ใครไม่ชอบอ่าน ดูคลิปเองได้เลยครับ
วิธีเลือกซื้อที่ดินเพื่อทำการเกษตร
- ถ้าต้องการดินดี ให้เลือกที่ที่มีหญ้า ยิ่งหญ้าสูงแสดงว่าดินอุดมสมบูรณ์ หรือถ้ามีต้นไม้ยิ่งดี
- ดินดีไม่ดี ไม่ใช่สาระสำคัญ ภายใน ๑-๒ ปี เราสามารถพัฒนาดินได้ (ถ้ามีน้ำ)
- ให้ดูเรื่องน้ำ น้ำสำคัญที่สุด ถ้ามีบ่ออยู่แล้ว ให้เช็คดูว่ามีปริมาณน้ำมากไหม ถ้าพื้นที่ไม่มีบ่อ ให้ดูพื้นที่รอบ ๆ ซึ่งมักจะมีระดับน้ำใต้ดินเท่า ๆ กัน หรือ ถ้าอยู่ใกล้ แม่น้ำ ลำคลอง คลองส่งน้ำ ก็ใช้ได้เช่นกัน
- ที่ไม่มีน้ำ ราคามักจะถูก
- แต่มีข้อจำกัดมากในการพัฒนาที่
- ให้ดูว่าถนนทางเข้ามีไหม ถ้าเข้าไม่ได้ ต้องคิดเผื่อว่าการซื้ออีกเท่าใดจึงจะมีถนนเข้า
- ทางเข้าควรเป็นทางสาธารณะ
- ต้องคุยกับเจ้าของที่ดี ๆ ว่า ถนนที่เข้าถึงขณะนั้นเป็นถนนสาธารณะไหม ถ้าไม่ มักมีปัญหาภายหลัง
- ต้องกว้างพอสมควร เพราะต่อไป อาจต้องขนดินเข้า-ออก ฯลฯ จะปวดหัวภายหลัง
- ให้คิดถึง ไฟฟ้า ไกลจากเสาไฟฟ้ามากเท่าใด ต้องคิดเผื่อค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย
- ถ้าไกลเกิน ๒๐ เมตร เราต้องซื้อเสาเอง
- ต้องศึกษาก่อนด้วยว่า เพื่อนบ้านเป็นอย่างไร ของหายบ่อยไหม เคยมีหรือกำลังมีปัญหาอะไรไหม
- ให้เลือกที่ที่เป็น โฉนดเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ นส.๓ สค.๑ เป็นอันดับสอง พื้นที่ ททบ.๕ เป็นอันดับต่อไป
- ที่ที่ไม่ควรซื้อคือ ที่ สปก. หรือที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์
- เพราะชื่อคนใน สปก. ไม่สามารถซื้อขายโดยถูกกฎหมาย ต่อสู้กันในศาลไม่ได้ ทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้เลย ให้เช่าก็ไม่ได้
- ระวังปัญหาเรื่องเขตแดน ในขณะที่กำลังซื้อที่ ในวันรังวัด ให้ปักหลัก ปักเสารั้วเลย จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
การออกแบบแปลงเกษตร
การออกแบบสำคัญมาก ๆ หลังจากซื้อที่ได้แล้ว เราต้องมาออกแบบพื้นที่ก่อน
- อย่าทำแบบได้อะไรมาก็ปลูก ๆ ไว้ก่อน เพราะที่ที่มักจะมาสร้างบ้าน มักจะเป็นที่ที่ต้นไม้โตดีที่สุด
- ให้ดูวัตถุประสงค์ของเราเองว่า ต้องการใช้พื้นที่ทำอะไร เพื่ออะไร ... เจ้าของที่ (คนที่จะอยู่/ใช้ประโยชน์) ต้องเป็นคนตัดสินใจเอง เช่น จะทำเป็น...
- ที่อยู่แบบพึ่งตนเอง
- เป็นนา
- เป็นรีสอร์ท
- เป็นป่า เพื่อลงทุน
- ฯลฯ
- ต้องออกแบบเพื่อความมั่นคงในอนาคต
- ไม่ควรให้ใครเช่า เพราะดินเสีย ที่เสียหมด
- ให้คิดถึงว่า ถ้าเราเกษียณ ควรจะมีบำนาญ คือ ควรมีโซนป่าไม้เนื้อแข็ง
- ปลูกให้ถี่ ๆ ประมาณ ๕๐๐ ต้น ต่อหนึ่งไร่
- พอต้นไม้รอด ให้ไปขึ้นทะเบียนไว้ จะใช้เวลาประมาณ ๒ ปี
- อย่าเพิ่งโอนให้ลูกหลาน ... ลูกหลานจะคอยดูแลเราไปเรื่อย ๆ
- ถ้าคิดว่า ทำเป็นที่อยู่อาศัยด้วยและอยู่กับกสิกรรมธรรมชาติ จะต้อง มีบ้าน มีสระน้ำ มีนา มีสวนผัก สวนผลไม้ มีป่า ควรจะออแบบเป็นโซน ๆ โดยพิจารณาจาก ...
- ดูลักษณะของดิน
- ดินเหนียว เหมาะสำหรับการขุดสระ แต่ปลูกผักยากมาก แต่ต้นไม้ชอบ
- ดินทราย ผักจะชอบ โดยเฉพาะพวกพืชหัวทั้งหลาย
- ดินที่ดีคือดินร่วนปนทราย เพราะอุ้มน้ำได้ ไม่แชะ มีสารอาหาร
- ดินหินลูกรัง รากพืชแม้แต่ไม้ใหญ่ก็ลงลึกไม่ได้
- ดูระดับสูงต่ำของพื้นที่
- อย่าไปสร้างบ้านไว้ที่ต่ำ เดี๋ยวน้ำท่วมได้
- ที่สูงควรสร้างบ้าน วิวดี มีลมผ่าน
- ที่ต่ำควรจะเป็นสระ หรือ ทำแปลงนา
- ดูทิศทางลม ทิศทางแดด ทิศทางฝน
- ที่ที่ควรสร้างบ้านคือที่ที่ทำอย่างอื่นไม่ได้ เช่น เป็นหินลูกรัง ฯลฯ
- บางคนชอบสังสรรค์ หรืออยากจะทำร้านค้าขาย ให้สร้างติดถนน
- บางคนชอบเงียบ มีพื้นส่วนตัว ต้องทำบ้านห่างถนน
- ถ้าพื้นที่ไม่สูง ให้ถมที่สร้างบ้านให้สูง ๆ เลย
- ถ้ายังไม่พร้อมสร้างบ้าน ให้ถมที่ไว้ก่อน
- ที่ที่ควรขุดสระ
- ควรเป็นที่ต่ำสุด และเป็นดินเหนียว ขุดให้ถึงตาน้ำ
- ไม่ควรขุดที่สูงเลย เพราะจะเก็บน้ำไม่อยู่
- ให้คิดถึงการใช้ประโยชน์อย่างอื่นด้วย เช่น
- เลี้ยงปลา...ต้องขุดให้มีไหล่สระลึกไม่เกิน ๑ เมตร เพื่อให้แสงแดดส่องถึง จะได้เกิดระบบนิเวศในน้ำ ปลาจะมีแพลงตอน สาหร่ายต่าง ๆ เป็นอาหาร เช่น การขุดสระในนาข้าว ก็จะทำให้ปลาโตเร็ว
- ถ้าเป็นดินเหนียว ให้ขุดให้ลึกเลย ให้ถึงตาน้ำ ๕ เมตรขึ้นไป
- ให้ขุดร่องรอบพื้นที่เราให้ไหลลงสระให้หมด
- ตอนขุด ให้กำกับให้คนขุดเอาหน้าดินไปไว้ในพื้นที่สวน เอาดินเหนียวไปไว้พื้นที่ปลูกบ้าน
- สระให้อยู่ใกล้บ้านและสวน เพราะจะทำให้บ้านเย็นสบาย และใช้น้ำรดผัก
- ที่ทำถนน
- ให้สร้างรอบเขตที่ของเราเลย เป็นทั้งถนนและแนวกันไฟ กันยาฆ่าแมลง
- ขอบถนนเขตแดน ไม่ควรปลูกต้นไม้ใหญ่ เพราะจะกระทบกระทั่งกับพื้นบ้าน
- ขอบถนนฝั่งในของเรา สามารถปลูกไม้ใหญ่ได้ อย่าให้กิ่งไปไกลถึงเขตแดนได้
- ให้ทำถนนเข้าถึงทุกพื้นที่ของเราเลย ถ้าพื้นที่กว้าง ต้องทำถนนมา
- ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรง แล้วแต่คนชอบ เช่น ถนนคดเคี้ยวไปมา หากสร้างบ้านพักโฮมสเตย์ จะทำให้รู้สึกอยู่ไกลกัน
- โซนที่ ๑ บ้าน
- เอาไว้สร้างบ้าน
- มีสระน้ำส่วนหนึ่ง
- มีพื้นที่เลี้ยงสัตว์
- ต้องไม่ใกล้บ้านเกินไป เพราะกลิ่นเหม็น และเสียงรบกวน อย่างน้อยต้องประมาณ ๓๐ เมตร
- แต่ก็ไม่ไกลเกินไป เพราะถ้ามีอะไรมากินเป็ดไก่ จะไม่ได้ยิน
- โซนที่ ๒ สวน
- ไม่ควรอยู่ไกลบ้าน ควรจะอยู่ใกล้บ้านที่สุด เพราะ...
- สะดวกในการนำเศษอาหารไปเทปุ๋ยหมัก
- สะดวกในการเก็บมากิน ผักต้องอยู่ใกล้ครัวที่สุด
- สะดวกต่อการดูแล รดน้ำ รักษา ...
- ไม่ควรเป็นพื้นที่ใหญ่เกินไป เพราะจะดูแลไม่ไหว ใช้เวลานานเกินไป เหนื่อยเกินไป ไม่ควรเกินครึ่งไร่
- โซนที่ ๓ ที่นา ที่เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าว ถั่ว งา มัน ข้าวโพด แตง ฯลฯ
- ไม่อยากให้ทำนาเกิน ๑ ไร่ ต่อครอบครัว เพราะคน ๖ คน กินข้าวแค่ประมาณ ๖๐๐ กิโลกรัมเท่านั้น ... ทำนาดี ๆ ทำไร่เดียวได้ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม
- โซนที่ ๔ สวนผลไม้
- อย่าให้อยู่ใกล้บ้าน เพราะ
- ผลไม้ ใบ หล่นลงหลังคา จะนำปัญหามาให้
- จะทำให้ยุ่งเยอะ หนูเยอะ งูก็เยอะ
- สวนผลไม้ควรจะอยู่ห่างบ้านออกไป ไปอยู่หลังโซนที่ ๓
- ให้มีความหลากหลายของผลไม้มาก ๆ ให้มีผลไม้ทุกชนิดอยากกินและปลูกได้เลย เช่น ฝรั่ง มะละกอ ฯลฯ
- อย่าปลูกถี่กัน จนกิ่งหรือทรงพุ่มชนกัน เพราะผลไม้จะไม่ออกผลเลย ควรจะต้องห่างกันมากกว่า ๖ เมตร
- ในสวนผลไม้ ใต้ร่มไม้ ให้ปลูกพืชประเภทหัวต่าง ๆ เช่น เผือก มัน ฯลฯ หรือสมุนไพรต่าง ๆ
- โซนที่ ๕ สวนป่าใช้สอย
- ให้มีไม้ไผ่ อย่างน้อย ๔-๕ สายพันธุ์ เช่น ไผ่ซาง ไผ่เลี้ยง ไผ่บ้าน ไผ่สีสุก ฯลฯ
- ให้มีไม้หลายชนิด ยางนา พยุง สัก กบก หว้า ลูกหยี กันเกา ฯลฯ
- โซนที่ ๖ สวนป่าอนุรักษ์พันธุกรรม
- โซนนี้ปลูกสิ่งที่เราต้องการรักษาพันธุ์ โดยเฉพาะสมุนไพร
จริง ๆ แล้ว หากท่านดูคลิปด้วยตนเอง จะมีเคล็ดเกล็ดวิชามากมาย ที่ผมไม่ได้เขียนถึง ... ดังนั้น จึงอยากให้ท่านผู้สนใจ ดูคลิปนั้นด้วยตนเองจะดีกว่า
ผมวาดภาพเพื่อแสดงความคิดรวบยอดจากองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้จากการฟังคลิปนี้ดังภาพครับ ขอขอบคุณผู้อัดคลิปวิดีโอและนำมาเผยแพร่มาก ๆ ครับ .... ผมน่าจะประหยัดเงินได้หลายหมื่นบาททีเดียว ถ้าเทียบกับการเดินทางไปร่วมคลาสที่ "รังโจน"
ผิดถูกอย่างไร ขออภัยไว้ และยินดีแก้ไขทุกเมื่อครับ โพสท์ไว้ได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น