจจุบัน สร้างประตูคูเมือง จนเจริญสืบมาถึงปัจจุบัน
- รัชกาลที่ ๖ ทรงพิจารณาว่า กษัตริย์ที่ปกครองสืบเนื่องต่อกันมานั้น เป็นราชสกุลเดียวกัน
- รัชกาลที่ ๑ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๒
- รัชกาลที่ ๒ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๓
- รัชกาลที่ ๓ เป็นพี่รัชกาลที่ ๔
- รัชกาลที่ ๔ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๕
- รัชกาลที่ ๕ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๖
- รัชกาลที่ ๖ จึงทรงตั้งชื่อราชวงศ์นี้ว่า "ราชวงศ์จักรี" ด้วยเหตุว่า รัชกาลที่ ๑ เคยเป็นเจ้าพระยาจักรีมาก่อน (ทรงเป็นพระยาจักรีคนสุดท้าย) และด้วยทุกพระองค์มีพระนาม "รามาธิบดี" ที่มีความหมายถึง ผู้มีจักรเป็นอาวุธ หรือก็คือ พระนารายณ์ ดังที่ได้กล่าวไป
ศาสตร์พระราชา ราชวงศ์จักรี
- พ.ศ. ๒๕๓๑ เริ่มรัชกาลที่ ๑ ทรงครองราชย์ ๒๗ ปี ทรงมีวิสัยทัศน์ ดังนี้ว่า
- คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ล้วนแล้วแต่มาจากธนบุรี และทั้งหมดล้วนแต่ตามมาจากอยุธยาทั้งนั้น ล้วนแต่มีพ่อแม่ลูกหลานอยู่อยุธยาทั้งนั้น ทุกคนมีความฝังใจในอยุธยามาก
- พี่ชายและลูกพี่ชายของพระองค์ ก็ถูกเจาะเอ็นร้อยหวายไปที่พม่าเช่นกัน แม่บุญนาค พระราชินี ก็ถูกตัดผมสั้น นุ่งโจงกระเบน ห้ามใส่สะใบเฉียง
- ทรงคิดว่า ทำอย่างไรจะสร้างฝันให้คนกรุงเทพฯ ทำอย่างไรจะสร้างขวัญกำลังใจให้คน
- จึงทรงดำริให้สร้างกรุงเทพฯ ให้เหมือนอยุธยาทุกอย่าง เช่น
- ขุดคลองมหานาค
- อยุธยามีวัดพระศรีสันเพชร ไม่ให้มีพระสงฆ์อยู่ กรุงเทพฯ มีวัดพระศรีศาสดาราม
- หลังจากตั้งกรุงเทพฯ ได้ ๓ ปี พม่ายกทัพม่าบุกมากรุงเทพฯ มาถึง ๙ ทัพ จำนวนเรือนแสน ในขณะที่ทหารกรุงเทพฯ มีไม่กี่หมื่น
- ทรงพิจารณาว่า ถ้าตั้งรับในที่ตั้งพม่าจะคำนวณกำลังได้ถูก จึงไปตั้งรับที่ชายแดน ค่ำ ๆ ให้ครึ่งหนึ่งเดินกลับ รุ่งเช้าให้ออกไปใหม่ เหมือนเป็นมีทหารจำนวนมาก
- สุดท้าย พระเจ้าปดุงแพ้ และไม่เคยยกมาอีกเลย
- ทรงเป็นนักรบ ทรงรบ ปราบขบถ ทรงสร้างเมือง ป้องกันเมืองให้รอด
- ทรงเป็นอัยการเก่า ข้าราชการเก่า เป็นตำรวจเก่า เป็นทหารเก่า จึงมีพระปรีชาด้านการเมืองการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม และศาสนา
- ทรงไปเชิญสมเด็จพระสงฆราช ที่ถูกพระเจ้าตากสินจับสึกนั้น ให้กลับมารับตำแหน่งพระสังฆราชองค์แรกของกรุงเทพฯ
- ทรงเห็นว่า มีพระที่ประพฤติเหลวแหลก ผิดศีลธรรม จึงออกกฎพระสงฆ์ ๑๐ ข้อ และจัดสอบความรู้พระทั่วประเทศ เรียกว่า "สอบไล่" เพราะถ้าสอบไม่ผ่าน ให้จับสึกให้หมด
- ทรงให้ทำสังคายนาพระไตรปิฏกใหม่ ที่วัดมหาธาตุ ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยเคยทำ มีการประชุมนานถึง ๓ เดือน
- ต่อมามีคดีอำแดงป้อม
- อำแดงป้อม เป็นผู้หญิงธรรมดา ชื่อแดง มีสามีชื่อว่า นายบุญสี เป็นช่างตีเหล็ก
- ต่อมาไปเป้นชู้กับข้าราชการคนหนึ่ง ชื่อ ราชาอ่ำ ชู้ปั่นหัวว่าให้ไปฟ้องหย่าผัว แล้วแบ่งสมบัติมาอยู่กับพี่เถอะ อำแดงบอกว่า จะทำได้อย่าง ผัวไม่ได้ทำอะไรผิด
- แต่เมื่อำแดงป้อมฟ้องหย่ามาที่ชู้บอก ศาลก็บอกว่า กฎหมายต่าง ๆ พม่เผาหมดแล้ว เลยให้ไปเรียกพราหมณ์แก่ มาเบิกความ พราหมณ์แก่ก็บอกว่า ให้แบ่งสมบัติหย่าได้ จึงได้ทำตามนั้น มาอยูกับผัวใหม่
- นายบุญสี จึงถวายฎีการัชกาลที่ ๑ ทรงเห็นว่า กฎหมายวิปริต จึงให้ตั้ง กรรมการ ๑๑ คนไปร่างกฎหมายใหม่ เอาให้หมดจดงดงาม
- กรรมการ ๑๑ คน ใช้เวลา ๑๑ เดือน ได้กฎหมายใหม่ ให้ทำไว้ ๓ สำเนา แล้วปิดตราไว้ ๓ ดวงที่หน้าปก ตราราชสีห์ ตราคชสีห์ ตราบัวแก้ว เรียกว่ากฎหมายตราสามดวง ได้ใช้สืบมาจนถึงรัชกาลที่ ๕
- กฎหมายสมัยอยุธยา ตอนหนึ่งเขียนว่า "...ไทยปาบ้านเจ็ค ไม่ถูกเด็กเล็ก ไม่ต้องปรับไหม เจ็คปาบ้านไทย แม้ไม่ถูกใคร ผีเรือนตกใจ ปรับไหม ๓ ตำลึง...." ฮา... ทำให้ ร.๑ ทรงสั่งให้มีการสังคยานากฎหมายใหม่
- ท่านสวรรคตเมื่อครองราชย์ได้ ๒๗ ปี
- รัชกาลที่ ๒ ทรงเป็นกวี แต่งกาพย์ กลอน โครง ฉันท์ โขน ระบำ ร้ำ ฟ้อน ละคร หนัง ทรงแต่งเรื่อง สังข์ทอง อีเหนา ฯลฯ ทรงต้องการที่จะสร้างขวัญกำลังใจของคนไทยให้กลับมา
- ช่วงแรก ๆ ของการปกครอง ก็ทำท่าว่าจะเกิดขบถใหญ่ โดยหัวหน้าก็คือ เจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์ เมื่อจับได้ รับสารภาพ จึงทรงประหารชีวิต
- ใครเป็นกวี ทรงเรียกมารับราชการ นายภู่ (สุนทรภู่) ก็ได้ดีในยุคนี้
- วันหนึ่งผ่านไปยังทางเมืองนนทบุรี เห็นสาวสวยคนหนึ่ง สืบทราบว่าเป็นลูกสาวเจ้าเมืองคือ พระยานนทบุรี ชื่อเรียม จึงไปสู่ขอมา
- แม่คุณเรียม ชื่อ คุณเพ็ง เป็นลูก พระยาราชบังสัญ ซึ่งเป็นมุสลิม ชื่อว่า บังสัญ ทวดของพระยาบังสัญ เป็นสุรต่านไลมานสงขลา เป็นอิสลาม .. แต่คุณเพ็งเป็นพุทธ
- ร.๒ กับ คุณเรียม มีลูกชื่อ หม่อมเจ้าทัพ ... ต่อไปคือรัชกาลที่ ๓
- ร.๑ มีพี่สาวแท้ ๆ ที่เลี้ยงท่านมาตลอด ชื่อ คุณแก้ว เมื่อท่านขึ้นครองราชย์ ท่านก็ตั้งให้คุณแก้ว เป็นสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ คุณแก้วมีสามีเป็นคนจีน ชื่อ เจ้าสัวเงิน ทั้งสองมีลูกหลายคน คนหนึ่งชื่อ คุณบุญรอด คุณบุญรอดนั้น ตอนเด็ก ๆ ทำขนมขาย เพราะทำกับข้าวเก่งมาก
- เมื่อคุณแก้วเสียชีวิต ร.๑ ได้จัดงานสวดศพอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง เพราะท่านรักมาก ระหว่างไปงานนั้น พ่อฉิม (ร.๒) ได้ไปพบและพอใจคุณบุญรอด จึงตามไปจีบที่ตำหนักบ่อย ๆ ทั้งติดใจในความสวยและรสชาติของอาหาร
- ๒ ปีผ่านไป ปรากฎว่า คุณบุญรอดท้อง ร.๑ จึงสอบสวน พบว่า ท้องเพราะพ่อฉิม ร.๑ ทรงกริ้วมาก จึงกักบริเวณเจ้าฟ้าฉิม และเนรเทศคุณบุญรอด
- ระหว่างที่ถูกกักบริเวณ เจ้าฟ้าฉิม คิดถึงคุณบุญรอดอยู่ตลอด จึงแต่งกลอน ...กลอนที่แต่งตอนนั้นก็คือ "... มัสมั่น แกงแก้วตา หอมยี่หร่า รสร้อนแรง ชายใด ได้กลืนแกง แรงอยากให้ ใฝ่ฝันหา..." โดยเฉพาะกลอนที่แต่งถึงของหวาน "...ทองหยอด ทอดสนิท ทองม้วนนิด ชิดความหลัง สองปี สองปิดบัง แต่ลำพัง สองต่อสอง ..."
- ร.๑ หายโกรธ ก็เลยให้แต่งงานกัน และเมื่อ ร.๒ ขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้าบุญรอดก็เลยได้เป็นพระราชินี มีลูกกัน ๒ คน คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ และ เจ้าฟ้าจุฑามณี
- พ่อทัพ หรือพระองค์เจ้าทัพ ที่เป็นลูก ร.๒ กับ คุณเรียม ซึ่งอายุห่างจากเจ้าฟ้ามงกุฎ ๑๗ ปี เป็นกำลังสำคัญของ ร.๒ คือ พระองค์เจ้าทัพ เป็นหัวหน้าในการปราบขบถเจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์ ร.๒ ทรงแต่งตั้งให้เป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ และพระราชวังของเจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์
- กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ หรือพระองค์เจ้าทัพนี้ เป็นคนฉลาดหลักแหลม รบเก่ง ใจบุญสุญทาน และมีหัวการค้า ท่านแต่งเรือสำเภาไปค้าเมืองจีน
- เวลาไป ๆ ๓ ลำ เพื่อป้องกันโจรสลัด ลำแรกของหลวง ลำสองของสวนตัว และลำที่สามพ่อค้าคนไหนอยากไปด้วย
- เงินที่ได้กลับมา หลวงเข้าหลวง ส่วนตัวท่านเข้าส่วนตัว ของพ่อค้าของใครของมัน
- เงินที่ได้ ท่านถวายพ่อท่านทุกครั้ง สองเอาไปสร้างวัด และสามเก็บไว้เอง
- ตอนกลับมาซื้อของเล่นตุ๊กตามาแจกน้อง ๆ ทุกคนรักท่านหมด
- ที่วังท่าน ให้หุงข้าวเลี้ยงพระวันละ ๑๐๘ รูป และทำแจกคนผ่านไปมาอีก ๑๘ หม้อ ... เป็นจุดเริ่มต้นของการสังคมสงเคราะห์
- วันที่ ร.๒ สวรรคต เจ้าฟ้ามุงกฎเพิ่งจะบวชได้ ๑๕ วัน ขณะนั้นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ดำรงค์ตำแหน่งต่อไปนี้ หากเทียบสมัยนี้ ทั้งหมดนี้อยู่ในคน ๆ เดียว
- รมต.พาณิชย์
- รมต.คลัง
- รมต.ต่างประเทศ
- ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
- ประธานศาลฎีกา
- เมื่อ ร.๒ สวรรคต ตามหลัก เจ้าฟ้ามงกุฎ ต้องเป็น ร.๓ แต่ขุนนางประชุมกันว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ อายุเพียง ๒๐ แต่กรมหมื่นฯ คนรักทั้งประเทศและเก่งมาก จึงเชิญท่านขึ้นเป็น ร.๓
- รัชกาลที่ ๓
- ให้ขุนนางไปถามเจ้าฟ้ามงกุฎ ว่า ประสงค์จะขึ้นครองราชย์หรือไม่
- เจ้าฟ้ามงกุฎ เข้าไปถาม สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระปาณมานุชิต ได้คำตอบว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะปรารถนาราชสมบัติ สักวันหนึ่งวิกฤตจะเป็นโอกาส ร.๓ จึงขึ้นครองราชย์ ต่อมา ๒๗ ปี เจ้าฟ้ามงกุฎจึงสึกและมาครองราชย์เป็น ร.๔
- ร.๓ ท่านดูแลน้องท่านดีมาก ๆ ท่ามกลางความอิจฉา ริษยา คิดร้ายจากเจ้าต่าง ๆ ถ้าไม่ได้พระมหากรุณาของ ร.๓ ร.๔ คงอยู่ไม่ได้
- ร.๓ ท่านไม่ชอบกลอน กาพน์ โขน ฟ้อน รำ ระบำ ละคร การละเล่นใด ๆ ...อะไรที่ "เล่น" ท่านไม่เอาเลย ท่านจะทรงออกจากวังก็เพื่อไปวัดเท่านั้น ... สุนทรภู่เลย "ตกป๋อง" ไป ออกไปบวช ต่อมา ลูกสาวของ ร.๓ คนหนึ่ง คือ กรมหมื่นอับษรสุดาเทพ ไปนำมาเลี้ยงให้แต่งวรรณคดี จนได้ "พระอภัยมณีมาเล่มหนึ่ง"
- ทรงเก่งเรื่องค้าขาย แต่งเรือสำเภาไปค้าขายเมืองจีน เงินที่ได้มาท่านแบ่งเป็น ๓ ส่วน
- ส่วนที่ ๑ ให้เก็บใส่ถุงแดง มัดเก็บไว้ปลายเตียง ทับมุ้งกันมุ้งขาด ... ก่อนจะสวรรคตได้สั่งกับขุนนางว่า ให้นำเงินส่วนนี้ไปดูแลซ่อมแซมบำรุงรักษาวัดที่ท่านสร้างขึ้น เหลือเท่าไหร่ให้เก็บไว้ หากยามจำเป็นได้ไถ่บ้านไถ่เมือง
- ส่วนที่ ๒ สร้างวัด วัดเกือบทั้งหมดในกรุงเทพฯ สร้างขึ้นในสมัยของพระองค์ ทรงโปรดเรื่องการสร้างวัดมาก ถึงขั้นมีกวีเขียนกลอนว่า "... ทูลเรื่องอื่น ไม่ชื่นเหมือนเรื่องวัด...." ทรงสร้างทั้งหมดกว่า ๗๐ วัด
- แม้แต่ตอนที่่ยังเป็นพระโอรส ระหว่างทางไปรบ เจอวัดท่านก็อธิษฐานว่า ถ้าชนะจะกลับมาสร้างวัด วัดนั้น ร.๒ ตั้งชื่อว่า วัดราชโอรส
- วัดโพธิ์ ท่านทรงให้สร้างใหม่หมด ทำฤาษีดัดตน ทำพระนอน ... ทุกวันนี้ UNESCO
- พระปรางค์ วัดอรุณ ก็ ร.๓ ทรงสร้าง
- วัดภูเขาทองท่านก็สร้าง แม้จะยังไม่สำเร็จตอนนั้น
- เจ้าสัวโต เพื่อนท่าน ถวายที่ให้สร้างวัด ทรงสร้างวัดชื่อ วัดกัลยาณมิตร
- ทรงชวนให้เจ้าพระยาพระคลัง ลูกของพ่อบุญนาค (หนึ่งในสามเกลอ พ่อสิน พ่อทองด้วง พ่อบุญนาค) สร้างวัด เจ้าพระยาพระคลังจึงยกบ้านให้ สร้างวัด ทรงไปยกช่อฟ้า ตั้งชื่อให้ว่า วัดประยูรวงศ์
- ทรงชวนน้องชายเจ้าพระยาพระคลัง ให้สร้างวัดพิชัยญาติ
- ทรงชวนท่านผู้หญิงอินทร์ ภรรษาพระพิชัยญาติ ให้สร้างวัดอนงคาราม
- ทรงชวนพระยาพระคลังอีก ให้สร้างวัดอุทิศให้แม่ที่เสียไป ให้ชื่อว่า วัดนวลนรดิตถิ์
- ทรงสร้างวัดอุทิศให้แม่ท่านที่เมืองนนทบุรี ชื่อว่า วัดเฉลิมพระเกียรติ
- ทรงสร้างวัดให้ลูกสาวที่ท่านทรงรักมาก คือ กรมหมื่นอับษรสุดาเทพ (ที่ชุบเลี้ยงสุนทรภู่) ให้ชื่อว่า วัดเทพธิดาราม
- ทรงสร้างวัดให้ดับหม่อมเจ้าหญิงโสมนัส หลานของท่านคนหนึ่ง ชื่อว่า วัดราชนัดดารามวรวิหาร และให้สร้างโลหะปราสาท
- ฯลฯ
- มีผู้ถามว่าทำไมทรงสร้างวัดจำนวนมาก .... ทรงตอบว่า เงินทองเก็บไว้ปลวกกินหรืออาจด้อยค่าไป สู้ไปสร้างวัดดีกว่า ไว้ในเบื้องหน้าใครมาเมืองเราเขาจะได้มาชม ... ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้นแล้ว
- ทรงครองราชย์อยู่ ๒๗ ปี ท่านไม่ทรงสถาปนาภรรยาองค์ใดเลยเป็นเจ้า เพื่อที่ลูกท่านจะไม่ได้เป็นเจ้าฟ้ามาครองราชย์ต่อจากพระองค์
- เมื่อครั้งพิธีราชาพิเษก ท่านรับมงกุฏมาสวมแล้วถอดวาง แล้วถอดวางให้ขุนนางได้ยินว่า เก็บไว้รอเจ้าของเขาเถิด
- ตอนที่ท่านสวรรคต ท่านไม่ได้สั่งมอบราชสมบัติไว้ให้ลูกท่านคนใดเลย ทรงตรัสบอกว่า ให้ขุนนางไปคุยกันเองเถิดว่าจะเชิญใครขึ้นครองราชย์
- รัชกาลที่ ๔
- หลังจาก ร.๓ สวรรคต ขุนนางพิจารณากันว่า เมื่อครั้ง ร.๒ สวรรคต ได้เชิญ ร.๓ ขึ้นปกครอง ก็ด้วยเหตุว่า ร.๓ ทรงดีและเก่ง บัดนี้ ร.๓ สวรรคต ร. ๔ ที่บวชอยู่ในเพศบรรพชิตถึง ๒๗ ปี นั้นเก่งและฉลาด จึงควรเชิญท่านขึ้นครองราชย์
- ร. ๔ ขึ้นครองราชย์ ตอนอายุ ๔๗ ปี เมื่อเป็นกษัตริย์ จำเป็นต้องมีทายาทไว้สืบราชวงศ์
- ทรงพิจารณาว่า ต้องมีพระมเหสี ที่เป็นเจ้า ลูกจะได้เป็นเจ้าฟ้า แต่ท่านเจาะจงเลยว่า ต้องเป็นเจ้าลูกสาว ร.๓ เพื่อให้ ร.๓ มีความสัมพันธ์แนบแน่น ... คิดดังนั้นแล้ว จึงไปสู่พระองค์เจ้าหญิงโสมนัส หลานรักของ ร.๓ และสถาปนาเป็นพระมเหสี
- พระนางโสมนัสมีบุญจะได้เป็นพระราชินี แต่บุญท่านน้อย ท่านมีลูกเป็นชาย เป็นเจ้าฟ้าจริง ๆ แต่ประสูตรเช้า บ่ายสิ้นพระชนม์ และท่านเองก็สิ้นพระชนม์ในอีก ๗ วันต่อมา
- ทรงสร้างวัดโสมนัสวิหาร ด้วยอาลัยรักในสองพระองค์นั้น และเพื่อจะเป็นอนุสรณ์ ท่านได้สร้างอีกวัดคู่กัน คือ วัดมงกุฎกษัตริยาราม
- ทรงต้องอภิเษกกับหลานปู่อีกองค์ คือ หม่อมเจ้าหญิงลำเพย สถาปนาเป็นพระเจ้าหญิงลำเพยอัมราภิรมย์ ซึ่งประสูติพระโอรสองค์แรก ชื่อว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ร.๕ นั่นเอง
- เมื่อ ร.๕ ขึ้นครองราชย์ แม่ท่านสวรรคตไปแล้ว ทรงสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้ากรมพระเทพสิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างวัดให้พ่อท่านคือ วัดมกุฎ สร้างวัดให้พระนางโสมนัสหรือแม่ท่าน คือวัดสิรินทราวาส
- ทรงสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ท่านทรงรู้เท่าทันฝรั่ง จากการอ่านแมกกาซีนขออังกฤษ ทรงมีดำริว่า ต้องปรับให้คนไทยเท่าทันสากลด้วย
- ทรงรับสั่งให้ขุนนางสวมเสื้อเข้าเฝ้า ดูเหมือนจะไม่สำคัญ แต่ฝรั่งเอาไปเขียนข่าวทั่วโลกว่า ประเทศสยามกำลังจะก้าวเข้าสู่ความเจริญยิ่งใหญ่ ... เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก
- ทรงจ้างแหม่มมาสอนภาษาอังกฤษลูกท่าน ร.๕ จึงพูดภาษาอังกฤษเป็นตั้งแต่ ๑๐ กว่าขวบ
- ทรงเอาใจใส่ออกประกาศเตือนประชาชนกว่า ๓๐๐ ฉบับ ให้คนไทยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ
- ทรงสามารถรักษาเมืองสยามจากอังกฤษได้
- ขณะนั้นอังกฤษยึดประเทศต่าง ๆ มาแล้วตามลำดับ ยึดอินเดียแล้ว พม่าแล้ว จีนแล้ว และกำลังจะยึดไทย
- โดยใช้อุบาย ส่งฑูตมาขอเซ็นต์สัญญา ถ้าไม่เซ็นต์ค่อยเข้ายึด ซึ่งอุบายนี้อังกฤษทำสำเร็จมาแล้วกับประเทศทาง ๆ ดังที่ว่ามา
- อังกฤษส่งเซอร์ จอนเบาว์ลิง มาจะเซ็นสัญญา ร. ๔ ทรงฉลาดมาก ทรงตั้งกรรมการเจรจา สุดท้ายจำต้องเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ลิง
- ไทยต้องให้คนอังกฤษมาปลูกบ้านช่องได้
- ถ้าฝรั่งทำผิด ต้องขึ้นศาลฝรั่ง เพราะหาว่าศาลไทยและกฎหมายไทยป่าเถื่อน
- เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ ... ลูกหนี้บอกว่าคืนแล้ว ศาลไทย ไม่ต้องให้สืบ่พยาน ให้สาบาน แล้วดำน้ำแข่งกัน คนไหนชนะคนนั้นพูดความจริง
- สามีฟ้องว่าภรรยามีชู้ ภรรยาบอกว่าไม่ใช่ วิธีพิสูจน์ คือ ให้จุดธูปสาบาน แล้วให้เดินลุยไฟ ... เพราะได้แนวคิดมาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
- หากจำได้ว่านอกใจสามี กฎหมายบอกว่า ให้ทัดดอกชบาแดง แล้วให้หามขึ้นคาน ตระเวนไปรอบตลาด ประจาน
- หลังจากนั้นมีฝรั่งประเทศต่าง ๆ มาให้เซ็นต์บ้าง ก็จำต้องเซ็นต์
- ฝรั่งถวายฎีกาขอให้สร้างถนน จนได้ถนนเจริญกรุง เป็นถนนสายแรก
- ทรงเก่งเรืองวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
- รัชกาลที่ ๕
- คนที่มีอำนาจมากตอนต้น ร.๕ คือ สมเด็จเจ้าพระยากรมหาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางในตระกูลบุญนาค เพราะท่านเป็นประธานในการเลือกว่าใครจะขึ้นครองราชย์ต่อจาก ร.๔ ดังนั้นในช่วง ๑๐ ปีแรกของการครองราชย์ จึงทรงเกรงเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์มาก
- อยากจะสร้างพระราชวังให้เป็นตึกเหมือนฝรั่งนิยม .... ทรงถูกคัดค้าน
- ทรงถามว่า ปราสาทมีลักษณะอย่างไร บอกว่ามียอดแหลม ๆ
- กลายมาเป็นตึกแบบฝรั่งที่มียอดแหลมเอาใจเจ้าพระยาฯ มาเป็น พระที่นั่งจักรีมหาปราศาสตร์
- ทรงอยากจะทำอะไรหลายอย่าง แต่ก็ไม่สามารถจะทำได้
- ทรงรอจนเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ถึงแก่อสัญกรรม จึงทรงเริ่มปฏิรูปประเทศ
- ทรงมีเวลา ทรงครองราชย์นานถึง ๔๒ ปี มีเวลายาวนานพอสมควรในการพัฒนาปฏิรูปประเทศ ท่านทรงทำอะไรหลายอย่าง สาธยายหลายวันไม่จบ
- ทรงมีเสนา ทรงมีลูกท่าน ๗๗ พระองค์ น้องท่าน ๗๐ กว่า องค์ ทรงมีกำลังคนในการทำงาน
- กรมหลวงราชบุรี ช่วยมาปฏิรูปกฎหมาย
- สมเด็จพระบรมราชชนก มาทำเรื่องการแพทย์
- กรมพระนครสวรรค์ มาช่วยปฏิรูปกองทัพบก
- กรมหลวงชุมพร ปฏิรูปกองทัพเรือ
- กรมพระยาดำรงราชานุภาพ น้องท่าน มาช่วยปฏิรูปการปกครอง มหาดไทย
- กรมพระยาเทววงศ์ ปฏิรูปการต่างประเทศ
- กรมพระยานริศรานิวัติวงศ์ ปฏิรูปเรื่องการช่าง ศิลปะ
- ฯลฯ
- ทรงมีจักขุมา คือมีวิชั่น หรืิอวิสัยทัศน์
- เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จต่างประเทศ ไปยุโรปสองครั้ง ไปอินเดีย ไปสิงคโปร์ ไปชวา
- ไปแต่ละครั้ง ทั่วโลกยกย่องสรรเสริญ สง่างาม ไม่เก้อเขิน ทรงเห็นอะไรเอากลับมาใช้
- ทรงปฏิรูปประเทศสยามให้เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
- ทรงจัดให้มีกระทรวง ๑๒ กระทรวง จนเป็นรากฐานของกระทรวงต่าง ๆ จนตราบปัจจุบัน
- เลิกทาส
- ฯลฯ
- รัชกาลที่ ๖
- ทรงครองราชย์อยู่ ๑๕ ปี เรื่องใหญ่ที่ทรงทำคือ ทำให้คนไทยรักชาติ
- ทรงแต่งกลอน ละคร สยามมานุสติ ปลุกใจเสือป่า
- ทรงเป็นลูกคนโตของ ร.๕
- ไม่มีลูก มีลูกสาวเพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าฟ้าเพชรัตน์
- รัชกาลที่ ๗
- เป็นลูกคนสุดท้องของ ร. ๕ ทรงไม่มีทั้ง เวลา เสนา แม้ว่าจะทรงมี จักขุมา ก็ไม่สามารถจะทำการได้ราบรื่น ดังที่ได้ทราบกัน
- เนื่องจาก ร.๕ มีลูกมาก จึงไม่ทรงคิดว่าพระองค์จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ยังมี เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ เจ้าฟ้าอัศฎางเดชาวุธ เจ้าฟ้าจุฆาธุทราดิลก ฯลฯ แต่พี่ชายท่านทะยอยชิ้นพระชนม์กันหมด และ ร.๖ ก็ไม่มีลูกชาย
- ทรงรู้ตัวไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ว่าตนเองต้องเป็นกษัตร์ย์
- ทรงวางรากฐานการปกครองไว้หลายอย่าง
- ทรงดำริให้มีเทศบาล เป็นพระองค์แรก
- ทรงส่งเสริมสนับสนุนทุกอย่าง ตอนแรกบอกว่า ไม่มีความรู้จึงทำไม่ได้ ทรงไปศึกษาต่อกลับมา ยังไม่ทำ บอกว่ายังไม่มีผู้นำ จึงทรงไปจ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ บอกว่ายังไม่มีเวลาทำ จดหมายฉบับสุดท้ายที่ทรงมีพระราชหัตถุเลขาไปที่กรมที่รับผิดชอบ ว่า ข้าพเข้าหวังจะเห็นก่อนชีวิตจะหาไม่ .... ทรงไม่ได้เห็นจริง ๆ ทรงถูกปฏิวัติโดย "คณะราษฎร" เสียก่อน
- ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เกิดการปฏิวัติ เปลี่ยแปลงการปกครอง ทรงสละราชสมบัติ
- รัชกาลที่ ๘
- เนื่องจากยังไม่มีลูก ขุนนางจึงไปเชิญ เจ้าฟ้าอานันทมหิดล ขึ้นครองราชย์
- ขณะนั้นท่านอายุเพียง ๑๒ ปี อยู่ที่สวิสเซอแลนด์
- ทรงครองราชย์ ๑๒ ปี แต่อยู่เมืองนอก ๑๑ ปี มีเวลากลับมาเพียง ๑ ปี
- ทรงเรียนกฎหมาย เรียน ดร. ทรงกลับมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมชั่วคราว ยังไม่ทันจะกลับไปเรียนต่อ ก็เกิดเหตุรอบปลงพระชนม์เสียก่อน
- รัชกาลที่ ๙
- คงไม่ต้องพูดถึงนะครับ
สรุปศาสตร์พระราชาอย่างสั้นที่สุดได้ว่า
- ร. ๑ ใครเป็นนักรบ จะโปรด
- ร.๒ ใครเป็นกวี จะโปรด
- ร.๓ ใครสร้างวัด จะโปรด
- ร.๔ ใครพูดภาษาอังกฤษเป็น จะโปรด
- ร.๕ ใครทำประโยชน์ต่อราษฎร และคิดใหม่ทำใหม่ จะโปรด
- ร.๖ ใครช่วยปลุกใจคนไทยรักชาติ จะโปรด
- ร.๗ ใครที่จปูรากฐานประชาธิปไตย จะโปรด
- ร.๘
- ร.๙ ใครที่ยอมเสียสละ ปิดทองหลังพระ ทำประโยชน์ต่อประชาชน ยอมเหนื่อย ยอมยาก ไม่หวังสิ่งตอบแทน จะเป็นที่โปรด
ทุกพระองค์มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันทุกพระองค์ คือ ทรงมีทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ
- ทาน ให้โดยเจาะจง อามิสทาน วิทยาทาน อภัยทาน
- ศีล
- บริจาค ให้โดยไม่เลือกหน้า
- อาชวะ ซื่อตรง สุจริต
- มัทวะ สุภาพ
- ตบะ อดทน
- อโกธะ ความไม่โกรธ
- ขันติ อดกลั้น
- อวิหิงสา ไม่เบียดเบียนคนอื่น
- อวิโรธนะ การประพฤติตรง
ทุกพระองค์ทรงปฏิญาณว่า (ยกเว้น ร.๘)
- เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวสยาม
- จะรักษาทศพิธราชธรรมโดยเคร่งครัด
สังเกตว่า สถาบัน "ศาสนา" และ "พระมหากษัตริย์" นั้น ผูกพันอย่างแยกไม่ออก มาตั้งแต่ต้น (ตั้งแต่สมัยสุโขทัย) ส่วนสถาบัน "ชาติ" นั้น มาเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๖ .... แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง "ชาติ" หมายถึง ของ "เชื้อชาติ" หรือ "สัญชาติ" ซึ่งเกิดมีอยู่ในใจมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมซึ่งยึดมั่นในศักดิ์ศรีอยู่แล้ว ดังนั้น จึง กล่าวได้ว่า ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั้น มีมาคู่ไทยมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ผมเชื่อด้วยใจว่า "๓ เสาหลัก" คือปัจจัยสำคัญของ ความยั่งยืน ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น