วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562

ค่าเงินบาทกับค่าเงินเยน

อัตราแลกเปลี่ยนของเงินเยนต่อเงินบาท ขณะนี้อยู่ที่  ๑๐๐ เยน ต่อ ๒๘.๔๔ บาท (ถามกูเกิล) ตีซะว่า อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ ๑๐๐ เยน ต่อ ๓๐ บาท  ค่าแรงขั้นต่ำของเราอยู่ที่ ๓๐๐ บาทต่อวัน ส่วนค่าแรงขั้นต่ำของญี่ปุ่นก็เป็นตัวเลขพอ ๆ กัน คือ ๙๕๐ เย็น ก็คือประมาณ ๓๐๐ บาท เพียงแต่เป็นอัตราต่อชั่วโมง หรือคิดเป็นวันละ ๒,๕๐๐ บาทต่อวันนั่นเลย  (อ้างอิงที่นี่)

ผมโชคดีที่ได้มาอยู่ในครอบครัวที่ดีและพร้อม แม้ไม่ใช่ข้าราชการ (เป็นพนักงานราชการ) ซึ่งไม่อาจสามารถมาเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมานี้  แต่ก็ได้อานิสงค์ที่ลุงป้าของหลาน ๆ จัดการพาหลาน ๆ และตายายมาพัก จึงถือเป็นบุญยิ่งนัก

ผมชอบอาหารญี่ปุ่นมาก เคยมาอยู่ญี่ปุ่นนานเป็นแรมปี (เสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้คิดที่จะเขียนบันทึกเก็บประสบการณ์ดี ๆ ไว้ให้ลูกหลานอ่าน เหมือนวันนี้) จึงขอเล่าให้ท่านฟังถึงคุณค่าของเงินเยนและเงินบาท ด้วยตัวอย่างค่าอาหารที่ได้หวนกลับมาทานในการณ์นี้อีก

คำถาม คือ เงินบาทและเงินเย็น ท่านเห็นค่าของเงินใดมากกว่ากัน 

เฉลย...  เงินบาทมีคุณค่า มากกว่าเงินเยนครับ  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • เงินบาท ๓๐ บาท ซื้อข้าวกะเพราะหมูสับ (ตัวอย่างอาหารข้าราชการน้ำดี) ๑ จาน  แต่เงิน ๑๐๐ เยน ซื้อข้าวไม่ได้สักจาน  ข้าวหน้าหมูทอด (กัสซึดค้ง) ต้องใช้ ๗๐๐ เยน ... ต้องบินมาแลกเงินเยนเป็นเงินบาทและมากินข้าวที่เมืองไทย ถึงจะทำให้ ๑๐๐ เยน มีคุณค่าเท่ากับ ๓๐ บาท 

  • เช่นเดียวกัน ... ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น เส้นเล็ก + ข้าวเปล่า  ที่ผมแทบจะกินเป็นอาหารเที่ยงทุกวันนั้น ราคาเพียง ๕๐ บาท  เงิน ๕๐ บาทมีคุณค่ามากพอ ๆ กับเงิน ๘๐๐ เยน เพื่อให้ได้กินราเม็งเส้นอร่อยที่ร้านแห่งหนึ่งนอกชานเมืองนาโกย่า ...  แสดงว่า เงิน ๕๐ บาท มีคุณค่าเท่ากับเงิน ๘๐๐ เยนทีเดียว 


  • อีกเมนูที่ผมชอบที่สุดคือ "เคอรี่ไรซ์" หรือ ข้าวราดแกงกระหรี่ญี่ปุ่น เข้าใจว่าดัดแปลงมาจากอาหารอินเดีย ...  จานนี้อยู่ที่ ๖๐๐ เยน  ถ้าไปเทียบกับข้าวราดแกงกับสองอย่างของเราที่ ๔๐ บาท คนทั้งโลกจะเห็นว่า เงินบาทไทยด้อยค่า ... แต่ผมมองว่า เงินบาทเรามีคุณค่ามหาศาลทีเดียว  ... 




สิ่งที่ท่านต้องตกใจ

  • ถ้าท่านอยากกินอาหารญี่ปุ่น แล้วพาลูกไปกินที่ร้าน ยาโยอิ โออิชิ ฟูจิ หรืออะไรอีกมากมาย ที่มีหลายแห่งในห้างสรรพสินค้า ท่านจะพบว่า  มูลค่าและคุณค่าของเงินในกระเป๋าท่าน จะลดหล่นหายไปทันใด เพราะราคาในเมนูจะอยู่ในระดับเดียวกับอาหารที่ญี่ปุ่นเลย...... 
  • ตัวอย่างเช่น ....  ถ้าท่านสั่งข้าวหน้าหมูทอด ต้องจ่าย ๑๖๕ บาท ในยาโยอิ หรือ กว่า ๒๐๐ ในฟูจิ ทีเดียว นั่นก็คือ ๕๐๐ - ๖๐๐ เยน นั่นเทียว 
สรุปสิ่งที่ท่านควรทราบ (เพราะผมอยากจะสื่อ)


  • เงินบาทไทย มี "มูลค่า" และ "คุณค่า" มากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ตราบใดที่ท่านไม่ไปแลกเปลี่ยนด้วยอัตราที่ "เขา" กำหนด และท่านกินอยู่อย่างไทย ใช้ของไทย 
  • เงินทองเป็นของ "มายา" จริง ๆ  .... จงสนุกกับการสังเกตการเพิ่มขึ้นและลดลงของคุณค่าของเงินทุกครั้งที่ท่านใช้เงิน ... ถ้าท่านไม่เห็น  นั่นคือท่านยังไม่เห็นคุณค่าของเงิน นั่นเอง 
  • ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ในหลวงทรงบอกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มั่งคั่งและเป็นจุดยุทธศาสตร์.....  
ท่านคิดว่าไงครับ 


วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

การศึกษาเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (๕): กว่าจะมาเป็น ๓ เสาหลัก

การศึกษาเพื่อความยั่งยืน คือการศึกษาที่ต้องธำรง ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ในใจของเยาวชนและคนไทยทั้งมวลได้

ทำไมต้อง ๓ เสาหลัก ....  คำถามนี้ตอบง่าย แต่ตอบให้เข้าใจ เชื่อในใจได้ยาก  คงต้องสอนให้เด็ก ๆ รู้จักที่มาของ ๓ เสาหลัก เสียก่อน ...   การชมคลิปวิดีโอการบรรยายพิเศษของ ศาตราจารย์กิตติคุณ (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ) ดร.วิษณุ เครืองาม และจับประเด็นสำคัญ ๆ ดังเขียนในบันทึกนี้  ทำให้ผมทราบความเป็นมาและตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งของ ๓ เสาหลัก



ทำไมจึงเรียกว่า "ราชวงศ์จักรี"
  • จักรี แปลว่า ผู้มีจักรเป็นอาวุธ  สระอีในภาษาไทยนั้น เขาเรียกว่า "ปัจจัย" ที่ทำให้เกิดความหมายใหม่  ไม่ว่าเอาสระอีไปเติมอะไร จะเกิดความหมายใหม่ทันที เช่น 
    • หัตถะ  แปลว่ามือ เติมสระอี เป็น หัตถี แปลว่าช้าง หรือผู้มีมือจากที่ไม่เคยมีมือ  
    • จักร แปลว่า อาวุธ  เติมสระอีเป็น จักรี แปลว่า ผู้มีอาวุธ  
  • แต่ก่อนกษัตริย์ มีจำนวนมากที่ขึ้นต้นว่า พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระรามาธิบดี  ฯลฯ นี้ เป็นอิทธิพลของพราหม์   ดังนั้น คำว่า จักรีที่แปลว่าผู้มีจักร นั้น เป็นคำที่ศาสนาพราหมณ์ใช้เรียกพระนารายณ์ เท่านั้น 
  • คตินิยมของไทย ได้มาจากขอมหรือเขมร คตินิยมของขอมหรือเขมรนั้น ได้มาจากอินเดียหรือศาสนาพราหมณ์ นั่นเอง 
  • ดังนั้น พระเจ้าแผ่นดินของ แขก เขมร และของไทย จึงเป็นร่างอวตารของ พระนารายณ์ ตามความเชื่อนั่นเอง 
  • ในเรื่อง รามเกียรติ์ นั้น พระนารายณ์เกิดมาเป็นคนเดินดิน เรียกว่า พระราม   ดังนั้น กษัตริย์ของไทย จึงนำมาใช้เป็นชื่อรัชกาล เช่น พระรามาธิบดี 
  • มีเพียงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวที่ไม่ได้ราชาภิเษกคือ รัชกาลที่ ๘   แต่ในหลวง ร.๙ ก็ทรงเฉลิมพระปารมาภิไท ตั้งชื่อถวายใหม่ ด้วยพระนามว่า พระอัตถมรามาธิบดี  ... สะพานพระราม ๘ ก็ตั้งชื่อด้วยเหตุคิดเดียวกันนี้ 
  • กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีแล้ว แท้จริง มีเชื้อสายมอญ 
    • คราวที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ถูกส่งไปช่วยปราบกบฎ ตามคำขอของพระเจ้านันทะบุเลง ลูกชายของบุเลงนอง ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว  
    • พระเจ้านันทะบุเลงทรงเล่นไม่ซื่อ สั่งกระซิบสั่งความว่า  หากพระนเรศวรผ่านมา ให้หาอุบายฆ่าเสีย 
    • เรื่องไปถึงหู พระยาเกียรติและพระยาราม จึงเอาไปเล่าให้อาจารย์ของตนเองฟัง คือ พระมหาเถรคันฉ่อง  พระมหาเถรจึงได้เกลี้ยกล่อมจนสองพระยากลับใจ  ไปถวายตัวเข้ารับใช้  เมื่อพระนเรศวรมาถึง  ทรงโกรธมากจึงยกทัพกลับพร้อมด้วยพระยาเกียรติ พระยาราม และพระมหาเถรคันฉ่อง 
    • กองทัพพม่ายกทัพตามมา  จนถึงริมฝั่งแม่น้ำสโตง พระนเรศวรคว้าพระแสงปืนต้น ยิงจากฝั่งแม่น้ำสโตง โดนพระสุรกันมาตกจากหลังช้าง ทัพพม่าจึงยกทัพกลับไป 
    • ทุกท่านปลอดภัย พระยาเกียรติพระยาราม มาอยู่ด้วยอยุธาได้มีเมียเป็นไทย มีลูก มีหลาน และมีเหลน และช่วยพระนเรศวรรบจนกอบกู้อิสระภาพได้ 
    • หลานคนหนึ่งของพระยาเกียรติหรือพระยาราม (ไม่ปรากฎหลักฐาน) คือนายทองด้วย ต่อมาก็คือ รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง 
  • นายทองด้วง มีเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ นายสินเชื้อสายจีน อีกคนเป็นไทยเชื้อสายอีหร่าน ชื่อนายบุญนาค สามคนนี้เล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ  
    • นายบุญนาคนั้น รวย จึงได้ทำงานในวัง ส่วน นายสินกับนายทองด้วงนั้น ได้เป็นอัยการ 
    • พ่อสินค้นโต  ไม่มีเส้น จึงถูกส่งไปเป็นอัยการอยู่ไกลมาก ไปอยู่เมืองตาก ไปเป็นหลวงยกกระบัด เมืองตาก 
    • พ่อทองด้วง มีเส้นบ้าง ไปเป็นหลวงยกกระบัด ไปอยู่ใกล้หน่อย ที่ราชบุรี 
    • พ่อสินที่ถูกส่งไปอยู่เมืองตาก กลับได้โอกาสขึ้นเป็นพระยาตาก เป็นเจ้าเมืองตาก เพราะพระยาตากตาย ส่วนกลางไม่อยากจะเสียค่าขนส่ง 
    • หลวงยกกระบัดทองด้วง ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองสักที จนมีวันหนึ่ง  พม่ายกทัพมาล้อมอยุธา  เจ้าเมืองกำแพงเพชรตาย จึงบอกให้เจ้าเมืองตากย้ายมาเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่เนื่องจากยังไม่ได้เผาคนเดิม จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า พระยาวชิรปราการ(สิน)  แต่แทนที่ท่านจะไปรับตำแหน่ง ท่านกลับนำทัพมาสู้กับพม่าที่ล้อมเมืองอยู่  จนพบว่า อยุธยาจะแตก ท่านจึงพาทหาร ๕๐๐ คนตีฝ่าวงล้อมไปตีเมืองชลบุรี ระยอง และเมืองจันทบุรี  เราจึงรู้จักท่านใน ชื่อ  พระเจ้าตากสิน ไม่ใช่ พระยาวชิรปราการ 
    • พระเจ้าตาก(สิน) ทรงคิดได้ฉลาดและแยบยลมาก ในการเลือกเป้าหมายที่จะไปตีเมืองจันทบุรี แทนที่จะกลับไปที่เมืองตาก  .... ทรงคิดที่จะกู้บ้านกู้เมือง เมืองตากติดพม่า ทรงรู้ว่าเมืองจันทบุรีมีคนจีนเยอะ ท่านมีเชื้อสายจีน จึงคิดจะไปเกลี้ยงกล่อมชวนคนจีนให้ช่วยต่อเรือ เพราะคนจีนต่อเรือเก่ง  และก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ   ทรงได้เรือมาตั้งหลายร้อยลำ แล้วนั่งเรือลงมาตีธนบุรีก่อนเพื่อให้สำเร็จและให้ข่าวกระพือไป ซึ่งตอนนั้นพม่าส่งแม่น้ำสุกี้มาปกครอง  
    • ตอนนั้นพม่าได้ยึดครองหมดแล้ว จับเอาเฉลยศึกกว่า ๓ หมื่นคน เดินท้าวกลับพม่า เจาะหลังข้อเท้าเอาหวายร้อย เพื่อป้องกันการหนี ... ด้วยเหตุนี้จึงเรียกตรงนั้นว่า "เอ็นร้อยหวาย" 
    • หลังจากปราบแม่ทัพพม่าเมืองธนบุรีแล้ว ก็เข้าไปที่อยุธยา ซึ่งพม่าเผาทิ้ง ๗ วัน ๗ คืน ไม่มีทหารพม่าเหลือแล้ว เหลือน้อย   ท่านเห็นสภาพแล้วสลดรันทดใจมาก ไม่น่าจะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้  แต่หากจะสั่งการให้หนีไปสร้างเมืองใหม่เลย ก็เกรงจะว่าประชาชนจะหาว่าขี้ขลาด จึงทรง มีอุบายว่า เจ้าเมืองอยุธยาที่ตายไปมาเข้าฝัน ไล่ไปไม่ให้มาอยู่ เพราะท่านไม่มีเชื้อสายกษัตรย์ จงอย่าอยู่เลย จงไปหาที่อยู่ใหม่เถิด คนจึงเห็นใจตามท่านไปสร้างเมืองใหม่ที่ธนบุรี 
    • เหตุที่ท่านมาอยู่ที่ธนบุรี  น่าจะมีเหตุเพราะกรุงธนบุรี มีชื่อต้องโฉลกโชคชัยกับท่าน เพราะ ธนบุรีแปลว่า เมืองแห่งทรัพย์สิน 
  • ก่อนที่อยุธยาจะแตก พ่อทองด้วง เป็นหนุ่มโสด ที่อยู่ราชบุรี  พระเจ้าเอกทัต มีพระราบดำรัสว่า เมืองใด ที่มีสาวงาม โสด ให้คัดเลือกแล้วส่งเข้าไปให้เมืองละคน 
    • เมืองอัมพวา มีกุลสตรี ที่สวยและโสด ชื่อแม่นาค เป็นลูกเศรษฐี เชื้อสายมอญ 
    • แต่คุณนาคไม่ต้องการจะเข้าไป  วิธีเดียวที่จะหนีได้คือ ต้องรีบแต่งงาน  เลยมีคนไปบอกพ่อทองด้วง ให้ไปดูตัวและสู่ขอ แม่นาคเลยรอดตัวไป .... ต่อมาได้มาเป็นพระราชินีพระองค์แรกของราชวงศจักรี 
    • เมื่อแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูก เมื่ออยุธยาแตก  วันหนึ่งจึงมีน้องชายคนหนึ่งมาหา เล่าเรื่องให้ฟังว่า ตอนนี้ พ่อสินได้มีบุญญาธิการ ได้เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรี และแนะนำให้ไปรับใช้ท่าน 
    • จึงพาลูกเมียเดินทางไปฝากตัวกับพระเจ้าตาก ทรงจำได้ ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชวารินทร์ ถ้าเทียบกับทุกวันนี้ก็คงเป็น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ... จากอัยการ มาเป็นตำรวจ 
    • เมื่อส่งให้ไปรบ  รบชนะ ก็ทรงแต่งตั้งเป็น พระยาอภัยรณฤทธิ์ เทียบทุกวันนี้น่าจะเป็น แม่ทัพภาค ๑ ... จากตำรวจ ไปเป็นทหาร 
    • ทรงส่งไปรบอีก ชนะอีก ทรงแต่งตั้งเป็น พระยายมราช  .เทียบเป็น มท.๑  เสนาบดีมหาดไทย 
    • และพอไปรบอีก คราวนี้ไปรบต่างแดน เขมร  เมื่อชนะ  จึงแต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาจักรี  ... เทียบ นายกรัฐมนตรี   เป็นสมุหนายก ... เรียกว่ เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง)
    • และเมื่อยกทัพไปปราบเมืองลาว  มีความดีความชอบ ชนะ ขากลับยังได้พระแก้วมรกตอีก จึงแต่งตั้งเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก 
    • อยู่มาเขมรมีขบถที่เขมร พระเจ้าตากสินจึงทรงส่งไปปราบขบถ ขณะที่กำลังรบนั้น เกิดขบถพระยาสันบุกกรุงธนบุรี จับพระเจ้าตากสินขังไว้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงรีบเสด็จกลับ 
    • ระหว่างเดินทางกลับ ได้แวะสระผมอาบน้ำที่วัดสระแก ก่อนจะขึ้นช้างเดินทางต่อมาที่วัดโพธิ์  ขุนนางธนบุรีมารับที่วัดโพธิ์ เชิญท่านขึ้นเรือข้ามไปฝั่งธนบุรี และเชิญขึ้นครองราชย์ 
    • ทรงสำเร็จโทษ ประหารพระยาสันเสีย และในพงศวดารยังเขียนด้วยว่า ได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินด้วย ด้วยเหตุว่า 
      • ทรงพระสติฟั่งเฟือน จากการทำสมถสมาธิ เข้าใจว่าพระองค์เองบรรลุโสดาบัน 
      • ทรงเรียกสมเด็จพระดสังฆราชเข้ามาถามว่า ถ้าฆาราวาสบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน สมเด็จพระสังฆราชต้องกราบไหม .... พระสังฆราชตอบว่า ไม่กราบ เพราะพระมีศีล ฆาราวาสไม่มีศีล  พระเจ้าตากทรงกริ้วมาก ให้จับพระสังฆราชสึก ให้ไปทำงานแรงงานอยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ตั้งพระที่ตอบว่าต้องกราบขึ้นเป็นพระสังฆราชแทน 
      • เกิดการจราจลวุ่นวายอยู่ในพระราชวัง  
    • แม้พงศาวดารจะเขียนว่า ทรงประหารด้วยไม้จันท์หอม แล้วนำไปฝังไว้ เป็นปีก่อนจะนำกลับมาเผา แต่ก็มีหลายกระแสข่าว เช่น 
      • ไม่น่าจะทรงประหารพระเจ้ากรุงธนบุรี  เพราะท่านทรงเป็นเพื่อนรักกันมาก มาตั้งแต่ยังเด็ก และท่านมาขอรับราชการกับพระเจ้ากรุงธนฯ และท่านยังเป็นพ่อตาของพระเจ้ตากสินด้วย ... น่าจะเป็นการประหารตัวปลอม แล้วปล่อยให้หนีไปสักแห่ง น่าจะไปบวชเป็นพระอยู่ที่นครศรีธรรมราช ที่เขาควรพนม ตอนนี้มีคนไปสร้างตำหนักที่นั่นด้วย
    • ลูกของพระเจ้าตากสินกับลูกสาวของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่ชือว่า "แม่ฉินใหญ่" คือ เจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์  
    • ลูกคนที่สองของรัชกาลที่ ๑ กับ แม่บุญนาค คือ พ่อฉิมเล็ก  ต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๒ 
    • ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ท่านทรงเห็นว่า กรุงธนบุรีนั้น เป็นเหมือนเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบทั้ง ๔ ทิศ เหมือนอยุธยา ซึ่งเป็นจุดอ่อนให้ข้าสึกล้อมรอบ ปิดเมือง  จึงทรงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงมาฝั่งบางกอก หรือกรุงเทพฯ ปัจจุบัน 
    • ทรงให้มีการตั้งเสาหลักเมือง ย้ายวัดพระแก้วมาไว้ในที่ปัจจุบัน สร้างประตูคูเมือง จนเจริญสืบมาถึงปัจจุบัน 
    • รัชกาลที่ ๖ ทรงพิจารณาว่า กษัตริย์ที่ปกครองสืบเนื่องต่อกันมานั้น เป็นราชสกุลเดียวกัน  
      • รัชกาลที่ ๑ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๒ 
      • รัชกาลที่ ๒ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๓ 
      • รัชกาลที่ ๓ เป็นพี่รัชกาลที่ ๔
      • รัชกาลที่ ๔ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๕ 
      • รัชกาลที่ ๕ เป็นพ่อรัชกาลที่ ๖ 
    • รัชกาลที่ ๖ จึงทรงตั้งชื่อราชวงศ์นี้ว่า "ราชวงศ์จักรี" ด้วยเหตุว่า รัชกาลที่ ๑ เคยเป็นเจ้าพระยาจักรีมาก่อน  (ทรงเป็นพระยาจักรีคนสุดท้าย) และด้วยทุกพระองค์มีพระนาม "รามาธิบดี" ที่มีความหมายถึง ผู้มีจักรเป็นอาวุธ หรือก็คือ พระนารายณ์  ดังที่ได้กล่าวไป 
ศาสตร์พระราชา ราชวงศ์จักรี 
  • พ.ศ. ๒๕๓๑ เริ่มรัชกาลที่ ๑  ทรงครองราชย์ ๒๗ ปี ทรงมีวิสัยทัศน์ ดังนี้ว่า 
    • คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ล้วนแล้วแต่มาจากธนบุรี และทั้งหมดล้วนแต่ตามมาจากอยุธยาทั้งนั้น  ล้วนแต่มีพ่อแม่ลูกหลานอยู่อยุธยาทั้งนั้น  ทุกคนมีความฝังใจในอยุธยามาก 
    • พี่ชายและลูกพี่ชายของพระองค์ ก็ถูกเจาะเอ็นร้อยหวายไปที่พม่าเช่นกัน  แม่บุญนาค พระราชินี ก็ถูกตัดผมสั้น นุ่งโจงกระเบน ห้ามใส่สะใบเฉียง 
    • ทรงคิดว่า ทำอย่างไรจะสร้างฝันให้คนกรุงเทพฯ  ทำอย่างไรจะสร้างขวัญกำลังใจให้คน 
    • จึงทรงดำริให้สร้างกรุงเทพฯ ให้เหมือนอยุธยาทุกอย่าง เช่น 
      • ขุดคลองมหานาค 
      • อยุธยามีวัดพระศรีสันเพชร ไม่ให้มีพระสงฆ์อยู่  กรุงเทพฯ มีวัดพระศรีศาสดาราม 
    • หลังจากตั้งกรุงเทพฯ ได้ ๓ ปี พม่ายกทัพม่าบุกมากรุงเทพฯ มาถึง ๙ ทัพ จำนวนเรือนแสน  ในขณะที่ทหารกรุงเทพฯ มีไม่กี่หมื่น    
      • ทรงพิจารณาว่า ถ้าตั้งรับในที่ตั้งพม่าจะคำนวณกำลังได้ถูก จึงไปตั้งรับที่ชายแดน  ค่ำ ๆ ให้ครึ่งหนึ่งเดินกลับ รุ่งเช้าให้ออกไปใหม่  เหมือนเป็นมีทหารจำนวนมาก 
      • สุดท้าย พระเจ้าปดุงแพ้  และไม่เคยยกมาอีกเลย 
    • ทรงเป็นนักรบ ทรงรบ ปราบขบถ ทรงสร้างเมือง ป้องกันเมืองให้รอด 
    • ทรงเป็นอัยการเก่า ข้าราชการเก่า เป็นตำรวจเก่า เป็นทหารเก่า จึงมีพระปรีชาด้านการเมืองการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม และศาสนา 
    • ทรงไปเชิญสมเด็จพระสงฆราช ที่ถูกพระเจ้าตากสินจับสึกนั้น ให้กลับมารับตำแหน่งพระสังฆราชองค์แรกของกรุงเทพฯ 
    • ทรงเห็นว่า มีพระที่ประพฤติเหลวแหลก ผิดศีลธรรม จึงออกกฎพระสงฆ์ ๑๐ ข้อ และจัดสอบความรู้พระทั่วประเทศ เรียกว่า "สอบไล่" เพราะถ้าสอบไม่ผ่าน ให้จับสึกให้หมด 
    • ทรงให้ทำสังคายนาพระไตรปิฏกใหม่ ที่วัดมหาธาตุ ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยเคยทำ  มีการประชุมนานถึง ๓ เดือน 
    • ต่อมามีคดีอำแดงป้อม 
      • อำแดงป้อม เป็นผู้หญิงธรรมดา ชื่อแดง  มีสามีชื่อว่า นายบุญสี เป็นช่างตีเหล็ก 
      • ต่อมาไปเป้นชู้กับข้าราชการคนหนึ่ง ชื่อ ราชาอ่ำ  ชู้ปั่นหัวว่าให้ไปฟ้องหย่าผัว แล้วแบ่งสมบัติมาอยู่กับพี่เถอะ อำแดงบอกว่า จะทำได้อย่าง ผัวไม่ได้ทำอะไรผิด 
      • แต่เมื่อำแดงป้อมฟ้องหย่ามาที่ชู้บอก ศาลก็บอกว่า กฎหมายต่าง  ๆ พม่เผาหมดแล้ว เลยให้ไปเรียกพราหมณ์แก่ มาเบิกความ  พราหมณ์แก่ก็บอกว่า ให้แบ่งสมบัติหย่าได้  จึงได้ทำตามนั้น มาอยูกับผัวใหม่ 
      • นายบุญสี จึงถวายฎีการัชกาลที่ ๑ ทรงเห็นว่า กฎหมายวิปริต จึงให้ตั้ง กรรมการ ๑๑ คนไปร่างกฎหมายใหม่ เอาให้หมดจดงดงาม 
      • กรรมการ ๑๑ คน ใช้เวลา ๑๑ เดือน ได้กฎหมายใหม่ ให้ทำไว้ ๓ สำเนา แล้วปิดตราไว้ ๓ ดวงที่หน้าปก ตราราชสีห์ ตราคชสีห์ ตราบัวแก้ว เรียกว่ากฎหมายตราสามดวง ได้ใช้สืบมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ 
    • กฎหมายสมัยอยุธยา ตอนหนึ่งเขียนว่า "...ไทยปาบ้านเจ็ค ไม่ถูกเด็กเล็ก ไม่ต้องปรับไหม เจ็คปาบ้านไทย แม้ไม่ถูกใคร ผีเรือนตกใจ ปรับไหม ๓ ตำลึง...."  ฮา... ทำให้ ร.๑ ทรงสั่งให้มีการสังคยานากฎหมายใหม่ 
    • ท่านสวรรคตเมื่อครองราชย์ได้ ๒๗ ปี 
  • รัชกาลที่ ๒ ทรงเป็นกวี แต่งกาพย์ กลอน โครง ฉันท์  โขน ระบำ ร้ำ ฟ้อน ละคร หนัง ทรงแต่งเรื่อง สังข์ทอง อีเหนา ฯลฯ ทรงต้องการที่จะสร้างขวัญกำลังใจของคนไทยให้กลับมา 
    • ช่วงแรก ๆ ของการปกครอง ก็ทำท่าว่าจะเกิดขบถใหญ่ โดยหัวหน้าก็คือ เจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์ เมื่อจับได้ รับสารภาพ จึงทรงประหารชีวิต
    • ใครเป็นกวี ทรงเรียกมารับราชการ นายภู่ (สุนทรภู่) ก็ได้ดีในยุคนี้  
    • วันหนึ่งผ่านไปยังทางเมืองนนทบุรี เห็นสาวสวยคนหนึ่ง สืบทราบว่าเป็นลูกสาวเจ้าเมืองคือ พระยานนทบุรี ชื่อเรียม  จึงไปสู่ขอมา 
    • แม่คุณเรียม ชื่อ คุณเพ็ง เป็นลูก พระยาราชบังสัญ ซึ่งเป็นมุสลิม ชื่อว่า บังสัญ  ทวดของพระยาบังสัญ เป็นสุรต่านไลมานสงขลา เป็นอิสลาม .. แต่คุณเพ็งเป็นพุทธ 
    • ร.๒ กับ คุณเรียม มีลูกชื่อ หม่อมเจ้าทัพ ... ต่อไปคือรัชกาลที่ ๓ 
    • ร.๑ มีพี่สาวแท้ ๆ ที่เลี้ยงท่านมาตลอด ชื่อ คุณแก้ว  เมื่อท่านขึ้นครองราชย์ ท่านก็ตั้งให้คุณแก้ว เป็นสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ คุณแก้วมีสามีเป็นคนจีน ชื่อ เจ้าสัวเงิน ทั้งสองมีลูกหลายคน คนหนึ่งชื่อ คุณบุญรอด คุณบุญรอดนั้น ตอนเด็ก ๆ ทำขนมขาย เพราะทำกับข้าวเก่งมาก 
    • เมื่อคุณแก้วเสียชีวิต ร.๑ ได้จัดงานสวดศพอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง เพราะท่านรักมาก ระหว่างไปงานนั้น พ่อฉิม (ร.๒) ได้ไปพบและพอใจคุณบุญรอด  จึงตามไปจีบที่ตำหนักบ่อย ๆ  ทั้งติดใจในความสวยและรสชาติของอาหาร  
    • ๒ ปีผ่านไป ปรากฎว่า คุณบุญรอดท้อง ร.๑ จึงสอบสวน พบว่า ท้องเพราะพ่อฉิม ร.๑ ทรงกริ้วมาก จึงกักบริเวณเจ้าฟ้าฉิม และเนรเทศคุณบุญรอด 
    • ระหว่างที่ถูกกักบริเวณ เจ้าฟ้าฉิม คิดถึงคุณบุญรอดอยู่ตลอด จึงแต่งกลอน ...กลอนที่แต่งตอนนั้นก็คือ "... มัสมั่น แกงแก้วตา หอมยี่หร่า รสร้อนแรง ชายใด ได้กลืนแกง แรงอยากให้ ใฝ่ฝันหา..." โดยเฉพาะกลอนที่แต่งถึงของหวาน  "...ทองหยอด ทอดสนิท ทองม้วนนิด ชิดความหลัง สองปี สองปิดบัง แต่ลำพัง สองต่อสอง ..."
    • ร.๑ หายโกรธ ก็เลยให้แต่งงานกัน และเมื่อ ร.๒ ขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้าบุญรอดก็เลยได้เป็นพระราชินี มีลูกกัน ๒ คน คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ และ เจ้าฟ้าจุฑามณี 
    • พ่อทัพ หรือพระองค์เจ้าทัพ ที่เป็นลูก ร.๒ กับ คุณเรียม ซึ่งอายุห่างจากเจ้าฟ้ามงกุฎ ๑๗ ปี เป็นกำลังสำคัญของ ร.๒ คือ พระองค์เจ้าทัพ  เป็นหัวหน้าในการปราบขบถเจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์  ร.๒ ทรงแต่งตั้งให้เป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  และพระราชวังของเจ้าฟ้าสุพรรณธวงศ์ 
    • กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ หรือพระองค์เจ้าทัพนี้ เป็นคนฉลาดหลักแหลม รบเก่ง ใจบุญสุญทาน และมีหัวการค้า ท่านแต่งเรือสำเภาไปค้าเมืองจีน 
      • เวลาไป ๆ ๓ ลำ เพื่อป้องกันโจรสลัด ลำแรกของหลวง ลำสองของสวนตัว และลำที่สามพ่อค้าคนไหนอยากไปด้วย 
      • เงินที่ได้กลับมา หลวงเข้าหลวง ส่วนตัวท่านเข้าส่วนตัว ของพ่อค้าของใครของมัน  
      • เงินที่ได้ ท่านถวายพ่อท่านทุกครั้ง สองเอาไปสร้างวัด และสามเก็บไว้เอง 
      • ตอนกลับมาซื้อของเล่นตุ๊กตามาแจกน้อง ๆ  ทุกคนรักท่านหมด 
    • ที่วังท่าน ให้หุงข้าวเลี้ยงพระวันละ ๑๐๘ รูป และทำแจกคนผ่านไปมาอีก ๑๘ หม้อ  ... เป็นจุดเริ่มต้นของการสังคมสงเคราะห์ 
    • วันที่ ร.๒ สวรรคต เจ้าฟ้ามุงกฎเพิ่งจะบวชได้ ๑๕ วัน ขณะนั้นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ดำรงค์ตำแหน่งต่อไปนี้ หากเทียบสมัยนี้ ทั้งหมดนี้อยู่ในคน ๆ เดียว 
      • รมต.พาณิชย์ 
      • รมต.คลัง 
      • รมต.ต่างประเทศ
      • ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
      • ประธานศาลฎีกา 
    • เมื่อ ร.๒ สวรรคต ตามหลัก เจ้าฟ้ามงกุฎ ต้องเป็น ร.๓  แต่ขุนนางประชุมกันว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ อายุเพียง ๒๐ แต่กรมหมื่นฯ คนรักทั้งประเทศและเก่งมาก  จึงเชิญท่านขึ้นเป็น ร.๓ 
  •  รัชกาลที่ ๓ 
    • ให้ขุนนางไปถามเจ้าฟ้ามงกุฎ ว่า ประสงค์จะขึ้นครองราชย์หรือไม่ 
    • เจ้าฟ้ามงกุฎ เข้าไปถาม สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระปาณมานุชิต ได้คำตอบว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะปรารถนาราชสมบัติ สักวันหนึ่งวิกฤตจะเป็นโอกาส  ร.๓ จึงขึ้นครองราชย์ ต่อมา ๒๗ ปี  เจ้าฟ้ามงกุฎจึงสึกและมาครองราชย์เป็น ร.๔
    • ร.๓ ท่านดูแลน้องท่านดีมาก ๆ  ท่ามกลางความอิจฉา ริษยา คิดร้ายจากเจ้าต่าง ๆ  ถ้าไม่ได้พระมหากรุณาของ ร.๓   ร.๔ คงอยู่ไม่ได้ 
    • ร.๓ ท่านไม่ชอบกลอน กาพน์ โขน ฟ้อน รำ ระบำ ละคร การละเล่นใด ๆ  ...อะไรที่ "เล่น" ท่านไม่เอาเลย ท่านจะทรงออกจากวังก็เพื่อไปวัดเท่านั้น  ... สุนทรภู่เลย "ตกป๋อง" ไป ออกไปบวช  ต่อมา ลูกสาวของ ร.๓ คนหนึ่ง คือ กรมหมื่นอับษรสุดาเทพ  ไปนำมาเลี้ยงให้แต่งวรรณคดี จนได้ "พระอภัยมณีมาเล่มหนึ่ง" 
    • ทรงเก่งเรื่องค้าขาย แต่งเรือสำเภาไปค้าขายเมืองจีน เงินที่ได้มาท่านแบ่งเป็น ๓ ส่วน 
      • ส่วนที่ ๑ ให้เก็บใส่ถุงแดง มัดเก็บไว้ปลายเตียง ทับมุ้งกันมุ้งขาด ...  ก่อนจะสวรรคตได้สั่งกับขุนนางว่า ให้นำเงินส่วนนี้ไปดูแลซ่อมแซมบำรุงรักษาวัดที่ท่านสร้างขึ้น เหลือเท่าไหร่ให้เก็บไว้ หากยามจำเป็นได้ไถ่บ้านไถ่เมือง 
      • ส่วนที่ ๒ สร้างวัด วัดเกือบทั้งหมดในกรุงเทพฯ สร้างขึ้นในสมัยของพระองค์  ทรงโปรดเรื่องการสร้างวัดมาก ถึงขั้นมีกวีเขียนกลอนว่า "... ทูลเรื่องอื่น ไม่ชื่นเหมือนเรื่องวัด...."  ทรงสร้างทั้งหมดกว่า ๗๐ วัด 
        • แม้แต่ตอนที่่ยังเป็นพระโอรส ระหว่างทางไปรบ เจอวัดท่านก็อธิษฐานว่า ถ้าชนะจะกลับมาสร้างวัด วัดนั้น ร.๒ ตั้งชื่อว่า วัดราชโอรส
        • วัดโพธิ์ ท่านทรงให้สร้างใหม่หมด ทำฤาษีดัดตน ทำพระนอน  ... ทุกวันนี้ UNESCO 
        • พระปรางค์ วัดอรุณ ก็ ร.๓ ทรงสร้าง
        • วัดภูเขาทองท่านก็สร้าง แม้จะยังไม่สำเร็จตอนนั้น 
        • เจ้าสัวโต เพื่อนท่าน ถวายที่ให้สร้างวัด ทรงสร้างวัดชื่อ วัดกัลยาณมิตร  
        • ทรงชวนให้เจ้าพระยาพระคลัง ลูกของพ่อบุญนาค (หนึ่งในสามเกลอ พ่อสิน พ่อทองด้วง พ่อบุญนาค) สร้างวัด  เจ้าพระยาพระคลังจึงยกบ้านให้ สร้างวัด ทรงไปยกช่อฟ้า ตั้งชื่อให้ว่า วัดประยูรวงศ์ 
        • ทรงชวนน้องชายเจ้าพระยาพระคลัง ให้สร้างวัดพิชัยญาติ 
        • ทรงชวนท่านผู้หญิงอินทร์ ภรรษาพระพิชัยญาติ ให้สร้างวัดอนงคาราม 
        • ทรงชวนพระยาพระคลังอีก ให้สร้างวัดอุทิศให้แม่ที่เสียไป ให้ชื่อว่า วัดนวลนรดิตถิ์ 
        • ทรงสร้างวัดอุทิศให้แม่ท่านที่เมืองนนทบุรี  ชื่อว่า วัดเฉลิมพระเกียรติ 
        • ทรงสร้างวัดให้ลูกสาวที่ท่านทรงรักมาก คือ กรมหมื่นอับษรสุดาเทพ (ที่ชุบเลี้ยงสุนทรภู่) ให้ชื่อว่า วัดเทพธิดาราม 
        • ทรงสร้างวัดให้ดับหม่อมเจ้าหญิงโสมนัส หลานของท่านคนหนึ่ง ชื่อว่า วัดราชนัดดารามวรวิหาร และให้สร้างโลหะปราสาท 
        • ฯลฯ
      • มีผู้ถามว่าทำไมทรงสร้างวัดจำนวนมาก .... ทรงตอบว่า เงินทองเก็บไว้ปลวกกินหรืออาจด้อยค่าไป สู้ไปสร้างวัดดีกว่า ไว้ในเบื้องหน้าใครมาเมืองเราเขาจะได้มาชม ... ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้นแล้ว
    • ทรงครองราชย์อยู่ ๒๗ ปี  ท่านไม่ทรงสถาปนาภรรยาองค์ใดเลยเป็นเจ้า  เพื่อที่ลูกท่านจะไม่ได้เป็นเจ้าฟ้ามาครองราชย์ต่อจากพระองค์ 
    • เมื่อครั้งพิธีราชาพิเษก ท่านรับมงกุฏมาสวมแล้วถอดวาง แล้วถอดวางให้ขุนนางได้ยินว่า เก็บไว้รอเจ้าของเขาเถิด 
    • ตอนที่ท่านสวรรคต ท่านไม่ได้สั่งมอบราชสมบัติไว้ให้ลูกท่านคนใดเลย ทรงตรัสบอกว่า ให้ขุนนางไปคุยกันเองเถิดว่าจะเชิญใครขึ้นครองราชย์ 
  • รัชกาลที่ ๔ 
    • หลังจาก ร.๓ สวรรคต ขุนนางพิจารณากันว่า เมื่อครั้ง ร.๒ สวรรคต ได้เชิญ ร.๓ ขึ้นปกครอง ก็ด้วยเหตุว่า  ร.๓ ทรงดีและเก่ง บัดนี้ ร.๓ สวรรคต   ร. ๔  ที่บวชอยู่ในเพศบรรพชิตถึง ๒๗ ปี นั้นเก่งและฉลาด จึงควรเชิญท่านขึ้นครองราชย์ 
    • ร. ๔ ขึ้นครองราชย์ ตอนอายุ ๔๗ ปี เมื่อเป็นกษัตริย์ จำเป็นต้องมีทายาทไว้สืบราชวงศ์ 
      • ทรงพิจารณาว่า ต้องมีพระมเหสี ที่เป็นเจ้า ลูกจะได้เป็นเจ้าฟ้า แต่ท่านเจาะจงเลยว่า ต้องเป็นเจ้าลูกสาว ร.๓   เพื่อให้ ร.๓ มีความสัมพันธ์แนบแน่น ... คิดดังนั้นแล้ว จึงไปสู่พระองค์เจ้าหญิงโสมนัส หลานรักของ ร.๓ และสถาปนาเป็นพระมเหสี  
        • พระนางโสมนัสมีบุญจะได้เป็นพระราชินี แต่บุญท่านน้อย ท่านมีลูกเป็นชาย เป็นเจ้าฟ้าจริง ๆ แต่ประสูตรเช้า บ่ายสิ้นพระชนม์ และท่านเองก็สิ้นพระชนม์ในอีก ๗ วันต่อมา 
        • ทรงสร้างวัดโสมนัสวิหาร ด้วยอาลัยรักในสองพระองค์นั้น และเพื่อจะเป็นอนุสรณ์ ท่านได้สร้างอีกวัดคู่กัน คือ วัดมงกุฎกษัตริยาราม  
      • ทรงต้องอภิเษกกับหลานปู่อีกองค์ คือ หม่อมเจ้าหญิงลำเพย สถาปนาเป็นพระเจ้าหญิงลำเพยอัมราภิรมย์  ซึ่งประสูติพระโอรสองค์แรก ชื่อว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์  ร.๕ นั่นเอง 
        • เมื่อ ร.๕ ขึ้นครองราชย์ แม่ท่านสวรรคตไปแล้ว ทรงสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้ากรมพระเทพสิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๔  ทรงสร้างวัดให้พ่อท่านคือ วัดมกุฎ สร้างวัดให้พระนางโสมนัสหรือแม่ท่าน คือวัดสิรินทราวาส 
    • ทรงสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว  ท่านทรงรู้เท่าทันฝรั่ง จากการอ่านแมกกาซีนขออังกฤษ  ทรงมีดำริว่า ต้องปรับให้คนไทยเท่าทันสากลด้วย  
      • ทรงรับสั่งให้ขุนนางสวมเสื้อเข้าเฝ้า  ดูเหมือนจะไม่สำคัญ แต่ฝรั่งเอาไปเขียนข่าวทั่วโลกว่า ประเทศสยามกำลังจะก้าวเข้าสู่ความเจริญยิ่งใหญ่  ... เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก  
      • ทรงจ้างแหม่มมาสอนภาษาอังกฤษลูกท่าน  ร.๕ จึงพูดภาษาอังกฤษเป็นตั้งแต่ ๑๐ กว่าขวบ 
      • ทรงเอาใจใส่ออกประกาศเตือนประชาชนกว่า ๓๐๐ ฉบับ ให้คนไทยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ 
      • ทรงสามารถรักษาเมืองสยามจากอังกฤษได้ 
        • ขณะนั้นอังกฤษยึดประเทศต่าง ๆ มาแล้วตามลำดับ ยึดอินเดียแล้ว พม่าแล้ว จีนแล้ว และกำลังจะยึดไทย 
        • โดยใช้อุบาย ส่งฑูตมาขอเซ็นต์สัญญา ถ้าไม่เซ็นต์ค่อยเข้ายึด ซึ่งอุบายนี้อังกฤษทำสำเร็จมาแล้วกับประเทศทาง ๆ ดังที่ว่ามา 
        • อังกฤษส่งเซอร์ จอนเบาว์ลิง  มาจะเซ็นสัญญา  ร. ๔ ทรงฉลาดมาก ทรงตั้งกรรมการเจรจา  สุดท้ายจำต้องเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ลิง 
          • ไทยต้องให้คนอังกฤษมาปลูกบ้านช่องได้
          • ถ้าฝรั่งทำผิด ต้องขึ้นศาลฝรั่ง เพราะหาว่าศาลไทยและกฎหมายไทยป่าเถื่อน 
            • เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ ... ลูกหนี้บอกว่าคืนแล้ว ศาลไทย ไม่ต้องให้สืบ่พยาน ให้สาบาน แล้วดำน้ำแข่งกัน คนไหนชนะคนนั้นพูดความจริง  
            • สามีฟ้องว่าภรรยามีชู้  ภรรยาบอกว่าไม่ใช่ วิธีพิสูจน์ คือ ให้จุดธูปสาบาน แล้วให้เดินลุยไฟ ... เพราะได้แนวคิดมาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ 
            • หากจำได้ว่านอกใจสามี กฎหมายบอกว่า ให้ทัดดอกชบาแดง แล้วให้หามขึ้นคาน ตระเวนไปรอบตลาด ประจาน 
        • หลังจากนั้นมีฝรั่งประเทศต่าง ๆ มาให้เซ็นต์บ้าง ก็จำต้องเซ็นต์ 
        • ฝรั่งถวายฎีกาขอให้สร้างถนน จนได้ถนนเจริญกรุง เป็นถนนสายแรก 
    • ทรงเก่งเรืองวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย 

  • รัชกาลที่ ๕ 
    • คนที่มีอำนาจมากตอนต้น ร.๕ คือ สมเด็จเจ้าพระยากรมหาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางในตระกูลบุญนาค  เพราะท่านเป็นประธานในการเลือกว่าใครจะขึ้นครองราชย์ต่อจาก ร.๔ ดังนั้นในช่วง ๑๐ ปีแรกของการครองราชย์ จึงทรงเกรงเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์มาก 
      • อยากจะสร้างพระราชวังให้เป็นตึกเหมือนฝรั่งนิยม  .... ทรงถูกคัดค้าน 
      • ทรงถามว่า ปราสาทมีลักษณะอย่างไร บอกว่ามียอดแหลม ๆ    
      • กลายมาเป็นตึกแบบฝรั่งที่มียอดแหลมเอาใจเจ้าพระยาฯ  มาเป็น พระที่นั่งจักรีมหาปราศาสตร์ 
      • ทรงอยากจะทำอะไรหลายอย่าง แต่ก็ไม่สามารถจะทำได้  
    • ทรงรอจนเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ ถึงแก่อสัญกรรม จึงทรงเริ่มปฏิรูปประเทศ  
      • ทรงมีเวลา ทรงครองราชย์นานถึง ๔๒ ปี  มีเวลายาวนานพอสมควรในการพัฒนาปฏิรูปประเทศ ท่านทรงทำอะไรหลายอย่าง สาธยายหลายวันไม่จบ  
      • ทรงมีเสนา  ทรงมีลูกท่าน ๗๗ พระองค์ น้องท่าน ๗๐ กว่า องค์  ทรงมีกำลังคนในการทำงาน 
        • กรมหลวงราชบุรี ช่วยมาปฏิรูปกฎหมาย 
        • สมเด็จพระบรมราชชนก มาทำเรื่องการแพทย์ 
        • กรมพระนครสวรรค์ มาช่วยปฏิรูปกองทัพบก 
        • กรมหลวงชุมพร ปฏิรูปกองทัพเรือ
        • กรมพระยาดำรงราชานุภาพ น้องท่าน มาช่วยปฏิรูปการปกครอง มหาดไทย 
        • กรมพระยาเทววงศ์ ปฏิรูปการต่างประเทศ 
        • กรมพระยานริศรานิวัติวงศ์ ปฏิรูปเรื่องการช่าง ศิลปะ 
        • ฯลฯ 
      • ทรงมีจักขุมา คือมีวิชั่น หรืิอวิสัยทัศน์ 
        • เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จต่างประเทศ ไปยุโรปสองครั้ง ไปอินเดีย ไปสิงคโปร์ ไปชวา  
        • ไปแต่ละครั้ง ทั่วโลกยกย่องสรรเสริญ  สง่างาม ไม่เก้อเขิน  ทรงเห็นอะไรเอากลับมาใช้ 
    • ทรงปฏิรูปประเทศสยามให้เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก 
      • ทรงจัดให้มีกระทรวง ๑๒ กระทรวง จนเป็นรากฐานของกระทรวงต่าง ๆ จนตราบปัจจุบัน 
      • เลิกทาส
      • ฯลฯ
  • รัชกาลที่ ๖
    • ทรงครองราชย์อยู่ ๑๕ ปี เรื่องใหญ่ที่ทรงทำคือ ทำให้คนไทยรักชาติ 
      • ทรงแต่งกลอน ละคร สยามมานุสติ ปลุกใจเสือป่า 
    • ทรงเป็นลูกคนโตของ ร.๕  
    • ไม่มีลูก มีลูกสาวเพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าฟ้าเพชรัตน์   
  • รัชกาลที่ ๗ 
    • เป็นลูกคนสุดท้องของ ร. ๕  ทรงไม่มีทั้ง เวลา เสนา  แม้ว่าจะทรงมี จักขุมา ก็ไม่สามารถจะทำการได้ราบรื่น ดังที่ได้ทราบกัน 
    • เนื่องจาก ร.๕ มีลูกมาก จึงไม่ทรงคิดว่าพระองค์จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน   ยังมี เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ เจ้าฟ้าอัศฎางเดชาวุธ  เจ้าฟ้าจุฆาธุทราดิลก ฯลฯ  แต่พี่ชายท่านทะยอยชิ้นพระชนม์กันหมด และ ร.๖ ก็ไม่มีลูกชาย 
    • ทรงรู้ตัวไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ว่าตนเองต้องเป็นกษัตร์ย์ 
    • ทรงวางรากฐานการปกครองไว้หลายอย่าง 
      • ทรงดำริให้มีเทศบาล เป็นพระองค์แรก 
      • ทรงส่งเสริมสนับสนุนทุกอย่าง  ตอนแรกบอกว่า ไม่มีความรู้จึงทำไม่ได้ ทรงไปศึกษาต่อกลับมา ยังไม่ทำ บอกว่ายังไม่มีผู้นำ จึงทรงไปจ้างฝรั่งมาเป็นที่ปรึกษา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ บอกว่ายังไม่มีเวลาทำ  จดหมายฉบับสุดท้ายที่ทรงมีพระราชหัตถุเลขาไปที่กรมที่รับผิดชอบ  ว่า  ข้าพเข้าหวังจะเห็นก่อนชีวิตจะหาไม่ ....  ทรงไม่ได้เห็นจริง ๆ ทรงถูกปฏิวัติโดย "คณะราษฎร" เสียก่อน   
    • ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เกิดการปฏิวัติ เปลี่ยแปลงการปกครอง  ทรงสละราชสมบัติ 
  • รัชกาลที่ ๘ 
    • เนื่องจากยังไม่มีลูก ขุนนางจึงไปเชิญ เจ้าฟ้าอานันทมหิดล ขึ้นครองราชย์ 
    • ขณะนั้นท่านอายุเพียง ๑๒ ปี  อยู่ที่สวิสเซอแลนด์ 
    • ทรงครองราชย์ ๑๒ ปี  แต่อยู่เมืองนอก ๑๑ ปี มีเวลากลับมาเพียง ๑ ปี 
    • ทรงเรียนกฎหมาย เรียน ดร.  ทรงกลับมาเมืองไทยเพื่อมาเยี่ยมชั่วคราว ยังไม่ทันจะกลับไปเรียนต่อ  ก็เกิดเหตุรอบปลงพระชนม์เสียก่อน 
  • รัชกาลที่ ๙ 
    • คงไม่ต้องพูดถึงนะครับ 
สรุปศาสตร์พระราชาอย่างสั้นที่สุดได้ว่า 
  • ร. ๑ ใครเป็นนักรบ จะโปรด
  • ร.๒ ใครเป็นกวี จะโปรด
  • ร.๓ ใครสร้างวัด จะโปรด
  • ร.๔ ใครพูดภาษาอังกฤษเป็น จะโปรด
  • ร.๕ ใครทำประโยชน์ต่อราษฎร และคิดใหม่ทำใหม่ จะโปรด
  • ร.๖ ใครช่วยปลุกใจคนไทยรักชาติ จะโปรด
  • ร.๗ ใครที่จปูรากฐานประชาธิปไตย จะโปรด
  • ร.๘ 
  • ร.๙ ใครที่ยอมเสียสละ ปิดทองหลังพระ ทำประโยชน์ต่อประชาชน ยอมเหนื่อย ยอมยาก ไม่หวังสิ่งตอบแทน จะเป็นที่โปรด 
ทุกพระองค์มีสิ่งหนึ่งเหมือนกันทุกพระองค์ คือ  ทรงมีทศพิธราชธรรม  ๑๐ ประการ 
  • ทาน ให้โดยเจาะจง  อามิสทาน วิทยาทาน อภัยทาน 
  • ศีล 
  • บริจาค ให้โดยไม่เลือกหน้า 
  • อาชวะ ซื่อตรง สุจริต 
  • มัทวะ สุภาพ 
  • ตบะ อดทน 
  • อโกธะ ความไม่โกรธ 
  • ขันติ อดกลั้น 
  • อวิหิงสา ไม่เบียดเบียนคนอื่น 
  • อวิโรธนะ การประพฤติตรง 
ทุกพระองค์ทรงปฏิญาณว่า (ยกเว้น ร.๘)
  • เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวสยาม 
  • จะรักษาทศพิธราชธรรมโดยเคร่งครัด 
สังเกตว่า สถาบัน "ศาสนา" และ "พระมหากษัตริย์" นั้น ผูกพันอย่างแยกไม่ออก มาตั้งแต่ต้น (ตั้งแต่สมัยสุโขทัย) ส่วนสถาบัน "ชาติ" นั้น มาเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๖  .... แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง "ชาติ" หมายถึง ของ "เชื้อชาติ" หรือ "สัญชาติ" ซึ่งเกิดมีอยู่ในใจมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมซึ่งยึดมั่นในศักดิ์ศรีอยู่แล้ว ดังนั้น จึง กล่าวได้ว่า  ๓ เสาหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั้น มีมาคู่ไทยมาตั้งแต่ต้นแล้ว 

ผมเชื่อด้วยใจว่า "๓ เสาหลัก" คือปัจจัยสำคัญของ ความยั่งยืน ....  

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

ประชานิยม "เวเนซุเอล่า" (๒)

เมื่อวานนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒)  มีข่าวจากเพจ Forex Investor Trader Survivor ถึงสถานการณ์ล่าสุดของเวเนซุเอล่า ที่เผยแพร่ภาพยืนยัน คำว่า "เงินทองของมายา... ข้าวปลาสิของจริง" ของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤษดากร บิดาแห่งการเกษตแผนใหม่ (ดูคลิปนี้)


ประชาชนกำลังขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่ภูมิประเทศตั้งอยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมหาศาล ใกล้เคียงกับประเทศไทย สกุลเงินโบลิวาร์ไร้ค่า จนประชาชนนำมาทิ้งเกลื่อนเมืองอย่างที่เห็น ... ยิ่งไปกว่านั้น ไฟฟ้าดับทั่วประเทศต่อเนื่องครบ ๑ สัปดาห์ ไปแล้ว ทำให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลซึ่งขาดแคลนยาอยู่แล้วเสียชีวิตไปแล้วกว่า ๒๐ คน และประชาชนอยู่กันอย่างยากลำบาก 

ตีความ ต้นเหตุของวิกฤตในเวเนซุเอล่า

จากการสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต อ่านบทความ และข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตเวเนซุเอล่า ผมตีความต้นเหตุแห่งวิกฤตครั้งนี้ ดังนี้

๑) การดำเนินนโยบายทางการเมืองต่อต้านสหรัฐอเมริกา 

การดำเนินนโยบายที่เรียกว่า La Grand Venuzuela ที่ยึดเอากิจการด้านน้ำมันของเอกชนมาเป็นของรัฐ และยึดมาทั้งหมดแบบเบ็ดเสร็จในยุคของฮูโก้ ชาเวซ ส่งผลโดยตรงต่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา เหตุนี้ อาจนำมาสู่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามมา ต่อไปนี้

  • การยกเลิการสนับสนุนทางเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันทั้งหมด เช่น ไม่ส่งอาไหล่ ไม่ช่วยเหลือใด ๆ ในการบำรุงรักษา ฯลฯ ทำให้ต่อมาเกิดผลกระทบต่อกำลังการผลิตนำมันดิบ จากเดิมที่เคยผลิตได้กว่า ๓ - ๔ ล้านบาล์เรล เหลือเพียงวันละ ๒ ล้านบาล์เรลเท่านั้น 
  • การจับมือกันของสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอารเบียที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในตลาดโลก และพันธมิตร ในการดั๊มราคาน้ำมัน ในช่วยปี 2016 เพื่อถล่มเศรษฐกิจรัฐเซีย  การแก้แค้นเวเนซุเอล่า อาจเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งของอเมริกา  ทำให้เวเนซุเอล่าขาดรายได้จากการขายน้ำมัน ไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งคิดเป็นกว่า 98% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ  ... ในขณะที่รายจ่ายเท่าเดิม ... จึงเดี้ยง....
  • การเข้าแทรกแซงทางการเมืองของอเมริกา ที่เข้าไปสนับสนุนนายฮวน กุยโด ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยประกาศยอมรับอย่างเปิดเผยให้เป็นประธานาธิบดีของเวเนซุเอล่า ไม่ยอมรับนายนิโคลัส มาดูโร ทายาทางการเมืองของฮูโก้ ชาเวซ 
  • อเมริกา ประกาศอาญัติอำนาจทางการเงิินของประธานาธิบดีนิโครัส มาดูโร ไม่ยอมรับให้เบิกทรัพย์สินที่เป็นทางคำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ...เฉย..... 
  • สหรัฐอเมริกา  เพิ่งจะแพ้รัสเซียในสนามสงครามตัวแทน ในสมรภูมิซีเรีย ในขณะที่ทั่วโลกรู้ทางสหรัฐจากกรณี "อีรัค" และ "ลิเบีย" ที่เข้าไปยึดบ่อน้ำมันเขามาโดยหาเหตุผลร้อยแปด  ดังนั้นจึงคาดเดาเข้าใจได้ว่า สหรัฐกำลังหาสมรภูมิใหม่ในการสู้รบ เป็นสนามสงครามเย็นรอบใหม่กับทางฝั่งรัสเซียและจีน  
๒) การดำเนินโนโยบายประชานิยม แบบ "ไม่พอเพียง" 


  • ได้เขียนไปแล้วในบันทึกที่ ๑ ว่า ฮูโก ชาเวซ เข้าสู่อำนาจอย่างไร และดำเนินโครงการประชานิยมอย่างไร 
  • มีวิธีคิดในการพัฒนาประเทศที่ผิด คือ ไม่ส่งเสริมให้ประชาชน "พึ่งตนเอง"  ไม่สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชน  แต่ อุดหนุนให้คนอยู่สบายโดยไม่ต้องทำงาน "ไม่พึ่งตนเอง"  นำเข้าสินค้าและอาหารจากต่างประเทศ
  • ขาดความรู้ ขาดคนดีคนเก่ง ที่จะให้คำปรึกษาและทิศทางที่ถูกต้องในการบริหารจัดการเรื่องเศรษฐกิิจของประเทศ  ( ขาดกุนซือ ขาดขงเบ้ง)   จะเห็นได้จากที่ ไปดำเนินนโยบายควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราให้ต่างจากภายนอก จนทำนักค้าเงินถล่มค่าเงินในตลาดมืด และการแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินขึ้นมาโดยไม่มีสิ่งรับรอง 
  • ไม่รอบรู้เพียงพอ   ... ผมมองว่า  
    • เขาทำถูกต้องแล้วที่เข้าไปรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ให้ได้รับส่วนแบ่งจากบ่อน้ำมันของประเทศบ้าง  เพราะจะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 1914 พบน้ำมัน 1922 เริ่มขุดมาใช้ จนถึงปี 1998 นั้น ผลประโยชน์ตกไปอยู่ในมือต่างชาติทั้งหมด  โดยที่ชาวบ้านยังยากจน และขาดการศึกษา .... 
    • แต่ที่ไม่รอบรู้  คือ ไม่รู้จักศักยภาพของตนเองในการผลิตน้ำมันดิบ  ไม่รู้ว่าตนเองไม่มีคนที่เก่งเพียงพอในการบริหารจัดการ ซ่อมบำรุง ไม่มีเทคโนโลยี คือ พึ่งตนเองไม่ได้ด้านการผลิต 
    • ทำให้ตัดสินใจไปทำในสิ่งที่เกินตัว เกินความสามารถของตนเอง  
  • ไม่รอบคอบ   การดำเนินนโยบายประชานิยม เช่น การควบคุมราคาสินค้าให้ต่ำกว่าเป็นจริง และการควบคุมอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อ   ถือว่า ไม่มีเหตุผลอันสมควร  ผู้บริหารอาจรู้เท่าไม่ถึงการ หรือไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบก่อนทำ  
  • ไม่ระมัดระวัง ไม่สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีใด ๆ ให้กับประเทศ  ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ คือ การหวังพึ่งรายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียวกว่า 95% หรือ 98%  ... 
  • ไม่มีคุณธรรม ไม่ได้ยึดหลักแห่งความยุติธรรม  ดังจะเห็นได้จาก การทำลายระบบศาลตุลาการของตนเอง โดยแต่งตั้งใหม่แบบโละทิ้งทั้งหมด ให้คนที่ตนเองแต่งตั้งเข้าทำหน้าที่  ทำให้ประเทศสูญเสียความน่าเชื่อถือไป  ....  เหตุการณ์ที่ฮูโก ชาเวซ 


การเขียนบันทึกเรื่องนี้ ทำให้ยิ่งตระหนักในพระปรีชาสามารถของ ในหลวง ร.๙  ....  ทรงระลึกถึงท่าน  และมีพลังที่จะสืบสานพระราชปณิธานของท่านต่อไป

ที่มา https://www.facebook.com/AnonymousArmy/photos/rpp.412682772176554/2164283373683143/?type=3&theater


สาธุ ...

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562

ประชานิยม "เวเนซุเอล่า" (๑)

ประเทศเวเนซุเอล่าเคยร่ำรวยที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ด้วยประเทศนี้มีบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แม้ตอนนี้ก็ยังมีน้ำมันดิบนั้นอยู่  แต่ขณะนี้ประเทศนี้กำลังจะล่มสลาย ประชาชนประมาณ ๓๐ ล้านคน คนรวยหนีออกนอกประเทศ (ทิ้งบ้าน) ไปแล้วเกือบ ๓ ล้านคน คนชนชั้นกลางกลายเป็นคนจน เกิดโกลาหลทั่วประเทศ .... อะไรทำให้เวเนซุเอล่ามาถึงจุดตกต่ำขนาดนี้  หากท่านอ่านเรื่องทั้งหมดต่อไปนี้ ท่านจะเห็นคุณค่า และเกิดศรัทธาในพระปรีชาสามารถของ ในหลวง ร.๙ อย่างยิ่ง

ประเทศเวเนซุเอล่า ตั้งอยู่ที่ทวีปอเมริกาใต้ ดูแผนที่


สังเกตว่า อยู่ในเส้นละติจูดใกล้เคียงกับประเทศไทยเรา ดังนั้นภูมิศาสตร์จึงไม่ได้แตกต่างไกลกันนัก คือ เป็นประเทศที่สามารถพึ่งตนเองด้านอาหารด้วยการเกษตรได้ไม่ยาก ... ซึ่งแต่ก่อนบรรพบุรุษของเขาก็ทำการเกษตร ล่าสัตว์ ประมง พึ่งตนเองมาตลอด ... ก่อนจะเปลี่ยนไปเมื่อพบบ่อน้ำมัน



เวเนซุเอล่า ค้นพบบ่อน้ำมันในปี 1914 เป็นบ่อน้ำมันที่มีปริมาณน้ำมันมากที่สุดในโลก ว่ากันว่า สามารถขุดขายไปได้อีกถึง ๓๐๐ ปี ที่เดียว 

ประวัติศาสตร์ย่อ (ที่มา)
  • ปี 1498 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส  คือชาวยุโรปคนแรกที่มาถึงดินแดนที่เป็นประเทศเวเนซุเอล่าตอนนี้ 
  • ปี 1499 ชาวสเปนนำโดย Alonso de Ojeda (อลองโซ่ เดอร์ โอเจดา) เป็นกลุ่มที่สองที่มาถึงที่นั่น  พวกเขาเรียกเป็นครั้งแรกว่า Venezuela (เวเนซุเอล่า) แปลว่า เมืองเวนิสน้อย 
  • ปี 1521 เริ่มก่อตั้งเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนำเอาทาสชาวแอฟาริกาเข้ามาทำงาน  เป็นเมืองขึ้นเล็ก ๆ ของสเปน ที่ไม่ได้รับความสนใจ
  • ปี 1811 แยกตัวออกเป็นอิสระได้ชั่วคราว ก่อนถูกสเปนยึดครองกลับเหมือนเดิม 
  • ปี 1821 ได้รับเอกราชเป็นครั้งแรก โดยการนำของ Simon Bolivar (ไซม่อน โบลิวาร์) ... นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ เวเนซุเอล่า มีชื่อเต็ม ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Bolivarian Republic of Venezuela (สาธารัฐโบลิวาร์แห่งเวเนซุเอล่า)  โดยรวมอยู่กับประเทศโคลอมเบีย (Colombia) และเอลกาวาดอร์ (Ecuador) โดยใช้ชื่อว่า Gran Colombia 
  • ปี 1830 แยกออกเป็นประเทศอิสระอย่างสมบูรณ์ โดยปกครองด้วยระบบทหารเรียกว่า Caudillos นำโดย Jose Antonia Paez จนกระทั่วปี 1848
  • 1870 - 1888 นายพล Guzman Blango (กุซแมน บลังโก) ขึ้นปกครอง
  • ปี 1914-1922 ค้นพบบ่อน้ำมัน ที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก คือบ่อใหญ่ที่สุดในโลก 
  • 1945 -1958 ช่วงการเปลี่ยนผ่าน อยู่ภายใต้การปกครองของ Marcos ders Jimenez 
  • ปี 1958 - 1997 มาเป็นประชาธิปไตย ระหว่างนั้น ในปี 1976 ประธานาธิบดี Calos Andres Perez  (คาลอส แอนเดรส เปเรซ) เริ่มประกาศใช้นโยบายที่เรียกว่า La Grand Venezuela ที่ต้องการยึดกิจการพลังงานจากเอกชนเป็นของรัฐ 
  • ปี 1998 Hugo Chavez (ฮูโก้ ชาเบซ) รับเลือกเป็นประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสังคมนิยม ในปี 1999 และปกครองประเทศด้วยนโยบาย ประชานิยม ประชารัฐสุดโต่ง  และต่อต้านการปกครองจากอเมริกาและยุโรป คล้ายคิวบา เขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2006 และเสียชีวิตในปี 2013
  • ปี 2013 - ปัจจุบัน ประธานาธิบดี Nicolas Maduro สืบอำนาจต่อจากชาเวส  และกำลังผจญกับวิกฤตอย่างหนัก 
สังเกตว่า ประวัติศาสตร์ประเทศไม่ได้มาจากระบบราชาธิปไตย  แต่เป็นแบบ Absolute power หรือที่เรียก สมบูรณายาสิทธิราช ... ที่คือเหตุผลหนึ่งที่ ฝรั่งไม่เข้าใจ ระบบ "ราชาธิปไตย" โดยเฉพาะ "ธรรมราชาธิปไตย" ของประวัติศาสตร์ไทย 

โครงการประชานิยมของ ฮูโก้ ชาเวส (บันทึกที่เขียนเรื่องนี้ดีมาก ๆ อยู่ที่นี่)

ประธานาธิบดี ฮูโก้ ชาเวส (คนไทยออกเสียงแบบนี้) ขึ้นมาปกครองประเทศด้วยการชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น บนนโยบายประชานิยม และเปลี่ยนการปกครองแบบสังคมนิยม หันหลังให้กับอเมริกาและยุโรป และยึดเอากิจการน้ำมันทั้งหมดมาเป็นของรัฐ โดยตั้งบริษัทน้ำมันของรัฐที่เรียกว่า Petroleos de Venezuela (PDVSA) ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์เองทั้งหมด และทำหน้าที่นำเงินรายได้การขายน้ำมัน มาใช้จ่ายไปกับโครงการประชานิยมต่าง ๆ จำนวนมาก ตั้งแต่ปี 2003 เรียกว่า "ภารกิจโบลิวาร์" (Bolivarian Missions) (อ่านบทความนี้เขียนดีมาก)  เช่น สวัสดิการสังคม อุดหนุนการศึกษา อุดหนุนสินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ  ด้วยเหตุนี้ แม้จะเวลาจะผ่านไปถึง 15 ปี ประชาชนเวเนซุเอล่า ยังมองชาเวซ เป็นเหมือนวีรบุรุษ ในขณะที่สำนักงานกองทุนระหว่างประเทศ หรือ  IMF วิเคราะห์ว่า นโยบายประชานิยมอันยาวนานนี้เองที่ทำลายระบบทุกอย่างของประเทศ

ที่มา คลิก
โครงการกว่า 4,000 โครงการของฮูโก้ ชาเวซ มุ่งหวังสิ่งสำคัญคือคะแนนเสียง ไม่ได้สร้างสรรค์สังคม หรือวางรากฐานของสังคมใด ๆ   ไม่ได้นำมาพัฒนาการศึกษา ไม่ได้นำมาสร้างงาน สร้างอาชีพ แต่กลับส่งเสริมให้คนทิ้งอาชีพของบรรพบุรุษ  พึ่งคนอื่น ประเทศอื่นทั้งหมด 
  • อุดหนุนราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
    • น้ำมันราคาถูกมาก ถูกกว่าราคาน้ำเปล่ากว่า ๕๐ เท่า  ทำให้การใช้น้ำมันในประเทศเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
    • อุดหนุนราคาสินค้าต่าง ๆ ให้ถูกว่าราคาจริง โดยนำเข้าสินค้าต่าง ๆ จากต่างประเทศ แล้วอุดหนุนด้วยงบรัฐบาลให้ราคาต่ำ ทำให้ธุรกิจและการผลิตภายในประเทศสู้ไม่ไหว เจ๊งและเลิกผลิตไป เป็นการทำลายอาชีพของคนในประเทศตนเอง ... เลิกพึ่งตนเอง 
    • เมื่อนำเข้าอาหารมากขึ้น อุดหนุน แล้วนำมาขายราคาถูก เกษตรกร การเพาะปลูกต่าง ๆ ในประเทศก็ลดลง จนเกือบจะหยุดไป  ... พึ่งคนอื่นเต็มที่  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นยาวนานถึง 17 ปี จึงไม่แปลกใจที่ทำไมต้องไปรอขอรับการช่วยเหลือจากรัฐกันอย่างเดียว 
    • อุดหนุนราคาน้ำมัน โดยรัฐบาลอุดหนุนทั้งค่าขนส่งน้ำมันไปยังปั๊ม ค่าจ้าง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในปั้ม ทำให้ราคาน้ำมันถูกมาก ลิตรละไม่ถึง ๑ บาทเท่านั้น 
    • อุดหนุนค่าไฟฟ้า 
  • อุดหนุนสวัสดิการสังคม อุดหนุนการศึกษา แก้ปัญหาความยากจนด้วยการแจก 
  • สร้างบ้านเอื้ออาทร กว่า 2 ล้านหลัง 
  • ฯลฯ


  • ในปี 2003 ฮูโก้ ชาเวซ ยังเข้าควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราทั้งหมดภายในประเทศ การแลกเงินสกุลต่างประเทศจะต้องทำผ่านผู้แทนของรัฐบาลเท่านั้น และทำให้อัตราการแลกเปลี่ยนภายในประเทศ และระหว่างประเทศที่รัฐบาลเท่านั้นที่แลกได้ มีอัตราที่แตกต่างกัน ไม่เป็นไปตามจริง  ... นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาการเฟ้อของเงิน จากปัญหาการค้าเงินในตลาดมืด (ดูกราฟ) และเฟ้ออย่างรุนแรงจนเงินโบลิวาร์ไร้ค่าไปแล้วในขณะนี้ 
  • ฮูโก้ ชาเวซ เป็นมะเร็งในสมอง และเสียชีวิตในปี 2013 ผู้สืบทอดของเขาคือ นิโคลัส มาดูโร่ (Nicolus Maduro) 
ที่มา คลิกที่นี่

  • ปี 2016 เกิดราคาน้ำมันดิบตกต่ำ จาก 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงเหลือเพียง 30 บาทต่อบาร์เรลเท่านั้น  ทำให้รายได้ของรัฐบาลลดลง ในขณะที่รายจ่ายไปกับโครงการประชานิยมมีเท่าเดิม 
  • รัฐบาลแก้ไขปัญหาด้วยการพิมพ์เงินออกมาใช้ สุดท้ายก็เฟ้อจนไร้ค่า อย่างที่กล่าวไป 

ไก่ตัวนี้หนัก 2.4 กิโลกรัม ราคา 14,600,000 โบลิวาร์ (ดูรายละเอียดสินค้าอื่น ๆ จาก ที่มาของภาพนี้ที่นี่)

  • นอกจากจะเจอวิกฤตน้ำมันแล้ว ปัญหาภัยแล้งยังทำให้การเพาะปลูกยังให้ผลผลิตน้อย ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร 
  • ชนชั้นเศรษฐี (แทนที่จะเสียสละและสามัคคี) เดินทางอพยพหนีออกนอกประเทศไปเกือบ ๓ ล้านคน 
ที่มา https://www.bbc.com/thai/international-47048389



  • ประชาชน 90% เปอร์เซ็นต์ ของประเทศขณะนี้ ยากจน ขาดแคลนอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค  ไฟ้ฟาดับติดต่อกันหลายวัน ขาดแคลนยารักษาโรค และกำลังจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ระหว่างผู้นำฝ่ายค้าน คือ นายฮวน กุย โด ซึ่งหนุนหลังโดยสหรัฐอเมริกาและยุโรป กับนายนิโคลัส มาดูโร ซึ่งหนุนหลังโดยรัสเซียและจีน ... รายละเอียดของความขัดแย้ง มีเบื้องหลังเบื้องลึกมากมาย ขอมาเล่าวันหลังอีกบันทึกต่างหาก

ส่วนตัวผมคิดว่า ฮูโก้ ซาเวซ เป็นคนดี คนดีที่ทำเพื่อประชากรคนยากคนจน เสียดายที่เขาขาดคนอย่าง "ขงเบ้ง" อยู่ข้างกาย เพราะจริง ๆ แล้ว ทุกประเทศที่รวยเพราะน้ำมัน ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ใช้ปกครองแบบรัฐสวัสดิการ แต่มักจะเป็นระบบเบ็ดเสร็จของกษัตริย์ หรือ "ราชาธิปไตย"  ... ค่อยมาตีความกันต่อไปครับ 

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒-๒๕๖๑ (๒) พระราชดำรัสฯ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐

ผ่านไปแล้วกว่า ๒๐ ปี สำหรับเหตุการณ์ "วิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๐" แต่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นยังคงสำคัญและจำเป็นที่ต้องนำมาศึกษา เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในการพัฒนาสังคมประเทศชาติสำหรับคนรุ่นใหม่

ต้นเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจ

มีการวิเคราะห์ต้นเหตุแห่งวิกฤตเศรษฐกิจจากนักวิชาการจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนักวิชาการอิสระอื่น ๆ มากมาย (เช่น ที่นี่, ที่นี่, และ ที่นี่) เกือบทั้งหมดมองลึกลงไปในทางเศรษฐศาสตร์ มองต้นเหตุในเชิงวิชาการ  คือ "คิดยาก"  ... ผู้อ่านต้องใช้ความคิดมากในการทำความเข้าใจ 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ (ในหลวงรัชกาลที่ ๙) ทรงกล่าวถึงต้นเหตุแห่งวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๐ ครังนั้นไว้อย่างชัดเจน ในพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสเข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล เฉลิมพระชนมายุ ๗๐ พรรษา ไว้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และเป็นรากเหง้าของปัญหาจริง ๆ  โดยทรงบอกผ่านเรื่องเล่าพระราชประสบการณ์การช่วยเหลือข้าราชบริพาลใกล้ชิด

ก่อนจะมีพระราชดำรัสฯ ถึงต้นเหตุแห่งวิกฤตเศรษฐกิจ ทรงเกริ่นว่า "...เราเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ และเราก็ได้ชื่อว่ากำลังก้าวหน้าไปสู่เมืองที่เป็นมหาอำนาจทางการค้า ทำไมเกิดวิกฤตการณ์  ความจริงวิกฤตการณ์นี้ เห็นได้มานานแล้วสี่สิบกว่าปีมาแล้ว แต่ไม่รู้ตัว ... " และทรงยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้ 

ตัวอย่างที่ ๑ มาขอกู้เงิน 

๔๐ กว่าปีก่อน มีข้าราชการชั้นผู้น้อยมาขอกู้เงิน ทรงให้เงินกับข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง โดยมีข้อแม้ว่าต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทรงพบว่า มีรายการเขียนว่า "ค่าแชร์" จึงทรงถาม ทราบว่า เงินที่ต้องจ่ายให้เจ้ามือแชร์ทุกเดือน ๆ ละ ๑๐๐ บาทนั้น  ๑ ปีควรจะได้เงิน ๑,๒๐๐ บาท ซึ่งน่าจะดี แต่คนที่ต้องการจะใช้เงินต้อง "ประมูลแชร์" ทำให้ไม่ได้ ๑,๒๐๐ บาท คนมีเงินเขาจะไม่ประมูล ทิ้งไว้ในแชร์นั้น ถึงเวลาจึงได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยพร้อมดอกเบี้ย แต่คนที่ประมูลแชร์ต้องเสียดอกเบี้ยและเสียค่าประมูลแชร์ 

ทรงตรวจพบว่ามีการเขียนค่าแชร์อยู่อีกที่หนึ่ง จึงทรงถาม ทราบว่า เพื่อจะนำเงินไปส่งแชร์รายเดือน ข้าราชการท่านนั้น ต้องไปเล่นแชร์รายสัปดาห์ด้วย ส่งทุกเจ็ดวันเพื่อนำเงินที่ประมูลได้นั้นมาส่งรายเดือน คิดว่าตนเองฉลาด แต่แท้จริงเป็นการกู้เงิน จึงทรงแนะนำให้เลิกแชร์ และให้ทำบัญชีต่อไป มีเงินเดือนเท่าไหร่ จะต้องใช้ภายในเงินเดือนของเขา ต่อมาพบว่าสามารถมีเงินพอใช้

ตัวอย่างที่ ๒ เอาหัวเข็มขัดมาให้ ขอกู้เงิน 

มีรายหนึ่งเอาหัวเข็มขัดมาถวายพระองค์ สอบถามจึงทราบว่าต้องการขอกู้เงิน แต่ไม่ทรงให้กู้เพื่อรู้ว่าถ้าให้ไปจะไม่เอาใช้คืน และจะเอาเงินไปใช้อย่างอีลุ่ยฉุ่ยแฉก และจะไม่มีผลเหมือนอย่างที่ขอกู้ไปสำหรับนทำอาชีพ จะกลายเป็นทำให้คนยิ่งเสียใหญ่

ตัวอย่างที่ ๓ ขอกู้เงินไปแต่งงาน

ข้าราชการผู้น้อยคนหนึ่งมาขอกู้เงินจะไปแต่งงาน ทรงเห็นว่าทำงานดี จึงให้เหมือนเป็นรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท เมื่อแต่งงานเรียบร้อยก็ไม่ได้คืนเงิน  ในหลวงก็ไม่ทรงว่าอะไร เข้าใจว่ามีความสุขดีก็ดีแล้ว จะได้ทำงานได้ดี  แต่หารู้ไม่ว่าภายหลังมาสองปี มาขอกู้เงินอีก ๓๐,๐๐๐ บาท ทรงถามจึงได้ความว่า ตอนแต่งงานเงินไม่พอจึงไปขอกูเเงินที่อื่นมา ใช้หนี้ไม่ได้ และต้องเสียดอกเบี้ย จำนวนทั้งหมดรวมตั้งต้นดอกสามหมื่นบาท ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย เพราะไม่มีทางออก จึงทรงเห็นว่าจะช่วยเหลือ สุดท้ายก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้ เหมือนเป็นการช่วยชีวิต 

ตัวอย่างที่ ๔ 

เป็นคนข้างนอกพระราชวัง มาขอกู้เงินไปรักษาตาของลูกชาย หากไม่ได้ตาจะบอด จึงให้เงินไปสามหมื่นบ้านด้วยทรงสงสาร แต่ไม่ได้มารายงานใด ๆ ผ่านไปนาน วันหนึ่งบอกว่า่เรียบร้อยแล้ว แต่ขอบ้านอยู่ โดยไปสืบมาเรียบร้อยว่าบ้านหลังนั้นว่าง ขออยู่ฟรี ๆ  ทรงพิจารณาว่า ควรจะมีฐานะที่ควรจะเพิ่งตนเองได้ และหากให้ไปก็คงต้องมาขอค่าใช้จ่ายสำหรับบ้านอีก 

ตัวอย่างที่ ๕

มีพ่อค้าคนหนึ่ง มาเปิดโรงงานสับปะรดกระป๋องอยู่ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี สร้างโรงงานขนาดใหญ่ เมื่อสร้างเสร็จไม่นาน ปรากฎว่าสับปะรดที่บ้านบึงไม่พอ จึงต้องไปรับมาจากปราณบุรีซึ่งต้องเสียค่าขนส่งมาอีก ทำให้โรงงานต้องล้มไป ทรงยกตัวอย่างการทำโรงงานขนาดเล็กที่ทรงเคยทำที่ภาคเหนือ ลงทุนเพียงสามแสนบาท คอยรับผลผลิตจากชาวบ้านชาวเขามาใส่กระป๋องแล้วขาย ซึ่งได้ผลดีมาก ... ทรงแนะนำว่าการจะทำโครงการหรือโรงงานอะไรนั้น จะต้องคำนึงถึงขนาดที่เหมาะสมกับอัตภาพและสิ่งแวดล้อมด้วย 

ตัวอย่างที่ ๖

พ่อค้าตั้งโรงงานสำหรับแช่แข็งผลผลิตของชาวไร่ข้าวโพด อยู่ที่จังหวัดลำพูน ต้องการเฉพาะข้าวโพดที่มีคุณภาพ ไม่รับซื้อข้าวโพดที่ "ฟันหลอ" ทรงแนะนำว่า ทางโรงงานน่าจะรับซื้อเพื่อส่งเสริมและช่วยเหลือให้ชาวไร่สามารถปลูกข้าวโพดอย่างมีคุณภาพ โรงงานจะได้เจริญขึ้น แต่ทางโรงงานบอกไม่ได้ เพราะเครื่องจักรที่มีต้องใช้ข้าวโพดที่เหมาะสม ทรงไม่ได้คิดจะแช่งทางโรงงาน แต่ทรงระลึกในใจว่าโรงงานนั้นคงอยู่ไม่ได้ ในที่สุดก็ล้มไปจริง ๆ  

ทรงสรุปว่า "...จะทำโครงการอะไรจะต้องทำด้วยความรอบคอบและอย่าตาโตเกินไป... ถ้าเราทำโครงการที่เหมาะสม ขนาดเหมาะสม อาจจะดูไม่หรูหรา แต่จะไม่ล้ม หรือถ้ามีอันเป็นไปก็เสียหายไม่มาก..." 

จากพระราชดำรัสฯ ในช่วงตอนนี้ สรุป ต้นเหตุแห่งวิกฤตเศรษฐกิจ ได้ ๒ ประการหลัก ๆ คือ ๑) การก่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และ ๒) การทำโครงการหรือการลงทุนที่ไม่รอบคอบและเกินตัว(ตาโต)

ช่วงก่อนจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลายปี ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลายปีติดต่อกัน สื่อมวลชนต่างพยากรณ์ว่า ประเทศไทยจะเป็น "เสือตัวที่ ๕" แห่งเอเชีย ต่อจาก ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์  คาดกันว่าประเทศไทยจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค เม็ดเงินลงทุนมหาศาลจะย้ายฐานจากฮ่องกงที่สหราชอาณาจักร (อังกฤษ)กำลังจะส่งมอบคืนแก่จีนในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ทำให้รัฐบาลในขณะนั้นตัดสินใจเปิดเสรีทางการเงิน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นนำมาสู่วิกฤตเศรษฐกิจในอีก ๘ ปีต่อมา

เศรษฐกิจแบบพอเพียง

ในพระราชดำรัสฯ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ ทรงพระราชทานแนวทางการแก้ไขวิกฤตการณ์ด้วยแนวทางการพัฒนาประเทศด้วย "เศรษฐกิจพอเพียง" และ เป็นครั้งแรกที่ทรงใช้คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" ทรงอธิบายความหมายและชี้แนะแนวทางปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน

"...การเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตนเองได้ ให้พอเพียงกับตนเอง..." 

ทรงขยายความและยกตัวอย่างให้เข้าใจความหมายให้เข้าใจ ดังนี้ว่า

  • ความพอเพียงไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอเสื้อผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป 
  • บางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก ...อย่างน้อยในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร 
  • อย่างการปลูกข้าว บริโภคข้าวอะไรก็ควรจะปลูกข้าวนั้น เก็บไว้ในยุ้งเล็กให้พอกินตลอดปี มีที่เหลือนั้นก็สามารถปลูกขายได้ เช่น ชาวนาในภาคอีสาน ปกติกินข้าวเหนียว ก็ให้ควรปลูกข้าวเหนียว ...  แต่คนอื่นกลับบอกว่าคนปลูกข้าวเหนียวโง่ บอกว่าต้องปลูกข้าวหอมมะลิเพื่อเอาไว้ขายเพราะขายได้ดี แต่เมื่อขายแล้วพอจะบริโภคเองต้องซื้อ ต้องซื้อจากใครไม่รู้... 
  • ข้าวที่ปลูกไว้บริโภคเองไม่ต้องเสียค่าขนส่งใด ๆ  แต่ข้าวที่ซื้อต้องจ่ายค่าขนส่งด้วย แม้ไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่อาจมาจากต่างจังหวัด ราคาข้าวก็จะต้องบวกค่าขนส่งด้วย ทำให้ต้องซื้อข้าวราคาแพงกว่าปลูกเอง 
  • ในทางกลับกัน การปลูกข้าวหอมมะลิไปขาย อาจจะขายทั่วโลก ยิ่งจะต้องบวกค่าขนส่งเข้าไปในราคาข้าว ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการค้าขายก็บวกเข้าไปในราคาข้าว  แต่จะไปขายราคาแพงมากเกินไปก็ขายไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมาตัดราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกรให้ถูกลง เพื่อที่จะได้มีกำไรในการขาย  สรุปแม้ว่าข้าวหอมมะลิจะราคาแพง แต่เกษตรกรต้นทางก็ไม่ได้ค่าตอบแทนมากนัก 
  • ผู้ที่ได้ค่าตอบแทนมากคือพ่อค้า เพราะไม่ว่าจะไปซื้อข้าวที่ไหนก็ต้องจ่ายราคาตลาด เช่น หากเกิดภัยธรรมชาติที่เชียงราย จะซื้อข้าวไปช่วยเหลือต้องซื้อราคากรุงเทพฯ ข้าวอาจจะมาจากที่เชียงราย เพราะเชียงรายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่ง ต้องบวกราคาทั้งทั้งขนมาขนไป แต่ที่จริงซื้อข้าวที่กรุงเทพฯ แต่พ่อค้าจ่ายข้าวที่เชียงราย แต่ซื้อในราคา "เดินทาง" คือพ่อค้านำข้าวมาในนาม-ในเอกสาร เอกสารสั่งข้าวเท่านั้นที่เดินทางไป แต่พ่อค้าก็ยังบวกค่าขนส่งข้าวด้วย ... นี่คือลักษณะของ "เศรษฐกิจแบบค้าขาย" หรือ ฝรั่งเรียกว่า Trade Economy  ไม่ใช่ "เศรษฐกิจแบบพอเพียง"  ที่ฝรั่งเรียกว่า Self-Sufficient Economy 
ทรงชี้แนะว่า "...ถ้าสามารถเปลี่ยนไปทำให้กลับไปเป็นเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ต้องทั้งหมด แม้แค่ครึ่งหนึ่งก็ไม่ต้อง อาจจะสักหนึ่งส่วนสี่ ก็จะสามารถอยู่ได้ การแก้ไขอาจไม่ใช้เวลา ไม่ใช่ง่าย ๆ ...ถ้าทำตั้งแต่ตอนนี้ก็จะสามารถที่จะแก้ไขได้..." 

ทรงย้ำอีกครั้งว่า ในเมืองไทยนี้มีที่ดินกว้างขวางพอสมควร ภูมิประเทศยังเอื้อ ยังเหมาะสม แม้จะมีพลเมืองเพิ่มมากขึ้นมากก็ยังมีที่ดิน แต่ที่ดินส่วนมากเป็นที่ดินที่แร้นแค้น ที่ไม่ดี บางแห่งก็เปรี้ยว บางแห่งเป็นด่าง บางแห่งเค็ม บางแห่งก็ไม่มีดินคือเป็นดินดาน  ต้องมีการลงทุนสำหรับวิจัยและลงทุนสำหรับช่วยเกษตรกร คือต้องพยายามอุ้มชูประชาชนให้มีงานทำ ให้มีที่ทำกิน ให้มีรายได้ ก็จะเป็นผลให้ประเทศไทยรอดพ้นวิกฤตการณ์ได้ 

ทรงเน้นย้ำในช่วงท้ายของพระราชดำรัสฯ ว่า สำคัญคือต้องสามัคคีกัน ต้องทำงานด้วยการเห็นอกเห็นใจกัน และทำด้วยความขยันหมั่นเพียร จะต้องให้ทุกคนได้มีโอกาสทำงาน ทำงานตามหน้าที่ และต้องหวังดีต่อผู้อื่น 

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

บ้านสวนขวัญข้าว ๘ "ชิงช้าต้นสะเดา"

ความพยายามหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ มาเรียน+เล่น ที่สวนคือ "ชิงช้าต้นสะเดา" ดังรูป


ดูเด็ก ๆ เล่นชิงช้า ก็ดูเหมือนจะสนุกเพลินดี แต่มีปัญหานิดหนึ่งตรงที่ ความยาวของเชือกทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ทำให้ความถี่ในการแกว่งไม่เท่ากัน หรือ คาบเวลาของแต่ละรอบไม่เท่ากัน ทำให้การส่ายไปไม่เหมือนชิงช้าที่สนามเด็กเล่นของโรงเรียน



จากสมการในภาพ เชือกของชิงช้าต้นสะเดานี้ยาวประมาณ ๘ และ ๙ เมตร ตามลำดับ ยาวต่างกัน ๑ เมตร  คาบเวลา (T) จะต่างกันประมาณ ๐.๓๔ วินาที  จึงทำให้หัวท้ายส่ายหน่อย ๆ ตอนเล่น  แต่ก่อนเคยทำแบบเชือกเส้นเดียวแบบนี้ ... ปัญหาคือแกว่งไปหมุนไป เด็ก ๆ ไม่ชอบ


ผมยังคิดไม่ออกว่า จะแก้ไขปัญหาหเหล่านี้ยังไง ใครมีประสบการณ์ดี ๆ บอกทีครับ ....

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562

ชมรมตามรอยเท้าพ่อ_ (๖) ค่าย "ปั่นฮู้ปั่นฮัก มักเศรษฐกิจพอเพียง"

วันที่ ๒๓ - ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒  มีโอกาสไปร่วมค่ายกับชมรมตามรอยเท้าพ่อ ตอน "ปั่นฮู้ปั่นฮัก มักเศรษฐกิจพอเพียง"  ที่ โรงเรียนบ้านสองคอน ต.นาฝาย อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น เกือบติดเส้นแบ่ง จ.ชัยภูมิ ประมาณ ๓ ชั่วโมงรถยนต์จากมหาสารคาม  มีนักเรียนทั้งหมด ๓๗ คน มีครูประจำการเพียง ๒ คน ผม AAR ว่า ค่ายที่นิสิตจัดขึ้นบรรลุผลดีมาก และปัจจัยแห่งความสำเร็จสำคัญคือ การให้ความร่วมและความเมตตาจาชุมชนเป็นสำคัญ ... รายละเอียดต่าง ๆ ทั้งเป้าหมาย กิจกรรม กระบวนการ ฯลฯ นิสิตชมรมฯ คงได้รายงานต่อไป  ในบันทึกนี้ จะเขียนเฉพาะได้รู้ร่วมด้วยเท่านั้น

ถอดบทเรียน ปศพพ.  

ได้รับหน้าที่ให้พานิสิตชาวค่ายถอดบทเรียน  จึงนำเสนอวิธีการถอดบทเรียน ๒ แบบให้นิสิต ดังภาพด้านล่าง
  • แบบแรกเรียกว่า ๓-๒-๔ (อ่านว่า ๓ ห่วง ๒ เงื่อน ๔ มิติ) ประโยชน์ของการถอดบทเรียนแบบนี้ จะทำให้นิสิตจำได้และเข้าใจในคุณลักษณะของความพอเพียง 


  • อีกแบบหนึ่งเรียกว่า ๒-๓-๔  มีสองวิธี สำหรับการนำไปเป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตจริง วิธีแรกเรียกว่า 
    • พิจารณา ๒ เงื่อนไข ตัดสินใจ ๓ ด้วย ๓ ห่วง ระมัดระวัง ๔ มิติ สู่เป้าหมายสมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
    • พอเพียงคือ การใช้ความรู้คู่คุณธรรม อย่างรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง รายละเอียดดังภาพ 


ด้วยเวลาที่จำกัด จึง ใช้เทคนิค "คิดเดี่ยว" โดยใช้กระดาษ A4 ให้แต่ละคนถอดบทเรียนตนเอง โดยกำหนดภารหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น ฝ่ายสันทนาการ งานทาสีผนังโรงเรียน งานทำแปลงผัก เป็นต้น

เรียนรู้เกษตร "พอเพียง" พ่อมนตรี

กิจกรรมเรียนจากผู้รู้ ดูจากผู้มีประสบการณ์ แบบนี้ดีมาก ๆ  ขอเชียร์ให้ทางชมรมฯ ทำต่อไป ยิ่งทำบ่อย ๆ เจอผู้เชี่ยวชาญมาก ๆ  ยิ่งจะเพิ่มพูลปัญญานักปราชญ์ให้แก่ตนเอง   ... เสียดายตอนที่ผมไปถึง ขบวนของนิสิตกำลังเดินทางกลับจากไร่ของพ่อมนตรี (พ่อปราชญ์เกษตรอินทรีย์หนึ่งเดียวของคนระแวกนั้น) จึงไม่ได้เข้าไปกระตุ้นให้นิสิตเห็นความสำคัญให้มาก ๆ  ... อย่างไรก็ดี ทันทีที่ไปถึง ผมก็บึ่งไปเรียนรุ้จากท่านทันที และสรุปคลิปวีดีโอสิ่งดีมาฝากท่านครับ ... ขอขอบพระคุณท่านมาก ไว้ตรงนี้มาก ๆ ครับ








พ่อมนตรี ไม่ใช่เกษตรกรตอนเลือกอาชีพครั้งแรก ท่านเป็นช่างเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตเครื่องชงกาแฟ  ทำมาหากินในเมืองหลวง รายได้ก็ไม่ได้แย่ ได้มากพอสมควร เรียกว่าอยู่ได้สบาย ๆ  แต่วันหนึ่งเมื่อพ่อตาท่านป่วย ท่านและภรรยาจึงกลับมาดูแล (ความกตัญญูคือคุณสมบัติของคนดี) จึงได้มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตแบบเรียบง่าย ใกล้เชิงเขา มีคลองน้ำชลประธานไหลผ่าน ช่วงแรกก็ทำปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามที่คนทำกัน แต่ด้วยความมีปัญญาทั้งสามีภรรยา จึงเริ่มศึกษาและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่เป็นแปลงแรก

พืชเศรษฐกิจที่เลือกและได้ผลดีมากในขณะนี้คือฝรั่ง ท่านนำมาฝากที่ค่ายถุงใหญ่ ลงชิมแล้วอร่อย หวาน กรอบ (ชอบมาก) และทำร้านกาแฟสดที่ริมทางข้างถนนโค้งพอดี วิวสวยมาก  ที่น่าสนใจมาก ๆ คือ การปลูกผักโฮโดรโปนิคแบบอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี แต่ใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพและดินมูลใส้เดือนแทน

สรุปแล้ว สิ่งที่ทุกคนควรจะไปเรียนรู้จากท่านคือ กระบวนการทำปุ๋ยน้ำหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ท่านพบสูตรปุ๋ยดี องค์ประกอบที่สำคัญที่ต้องมีคือถั่วเหลือง และต้องเป็นถั่วเหลืองอินทรีย์ ซึ่งท่านปลูกเองด้วย ... ด้วยเวลาที่จำกัด  ไม่สามารถถอดบทเรียนท่านได้หมด ....โอกาสหน้าจะไปหาท่านใหม่

ความสามัคคีของชุมชน 

บรรยากาศแบบที่ได้ประสบพบเจอมิตรภาพและความร่วมมือที่ดีแบบนี้ จำได้ว่าไม่เห็นนานมากแล้ว  เหมือน ๒๐ ปีที่แล้วที่เคยทำค่ายอาสา ชาวบ้านเข้มแข็ง ร่วมมือ และเมตตา ดูแลนิสิตในค่ายเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านและคุณครูประจำการทั้งสองท่าน และชาวบ้านอาสา ... ผมสังเกตว่า นิสิตมีความสุข รู้สึกว่าค่ายประสบความสำเร็จ และมีพลังที่จะทำค่ายอาสาลักษณะนี้ต่อไป


บรรยากาศชาวบ้านมาร่วมด้วยช่วยเตรียมวัตถุดิบ  


ปลาจาระเม็ดที่โรงเรียนเลี้ยงไว้ ชาวบ้านลงสระนำมาทำอาหาร 


ภาพนี้ถ่ายก่อนเดินทางกลับ ขอเก็บไว้ในความทรงจำ (จะได้สืบค้นง่าย)
กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ 

กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ตามความต้องการของชุมชน ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "เป็นบุญ เป็นทาน เป็นการ เป็นงาน " คือการงานที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับค่ายอาสาแบบค่ายสร้างหรือค่ายอาสาแบบนี้













กิจกรรมสันทนาการ

ฝ่ายสันทนาการ เป็นงานสำคัญของการออกค่ายที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นสันทนาการแบบบูรณาการ "กระบวนการเรียนรู้" ด้วยแล้ว  ยิ่งจะทำให้ค่าย สนุก ทุกคนมีความสุข และเกิดงานสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าต่อจิตใจของผู้ไปร่วมค่าย









กิจกรรมรอบกองไฟ

กิจกรรมรอบกองไฟ ไม่ได้เริ่มหลังการจุดไฟ แต่เริ่มตั้งแต่การช่วยกันหาฟืน เตรียมการงานหน้ากองไฟ สิ่งที่เป็นหัวใจ ทำให้งานรอบกองไฟสนุกหรือไม่ ก็คือ การแสดงรอบกองไฟของแต่ละกลุ่ม และอีกปัจจัยในก็คือพิธีกรดำเนินกา (นิสิตจากชมรมครูคณิตมาร่วมด้วยช่วยกัน)... สนุกสนานมาก






ธรรมชาติอันสวยงาม

การไปร่วมค่าย ทุกคนย่อมได้อะไรมากมาย แตกต่างกันหลากหลาย แล้วแต่ความสนใจและคุณภาพของจิตใจของแต่ละคน เรียนมากรู้มาก ทำมากเกิดผลมา มีเหตุมากมีผลมาก มีเหตุน้อยผลย่อมน้อย ...  ผมขับรถสำรวจรอบพื้นที่ และไม่ลืมที่จะค้นหาความงามของธรรมชาติทั้งภายในและภายนอกของชุมชนระแวกนั้น







บายศรีสู่ขวัญ

ทำนุบำรุง "ศรัทธา" และ "ปัญญา" อันดีงามนี้ต่อไป ให้ถึงแก่น ทำพิธีกรรมนำให้ถึงใจ ขอชมเชยว่า ชมรมทำได้ดีมาก ๆ ครับ  ชาวบ้านท่านประทับใจมาก ๆ




ขอจบบันทึกด้วยภาพด้านล่างนี้ครับ  ขอบคุณสมาชิกชมรมตามรอยเท้าพ่อทุกคน ที่ได้ทำให้เสร็จสำเร็จแล้วซึ่งกิจกรรมอันช่วยสืบสานพระราชปณิธาน ในหลวง ร.๙ และประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามแห่งการเรียนรู้ของนิสิตนี้ ....  ปั่นฮูปั่นฮัก มักเศรษฐกิจพอเพียง บรรลุผลอย่างยิ่ง