วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ถอดบทเรียนจากการฟัง "มาร์ติน วีลเลอร์" " : เส้นความพอเพียง

ผมฟังคุณมาร์ติน วีลเลอร์ มาไม่น้อย (ผ่านยูทูป ไม่เคยเจอตัวจริง..)  แต่ที่ประทับใจที่สุดคลิปสองคลิปนี้ (คลิปที่ ๑คลิปที่ ๒) เพราะการสะท้อนจากคนที่เกิดในลอนดอน อยู่อังกฤษ ๓๐ ปี จากประเทศที่เป็นต้นแบบด้านประชาธิปไตย และจากคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านชนบท จ.
  • มาร์ติน วีลเลอร์ มาจาก อังกฤษ อาศัยอยู่ลอนดอน ๓๐ ปี 
  • มาอยู่เมืองไทย ๑๘ ปีกว่า (ขณะที่พูดปี ๒๕๕๔) ได้ภรรยา ๑ ลูก ๓ คน  คนแรกลูกชาย ๑๖ ปี (ตอนนนี้ ๒๑ ปี) คนที่สองเป็นลูกสาว ๑๔ (๙๕) ปี เรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์  คนสุดท้ายเป็นลูกชาย ๘ ขอบ (ตอนนี้ ๑๓ ปีแล้ว) 
  • มาประเทศไทยครั้งแรก ต้องการมาเที่ยว วางแผนว่าจะมาเที่ยวไทย ไปพม่า ต่อไปบาหลี และจะไปอยู่ที่ออสเตรเลีย... แต่มาประเทศไทยเพียง ๒ เดือน (ประเทศแรก) เงินหมด...เหลือ ๕๐๐ ่บาท 
  • ไปซื้อเทคไทด์ ร้องเท้า และกระเป๋าเอกสาร ไปสมัครงานได้เป็นครูสบาย ๆ  ได้เงินเดือนตั้ง ๓๐,๐๐๐ กว่าบาท ....  เพราะคนไทยให้เกียรติและยกย่องฝรั่งมาก  คืออาศัยช่องโหว่ที่คนไทยใส่ใจและดูแลคนอื่นทั้งหมด ยกเว้นตนเอง 
  • ก่อนจะมาเจอคุณรจนา ภรรยา ลูกชาวนาที่ไปทำมาหากินที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ ๑๓ ปี 
  • วันแรกที่ไปเยี่ยมบ้านแม่ยาย ที่อีสาน บ้านเกิดของรจนา อยู่ที่ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เกิดความประทับใจที่สุด 
    • ชาวบ้านที่อยู่อีสาน ดีกว่า ชาวบ้านที่อังกฤษมาก ๆ  ชาวบ้านที่อังกฤษไม่มีบ้านของตนเอง
    • ชาวบ้านที่อังกฤษอยู่เคหะ ถ้าอยากมีบ้าน (แคบ ๆ) ต้องใช้หนี้เป็น ๒๕-๓๐ ปี แต่ที่อีสานมีบ้านเป็นของตนเองทุกคน  
    • ที่อีสานมีที่ทำกิน (ครอบครัวภรรยา มีตั้ง ๔๗ ไร่) ในขณะที่คนอังกฤษ คนที่มีที่ทำกินมีเพียง ๐.๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 
    • ไม่มีลักเล็กขโมยน้อย บ้านช่องห้องเรือนไม่ต้องมีกุญแจใดๆ ปล่อยไว้โล่ง ๆ ก็ไม่มีปัญหา 
    • และที่ประทับใจที่สุดคือ นิสัยของคนไทยอีสาน ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน พึ่งพาอาศัยกัน ... มาร์ตินเรียกว่า เป็นสวรรค์เลยทีเดียว 
  • คนอังกฤษเกือบทั้งหมดเกิดในเมือง มีอาชีพรับจ้าง ขึ้นอยู่กับว่าจะรับจ้างสูงหรือรับจ้างต่ำ บรรพบุรุษของมาร์ติน วีลเลอร์ สืบต่อมากว่า ๒๐๐ กว่าปี ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร รับจ้างมาชั่วโคตร ... ลูกของมาร์ติน เป็นลูกหลานรุ่นแรกที่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง 
  • มาร์ติน เปลี่ยนใจไม่ไปไหน ลงมือทำนา ทำการเกษตร กอปรกับได้เรียนรู้ศาสตร์พระราชาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากบ้านภรรยาเป็นหมู่บ้านต้นแบบของ "หมู่บ้านของเศรษฐกิจพอเพียง"

  • มาร์ตินบอกว่า ขณะนี้คนไทยเอาเป็นเอาตายจริง ๆ กับเรื่องการเมือง แต่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับเรื่องอื่น ๆ  กลับกันกับฝรั่ง ที่จะเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องการเมือง 
  • อังกฤษเป็นแม่แบบของประชาธิปไตยไทย มีระบบรัฐสภามากว่า ๓๖๐ ปี ...ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด คนรวยก็รวยเหมือนเดิม ชาวบ้านก็เป็นชาวบ้านเหมือนเดิม  
  • แนวทางพัฒนาที่ชัดเจนที่สุดคือ เศรษฐกิจพอเพียง 
  • คนไทยส่วนใหญ่ยังจับประเด็นไม่ถูกเลย ... เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ลาออกจากราชการไปเลี้ยงควายที่บ้าน ... เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ไปทำการเกษตร ไปทำนา.....
  • เศรษฐกิจพอเพียง คือ ต้องขีดเส้นให้ตนเองได้ ความพอเพียงของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนต้องรู้จักขีดเส้นให้ตนเองได้ มีอาชีพอะไรก็ทำอาชีพนั้นไป แต่ให้รู้จักพอ 
สะท้อนการเรียนรู้และประทับใจ
  • ประเทศที่พัฒนาเจริญรุ่งเรือง และเป็นต้นแบบด้านประชาธิปไตย  ชาวบ้าน (ประชาชน) ไม่ได้มีความสุขมากมากกว่าประเทศไทย 
  • ระบบประชาธิปไตย แบบมีรัฐสภา ของประเทศอังกฤษที่จัดว่าพัฒนาสุดยอดแล้ว ไม่ใด้ช่วยให้เกิดความเสมอภาคทางเศรษฐกิจเลย ยิ่งทำให้เกิดการผูกขาดของชนชั้นรวย-จนมากขึ้น 
  • ชาวบ้านในประเทศไทยร่ำรวยกว่าชาวบ้านที่อังกฤษ  มีบ้าน มีที่ดินทำกิน  คือ พออยู่ พอกิน มากกว่า
  • ทุกอย่างเป็นไปดังที่ในหลวง ร.๙ ทรงกล่าวไว้ .... ประเทศที่พัฒนาอย่างมาก มีแต่ถอยหลัง ... ประเทศไทยเป็นประเทศที่มั่งคั่ง และเป็นจุดยุทธศาสตร์ ....  
...............................................................................................................
พวกนักก๊อปปี้ประชาธิปไตย จะฟังเข้าใจ ประสบการณ์จากมาร์ติน วีลเลอร์ บ้างไหมนะ 

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ว่าที่นายกคนใด? เข้าใจ "เศรษฐกิจพอเพียง" มากที่สุด

สิ่งที่จะเขียนตีความไว้ในบันทึกต่อไปนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ "ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์"  เป็นเพียงสิ่งที่ผมสังเคราะห์คิดจากการวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้อ่าน (ซึ่งได้อ้างอิงไว้ให้ท่านคลิกไปอ่านเองได้) โดยใช้ความเข้าใจเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของตนเองเป็นกรอบ ... ชอบหรือใช่อย่างไร น่าจะเป็นเรื่องที่เราควรจะนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันให้กว้างขวางกันให้มากในช่วงเวลาใกล้จะเลือกตั้ง ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ นี้

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไรในความเข้าใจของผม

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) คือ หลักคิดและหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตที่ต้องใช้ความรู้คู่คุณธรรม (ดูสมการความพอเพียงที่นี่) ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานให้คนไทยทุกระดับ 
  • ระดับบุคคล/ครอบครัว  ปศพพ. เป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติในการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน การทำงาน และการประกอบอาชีพ ภายใต้เงื่อนไขแห่งการใช้ความรู้และคุณธรรม (๒ เงื่อนไข) และตัดสินใจด้วยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง
    • รอบรู้ รู้จักตนเอง/ครอบครัว รู้จักศักยภาพของตนเองและครอบครัว ... พอประมาณกับตนเอง
    • รอบคอบ...มีเหตุผลบนความถูกต้อง
    • ระมัดระวังต่อผลกระทบหรือการเปลี่ยนแปลงอันจะเกิดขึ้น... การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตนเอง
  • ระดับชุมชน/สังคม  ปศพพ. คือหลักคิดและหลักปฏิบัติแห่งการอยู่ร่วมกันอย่าง "รู้ รัก สามัคคี" และมีความ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" อย่างต่อเนื่อง
    • รู้ คือ รู้จักจักชุมชน/สังคมของตนเอง เข้าใจ ใช้ความรู้ ใฝ่รู้ เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ 
    • รัก คือ เข้าถึง รู้จริง จริงใจ หวังดี เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน รักและภูมิใจในท้องถิ่น ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาของท้องถิ่น 
    • สามัคคี คือ ร่วมมือ ร่วมใจกัน (เน้นระบบสหกรณ์)
  • ระดับประเทศ ปศพพ. คือ หลักคิดและหลักปฏิบัติในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้เกิดความยั่งยืน สมดุลพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางวัตถุ/เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม 
    • วัตถุ/เศษฐกิจ -> ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พัฒนาประเทศให้มีระเศรษฐกิจพแบบ "เศรษฐกิจพอเพียง"
    • สังคม -> สามัคคี ร่วมเย็น พออยู่ พอกิน เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน 
    • สิ่งแวดล้อม -> เห็นคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
    • วัฒนธรรม -> เห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในวัฒนธรรม เกิดการรักษาและพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ สืบสานขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ 
ว่าที่นายกแต่ละท่านที่สำคัญ ๆ

ลองอ่านประวัติหรือความคิดอ่านจากประวัติ/บทสัมภาษณ์ของผู้ถูกเสนอเชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคที่สำคัญ ๆ  ดังต่อไปนี้ พลเอกประยุทธ จันโอชา (ที่นี่) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ที่นี่) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ที่นี่) คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (ที่นี่) และคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ที่นี่)  แต่ละท่านมีลักษณะเด่น ๆ 
  • พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 
    • เป็นคนตั้งใจเรียน มีระเบียบวินัยสูงตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน ขยันอ่านหนังสือ(เรียน) เป็นคนสม่ำเสมอ 
    • อยากเป็นทหารบกเหมือนพ่อตั้งแต่ยังเด็ก 
    • จงรักภักดี มีวินัยสูง 
    • ท่านบอกว่า จะนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา มาใช้ในการพัฒนาประเทศตามแผน ๒๐ 
  • นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
    • อยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่ตอนอายุเพียง ๙ ขวบ จากเห็นการสะเทือนใจจากข่าว ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖  เป็นลูกหมอ  ชอบติดตามข่าวสาร อ่านมาก 
    • เรียน จบ ป.ตรี ด้านปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ป.โท เศรษฐศาสตร์ เป็นคนเรียนเก่งมาก
    • ท่านบอกว่า จะเน้นที่การพัฒนาคน ปฏิรูปการศึกษา พัฒนาอย่างยั่นยืน 
  • คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 
    • จบ ป.ตรี ด้านพาณิชย์ศาสตร์และบัญชี จบ.โท MBA จบ ป.เอก ด้านพระพุทธศาสนา เป็นลูกสาวคนเดียว ทำธุรกิจเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์สัญญาณสื่อสาร 
    • ทำงานการเมืองมายาวนาน หลากหลายตำแหน่ง เริ่มตั้งแต่การเข้าพรรคพลังธรรม โดย พล.ตรี จำลอง ศรีเมือง 
    • ท่านเน้นว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นไปทาง "กระเป๋าตุง"
  • คุณชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ 
    • เรียนเก่งมาก จบ ป.ตรี  ป.โท ป.เอก วิศวกรรมโยธา เรียนเก่งมาก ๆ (ดูที่นี่) เชี่ยวชาญเรื่องการคมนาคม ขนส่ง ลอจีสติก  และเศรษฐกิจ
    • เป็นนักอ่าน โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความก้าวหน้า
    • เป็นนักธุรกิจ เคยเป็นอาจารย์ 
    • ท่านเน้นเรื่อง Sense of urgency จะปฏิรูปการทำงานของระบบราชการ 
  • คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
    • เรียนจบ ป.ตรี ป.โท วิศวกรรม (แบบแทบไม่ได้เข้าเรียน) เป็นลูกเศรษฐีที่มีจิตใจอยากจะทำงาน NGO 
    • เป็นนักกิจกรรม เป็นอุปนายกนักศึกษาที่ ม.ธรรมศาสตร์ และเคยไปลุยต่อสู้กับม๊อบคนจนต่าง ๆ
    • เป็นนักอ่านหนังสือ อ่านมาก ก่อนจะมาทำธุรกิจด้วยความจำเป็น ได้ศึกษาและศรัทธางานของมาร์กซิส เลนิน งานฝ่ายซ้ายจัด 
    • ทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอาไหล่รถจักรยนต์ รถยนต์ 
    • เน้นเรื่องประชาธิปไตยและการสร้างรายได้ในระบบทุนนิยมโลก
วิเคราะห์ความเข้าใจของนายกแต่ละท่าน

หลังจากอ่านศึกษาอยู่หลายชั่วโมง ผมสรุปว่า ไม่มีใครเลยที่ "อิน" และศรัทธา หรือเข้าใจในเจตนารมณ์การเกิดมาของ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ตามความหมายที่ผมกำหนดกรอบไว้เบื้องต้น  แม้แต่พลเอกประยุทธ์ ซึ่งเป็นเพียงท่านเดียวใน ๕ ท่านนี้ ที่พูดถึง "เศรษฐกิจพอเพียง" ว่า จะพัฒนาประเทศโดยนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนา แต่อ่านดูแล้วท่านเองก็คงจนปัญญากับการทำให้ประเทศไทยหนีจากกระแส "ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี" ของโลก กลับมาสู่ "ระบบเศรษฐกิจำพอเพียง" ตามพระราชดำริของในหลวง ร.๙ ได้.... 

....อืม...... ท่านว่าไงครับ

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

การศึกษาเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (๒): ผลลัพธ์ของการศึกษาที่ไม่ยั่งยืน "ระดับครอบครัว"

ผมกำลังอ่านผลการวิจัยของนิสิตระดับปริญญาเองท่านหนึ่ง ท่านกำลังศึกษาว่า การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียน  การสำรวจข้อมูลการดำเนินชีวิตของนักเรียนในระดับครอบครัว พบสิ่งที่น่าสนใจ ที่แสดงถึงผลแห่ง "การศึกษาที่ไม่ยั่งยืน" อันจะยืนยันได้ชัดเจนว่า การขับเคลื่อน "โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่นักการศึกษาไทย ต้องน้อมมาใส่ใจอย่างจริงจังเร่งด่วน

ข้อความตอนหนึ่งในเล่มรายงานการวิจัย เขียนว่า ....

... จากการทราบข้อมูลในครอบครัวของนักเรียน (ว่า) ...การดำเนินชีวิตยังมีการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ... มีการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็นกันแทบทุกครัวเรือน ผักสวนครัวทั้งที่ปลูกเองได้ก็ไม่ปลูกทั้งที่มีพื้้นที่ว่าง ๆ อย่างข้างบ้าน ต้องซื้อแทบทุกอย่าง นักเรียนจำนวนมากไม่ค่อยรู้จักพืชผักสวนครัวและไม่เคยปลูก ไม่รู้ขั้นตอนการปลูก ทำให้ต้องซื้อจากตลาด ในการประกอบอาหารพืชผักสวนครัวบางอย่างซื้อมาแล้วต้องใช้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือก็เหี่ยวแห้งทิ้งไป....

รายงานฉบับนี้บอกว่า

  • เกือบทุกครัวเรือนซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย
  • นักเรียนส่วนใหญ่ (แม้จะอยู่ในโรงเรียนนอกเมืองใหญ่) ไม่รู้จักพืชผักสวนครัว ปลูกไม่เป็น 
  • ซื้อผักจากตลาด ... (ซึ่งมีสารพิษ)
ลองพิจารณาข้อมูลจากโครงการอาหารและยา  ที่บอกว่าประเทศไทย (อ่านจากที่นี่)
  • มีพื้นที่เพาะปลูกมากเป็นอันดับที่ ๔๘ ของโลก 
  • ใช้ยาฆ่าหญ้ามากเป็นอันดับ ๔ ของโลก 
  • ใช้ยาฆ่าแมลงมากเป็นอันดับ ๕ ของโลก มากเป็นอันดับ ๑ ของอาเซียน
  • เด็กเกิดพิการถึงร้อยละ ๘ ในขณะที่ยุโรปมีเพียงร้อยละ ๒ 
  • ฯลฯ
และทุกท่านคงทราบกันดีว่า ขณะนี้ จำนวนผู้ป่วยด้วยมะเร็งร้ายเพิ่มขึ้นมากมายเพียงใด ดังนั้น เรื่องเร่งกด่วนที่สุดของประเทศนี้คือ เรื่องอาหารปลอดภัย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไปเริ่มที่โรงเรียน

โรงเรียนที่ขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ควรจะสร้างกระบวนการเรียนรู้ทักษะชีวิตอย่างจริงจัง ตามแนวทางที่ทรงแนะนำไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก คือ โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ...  ผมกำลังค้นหาว่า มีโรงเรียนแบบนี้อยู่ที่ไหนบ้างในเมืองไทย  ผมพบแล้วที่หนึ่ง คือ โรงเรียนบ้านหนองผือ ... จะไปดูให้เห็นกับตาสักวัน

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

การศึกษาเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (๑): ความเหลื่อมล้ำ

ความเหลื่อมล้ำ

โฆษกกรรมาธิการร่างกฎหมายกองทุนเพื่อความเสมอภาค เล่าว่า  (ดูเองที่นี่ครับ) ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็นความเหลื่อมล้ำย่อย ๆ หนึ่งในสังคม ในภาพรวมความเหลื่อมล้ำทั้งหมด ประเทศไทย จัดเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากเป็นอันดับ ๓ ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดียเท่านั้น
  • ด้านรวย-จน... ถ้าแบ่งคนไทยออกเป็น ๑๐ กลุ่ม เรียงจากกลุ่มรวยสุดไปกลุ่มจนสุด พบว่า รายได้ของกลุ่มรวยสุด มากกว่ากลุ่มจนสุดถึง ๒๒ เท่า 
  • ด้านการครอบครองที่ดิน ... ถ้าแบ่งกลุ่มคนออกเป็น ๕ กลุ่ม เรียงจากมีที่ดินมากสุดไปน้อยสุด พบว่า คนกลุ่มแรกครอบครองที่ดินถึงร้อยละ ๘๐ ของที่ดินทั้งหมด  ส่วนคนกลุ่มล่างสุดครอบครองที่ดินเพียงร้อยละ ๐.๒๕ เท่านั้น นั่นคือแตกต่างจากกลุ่มแรกถึง ๓๒๐ เท่า 
  • ด้านการศึกษา ...  กลุ่มคนที่รวยที่สุดจะส่งลูกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยร้อยละ ๑๐๐ ส่วนคนกลุ่มจนสุด มีลูกเรียนมหาวิทยาลัยเพียงร้อยละ ๕ เท่านั้น  แตกต่างกันถึงเกือบ ๒๐ เท่า 
ท่านบอกว่า มีงานวิจัยชี้ว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีแนวโน้มจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความเหลื่อมล้ำอื่น ๆ  เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือดี ๆ จึงสอบเรียนต่อไม่ได้ เมื่อเรียนต่อไม่ได้ เลยได้งานทำที่รายได้ไม่ดี เมื่อรายได้น้อยจึงไม่สามารถจะดูแลตนเองครอบครัวให้ดี เมื่อมีลูกก็จะไม่สามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ได้ วนแบบนี้ไปเรื่อย ทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ๆ 

วิธีการแก้ปัญหาที่เป็นความหวัง คือ การจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อเข้าไปอุดหนุนกลุ่มคนจนสุดร้อยละ ๑๐ นั้น ให้ได้รับการศึกษาที่ดี ซึ่งมีผลการวิจัยรองรับทั้งในไทยและเทศ ในประเทศไทยผลงานวิจัยบอกว่า ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลตอบแทนถึง ๘-๑๒ บาท ต่อ ๑ บาททีเดียว (ในอเมริกา พบว่า ได้ผลตอบแทนคืนมา ๗ ดอลลาร์ ต่อ ๑ ดอลลาร์)  นั่นคือ เงินที่จะลงทุนไปกับกองทุนดังกล่าวปีละ ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท จะได้เงินกลับมามากกว่า ๒ แสนล้านทีเดียว... กฎหมายฉบับนี้ได้ประกาศใช้ในราชกิจาณุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยรัฐบาลอนุมัติเงินตั้งต้น ๑,๐๐๐ ล้านบาท เรียกว่า "พ.ร.บ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑"

สาเหตุของความเหลื่อมล้ำ

สาเหตุของความเหลื่อมล้ำภายนอก คือ "ระบบ" ก็คือ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี ที่ส่งเสริมความเจริญทางด้านวัตถุ "วัตถุนิยม"  พิจารณาให้ลึกไปในจิตใจของมนุษย์ จะพบว่า  ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นภายในจิตใจของคน คือ
  • ขาดความรู้ ขาดองค์ความรู้ โดยเฉพาะองค์ความรู้ทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ ผู้ที่เป็นเจ้าของความรู้สามารถสร้างและกำหนดราคาของนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์สูงมาก ... ไม่รอบรู้ ไม่ใช้ความรู้
  • ขาดคุณธรรม ไม่ซื่อสัตย์ (คดโกง) ไม่มีความเพียร (ไม่ขยัน ไม่อดทน) และที่สำคัญไม่เสียสละ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน 
  • โลภ  แข่งขัน แย่งชิง มือใครยาวสาวได้สาวเอา สอนให้อยากรวย ....  ไม่พอประมาณ 
  • โกรธ-เกลียด ใช้อารมณ์ ไม่พินิจพิจารณาให้ดีถึงเหตุและผลที่ตั้งอยู่บนหลักแห่งความเป็นจริง หลักคุณธรรมจริยธรรม ก่อนจะตัดสินใจต่าง ๆ ... ไม่รอบคอบ  ไม่มีเหตุมีผล
  • โหลงประมาท ไม่ระมัดระวัง ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบใด ๆ อันอาจจะเกิดขึ้นต่อผู้อื่นหรือเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ... ไม่มีภูมิคุ้มกันในตนเอง 
กล่าวโดยสรุป สาเหตุของความเหลื่อมล้ำ ก็คือ ความ "ไม่พอเพียง" นั่นเอง 

สาเหตุการเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
  • การสอนให้คนอยากรวย ...(แทนที่จะเน้นสอนให้คนช่วยเหลือคนอื่น) คือต้นเหตุที่เป็นแก่นในที่สุดในระดับปฏิบัติ นำมาสู่่การแก่งแย่ง แข่งขัน ชิงดี ชิงเด่น อิจฉา ริษยา เบียดเบียน พยาบาท คดโกง-คอรัปชั่น ฯลฯ  โดยมีกระบวนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการส่งเสริมจากสังคมทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ เช่น 
    • ผู้สอนส่วนใหญ่ มีค่านิยม "อยากรวย" จึงเป็นการสอนด้วยการทำเป็นแบบอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการสอน "สิ่งนามธรรม" ที่ได้ผลที่สุด  เช่น  เป็นครู-คณาจารย์ มีงานมีเงินเดือนอยู่แล้ว แต่ทำงาน-ธุรกิจเสริม หารายได้ทุกช่องทาง ฯลฯ 
    • ผู้ปกครองส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด) สอนให้มีเป้าหมายของชีวิตที่ "รวย" "เป็นเจ้าคนนายคน" โดยทุ่มเทอุุดหนุนเต็มที่มอบให้ได้ทั้งทรัพยสินและชีวิต ขอให้ลูกเดินไกลไปถึง (ออกจากบ้านและชุมชนไป) เช่น ส่งลูกเรียนพิเศษเต็มที ไม่ต้องทำงานบ้านหรือช่วยพ่อแม่ทำงาน บางคนขายทรัพย์สินที่ดินบรรพบุรุษส่งลูกเรียน ...  จึงเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองอย่างลงตัวสุด 
    • สังคมใช้ระบบการศึกษาแบบ "ทิ้งถิ่น" ใช้วิธีการคัดเลือกคนเข้าทำงานหรือคัดคนในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตด้วยการทดสอบเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้การศึกษากลายเป็นธุรกิจการติว-เตรียม....แห่ยอมรับและสรรเสริญ "ฝรั่ง" เอาตามทั้งหมด ทั้งระบบการศึกษา แยกวัดออกจากโรงเรียน แยกศาสนาออกจากระบบการศึกษา  
  • การสอนที่ไม่เน้นให้ภูมิใจในอาชีพของพ่อแม่ตนเอง (ไม่พึ่งตนเองด้านปัจจัย ๔)  เป็นเหมือนกระบวนการทำลายตนเองในระยะยาว โดยเฉพาะความภาคภูมิใจในตนเองและท้องถิ่น ซึ่งเป็นเหตุให้ต้อง "ทิ้งถิ่น" ไปในที่สุด 
    • หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑  ที่ร่างขึ้นตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดเรื่องการทักษะชีวิตและการเกษตรไว้น้อยมาก (ให้ความสำคัญน้อยมาก) (อ่านที่นี่) ตั้งใจจะให้โรงเรียนจัดเป็นหลักสูตรสถานศึกษา แต่ด้วยกระแส "สอนให้คนอยากรวย" ทำให้ไม่มีครูหรือผู้อำนวยการท่านใดสนใจ ... เรื่องพวกนี้จึงแทบจะหายไปใน ๑๐ ปี 
    • ครูผู้สอน จำนวนน้อยมาก ที่จะประพฤติตนเป็นแบบอย่างในการพึ่งตนเองด้านอาหาร เพราะมัวแต่ขนขวาย "อยากรวย" ในโรงเรียนหลายแห่ง นักเรียนจึงขาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้และฝึกทักษะชีวิตที่สำคัญด้านการสร้างอาหารและการพัฒนาที่ยั่งยืนไป 
    • ผู้ปกครองส่วนใหญ่  ไม่ได้ภูมิใจในอาชีพของตนเอง  เมื่อไม่ภูมิใจจึงไม่อยากพัฒนาหรืออนุรักษ์สิ่งใด ภูมิปัญญาที่มีจึงค่อย ๆ หายไป  และมีค่านิยมผลักไสให้ลูกเรียนให้เก่งเพื่อหนีออกจากบ้านไป ทิ้งอาชีพเกษตรกรรมไป ไปเป็นเจ้าเป็นนายคน ไปสู่ "ความรวย" ซึ่งสุดท้ายส่วนใหญ่ก็ไปไม่ถึงฝัน 
    • สังคมทุนนิยมเสรี ฟุ้งเฟ้อ ไม่พอเพียง ... ไม่ต้องอธิบายใดอีก ท่านก็รู้อยู่....
การศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เท่านั้นที่จะลดความเหลื่อมล้ำ

การศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ก็คือ การศึกษาที่น้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นฐานของการทั้งปวง  เช่น 
  • การศึกษาขั้นพื้นฐาน ----> โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย 
  • การศึกษาระดับอุดมศึกษา ----> มหาวิทยาลัยปูทะเลย์มหาวิชชาลัย 
  • การศึกษาตลอดชีวิต ----> การเรียนรู้ตลอดชีวิต 
ระบบค่านิยมคนไทย ----> นอบน้อม กตัญญู เคารพผู้ใหญ่  ยกย่องคนดี ซื่อสัตย์ เสียสละ แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ
ระบบเศรษฐกิจไทย ----> ระบบเศรษฐกิจพอเพียง  (พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น ตอบแทนบุญคุณ สั่งสมบุญ(แจก) แปรรูป(ถนอม) ขาย)
ระบบการศึกษาไทย ----> วิชชาลัย  (ไม่ใช่วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย แต่เป็น วิชชาลัย มหาวิชชาลัย)
ระบบกฎหมายไทย ----> ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม 
ระบบการจัดสรรทรัพยากร ----> แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ ... คนครอบครองทรัพย์สินมากจ่ายภาษีมาก 

การคิดครุ่นคิดแบบนี้บ่อย ๆ ทำให้ผมมีศรัทธามากขึ้น และท้าทายให้ตนเองพิสูจน์ด้วยการกระทำของตนเอง ...



วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บ้านสวนขวัญข้าว ๗ "ต้นไม้ต้นแรก"

ในที่สุด วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ขวัญและข้าวก็ได้มาลงปลูก "ต้นไม้ตนแรก" ในบ้านสวนขวัญข้าวแล้ว




ต้นไม้ที่เลือกมาให้เด็ก ๆ ปลูกคือ ขนุน น่าจะเป็น "แดงสุริยา" ที่คุณตาวิรัตน์ เจ้าของแปลงนาติดกันนำเอาผลมาให้ฝากให้ทานนานแล้ว เราเก็บเอาเม็ดไปเพาะไว้บ้านในเมือง ผมได้นำมาทดลองปลูกจนแน่ใจแล้วว่า ขนุนเกิดได้ในสภาพดินและน้ำค่อนข้างเค็มของสวน และหลายคนในบ้านชอบทานขนุน รวมถึงหากมองไปข้างหน้า หากเด็ก ๆ โตขึ้น ต้องแยกย้ายไปทำงานการไกล จะได้เอามาอบกรอบเป็น "แจ๊คฟรุ๊ต" แพ็คส่งไปให้ได้ทุกแห่งในโลก (ทุเรียนทำแบบนั้นยาก)

เราปลูกขนุนไว้ใกล้หลุมกล้วย คือให้กล้วยเป็นพี่เลี้ยง แล้วปลูกแฝกรอบ ๆ ต้นไว้ ๔-๕ ต้น  กล้วยเป็นพืชไม่มีรากแก้ว รากอ่อน หากินตามไม่ลึกจากผิวดิน ส่วนแฝกเป็นพืชรากแข็ง ลงลึก พี่เลี้ยงสองอย่างนี้จึงจะทำคนละหน้าที่ให้ต้นไม้ที่ปลูกเติบโตได้ดี (คิดด้วยทฤษฎีว่าอย่างนี้)





จะรอด จะรุ่ง จะสูง จะต่ำ ก็จะลองทำทดลองกันต่อไป .... เป็นอุบายให้เด็ก ๆ ได้ไปเรียนรู้วิชา "พอเพียง"


รายวิชาศึกษาทั่วไป : ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒-๒๕๖๑ (๑) พระราชประวัติในหลวงราชกาลที่ ๙

เนื้อหาบทที่หนึ่งของรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ "พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙"  กำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังให้ ผู้เรียนสามารถ
  • บอกถึงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้
  • อธิบายพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้
ในการจัดการเรียนการสอน เรากำหนดให้นิสิตดูคลิปวีดีโอความยาสวเกือบ ๕๐ นาที แล้วให้นิสิตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอธิบายสะท้อนการเรียนรู้ของตนลงในใบงาน  


  • สมเด็จพระเจ้าของยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงถูกส่งไปศึกษาต่อที่เมืองบอสตัน มลรัฐแมทซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ ๒๔ พรรษา 
  • ทรงตกหลุมรักกับนางสาวสังวาลย์ สตรีสามัญชน กำลังศึกษาวิชาการพยาบาลอยู่ที่เมืองฮาร์ทฟอร์ด มลรัฐคอนเนทติกัท 
  • เป็นเรื่องไม่ปกติที่เจ้าฟ้าจะอภิเษกกับสามัญชน แต่สองพระองค์ก็ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง จนได้อภิเษก ในวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๖๓ ที่ประเทศไทย ณ วังสระปทุม (เจ้าฟ้ามหิดลฯ อายุ ๒๘ ปี ขณะที่หม่อมสังวาลย์ อายุ ๒๐ ปี)
  • ทั้งสองพระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างสมถะ ในย่านบลู๊คลิน เมืองบอสตัน มีพระโอรส-ธีดา ๓ พระองค์ ที่นั่น 

  • ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม  พ.ศ. ๒๔๗๐  ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น (Mount Auburn Hospital) เมืองเคมบริดจ์ บอสตัน มลรัฐแมทซาชูเซตส์ ประเทศอเมริกา 
  • พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระชนนาม (ชื่อ) ว่า Bhumibala Aduladeja (ภูมิพล อดุลเดช) ถ้าเขียนแบบแปลงอย่างเป็นทางการ เขียนอย่างออกเสียงเป็น Poomipon (ภูมิพล)
  • ๕ พระองค์กลับมาเยี่ยมประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ และประทับ ณ วังสระปทุม กับสมเด็จพระอัยยิกา สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา  (ย่าของในหลวง ร.๙)
  • พระราชชนกทรงป่วยโดยโรคปัปผาสะ (โรคปอด) ทรงเสด็จธิวงศ์คต (เสียชีวิต) เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ... ในหลวง ร.๙ มีพระชนมายุเพียง ๒ พรรษา  ขณะนั้นพระราชชนนีมีพระชนมายุเพียง ๒๙ พรรษา  ทรงเลี้ยงอภิบาลพระราชธิดา-โอรส  ๓ พระองค์เองตั้งแต่นั้นมา

  • พระราชชนนี ทรงให้ความสำคัญกับการเล่น การเล่นที่ในหลวง ร.๙ ทรงโปรดมาอย่างหนึ่งคือการเล่นเกี่ยวกับน้ำ ทรงช่วยกันสร้างบ่อขนาดเล็ก แล้วปั้นเป็นทางน้ำเหมือนคลองที่น้ำจากบ่อจะถูกรินผ่านไป  ทรงวางกิ่งไม้ไปตามคลองที่อุ้มดินเอาไว้ ... ซึ่งต่อมาเป็นแนวพระราชดำริในการอนุรักษ์ดินและน้ำ 
  • วันที่ ๒๔ มิถุนยายน ๒๔๗๕ สยามเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมเด็จพระราชชนนี ประสงค์จะกันทั้ง ๓ พระองค์จากความขัดแย้งต่าง ๆ ภายในประเทศ จึงตัดสินพระทัยย้ายไปลี้ภัยที่เมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
  • สวิสเซอร์แลนด์มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีการใช้ทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลี่ยน และอังกฤษ ทรงเข้าเรียนโรงเรียนรัฐบาลที่นั่น  
  • พระราชชนนีทรงเลี้ยงดู อบรม บ่มเพาะกษัตริย์ทั้งสองพระองค์แบบสามัญชน ในช่วยสงครามโลกครั้งที่สอง ทรงต้องขีจักรยานไปโรงเรียน และจะได้รับของขวัญเฉพาะในวันเกิดเท่านั้น ทั้งสองพระองค์ทรงรักกันมาก ชอบสิ่งต่าง ๆ เหมือนกันแทบทุกอย่าง 
  • ขณะที่ในหลวง ร.๙ มีพระชน ๘ พรรษา ทรงโปรดเกี่ยวกับการก่อสร้าง ประดิษฐ์สิ่งของ ทรงนิยมทำตามพุทธสุภาษิตเกี่ยวกับการทำของใช้เอง ว่า  กัตเต รมเต ผู้ทำเองย่อมรื่นรมย์ 
  • ทรงเรียนดนตรีโดยเริ่มจากแซคโซโฟนและแคริเน็ตจากชาวฝรั่งเศสชื่อเวเบรทต์ ทรงสนใจดนตรีแจ๊สหลังจากได้ทรงฟังในวันหยุดพักผ่อน ทรงซื้อแผ่นเสียงดนตรีเองโดยเก็บเงินเอง เนื่องจาก สมเด็จย่าไม่ได้ตามใจเรื่องดนตรี ทรงกล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นดนตรีชนิดใด ดนตรีก็เป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า"  ทรงพระราชนิพนธ์เพลงถึง 47 เพลง... ต่อมาเมื่อมาเป็นกษัตริย์ ทรงใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารไปยังประชาชน ผ่านสถานีวิทยุ "อส." ทรงใช้ช่องทางนั้นเรี่ยไรเงินบริจาคช่วยเหลือประชาชนหลายโครงการ
  • วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ รัชกาลที่ ๘ ทรงเสด็จสวรรคต สภาผู้แทนมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเชิญ "เจ้าฟ้าแว่น" เป็นกษัตริย์ในรัชกาลที่ ๙ ของประเทศไทย 
  • ต้นเดือนกันยายน ระหว่างกำลังเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่โลซาน มีประชาชนคนหนึ่งร้องว่า "พระเจ้าอยู่หัว อย่าทิ้งประชาชน" ...  ทรงอยากบอกว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"
  • ทรงเปลี่ยนสาขาวิชามาเรียนด้านกฎหมาย การเมือง และสังคมศาสตร์ จากเดิมที่ทรงโปรดเรียนสาขาวิทยาศาสตร์ ... ทรงใช้ภาษาได้หลายภาษา 

  • ทรงพอพระราชหฤทัยในหม่อมสิริกิตต์ กิตติยากร ลูกสาวของเอกอัครราชทูตไทยประจำยุโรป ทรงมั่นเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒ ด้วยแหวนวงเดียวกับที่พระชนกมั่นพระชนนี 
  • วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม ทรงจ่ายค่าธรรมเนียมการแต่งงาน เป็นเงิน ๑๐ บาท 
  • ๑ สัปดาห์ หลังจากทรงแต่งงาน ทรงประกอบพิธีบรมราชาภิเษก ทรงสวมพระมหาพิชัยมงกฎหนัก ๗.๓ กิโลกรัม  เสด็จด้วยขบวนพระยุหยาตรา ทรงพระราชปฐมพระราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ทรงเป็นธรรมราชา ราชาผู้ปกครองโดยธรรม
  • ทรงเสด็จกลับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อรักษาพระอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ ทรงมีพระราชธิดาพระองค์แรกคือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัลยา ศิริวัฒนาพรรณวดี  เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๙๔ ต่อมามีพระราชโอรส ๑ องค์คือ สมเด็จพระโอรสาธิราช สยามมงกฎราชกุมาร และพระราชธิดาอีก ๒ พระองค์คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี ... แม้จะทรงต้องมีครอบครัวที่ต้องดูแล แต่พระองค์ก็เริ่มองค์เยี่ยมและช่วยเหลือราชฎรษ์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นต้นมา 
  • ทรงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยิ่ง ทรงจัดตั้งมูลนิธิพระดาบส สำหรับนักเรียนที่จำเป็นต้องออกจากโรงเรียนปกติเนื่องเพราะความยากจน ทรงริเริ่มโครงการการศึกษาทางไกล ถ่ายทอดการเรียนการสอนจากโรงเรียนไกลกังวล ๑๕ ช่องไปยังโรงเรียนที่ห่างไกล 
  • ทรงทราบว่า ภาวะทุพโภชนาการ หรือ การขาดแคลนอาหาร คือสาเหตุสำคัญของปัญหาสุขภาพคนในประเทศ ทรงตระหนักว่าคนไทยต้องการแหล่งโปรตีนเพิ่ม เพื่อสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ทรงทดลองโดยโดยเปลี่ยนสระว่ายน้ำของพระองค์เป็นสระเพาะพันธุ์ปลาหมอแทน  ต่อมาทรงเพาะพันธุ์ปลาทิวาเบียนิโรติก้า (ปลานิล) ที่ได้รับจากน้อมถวายจากจักรพรรดิญี่ปุ่น ก่อนจะพระราชทานให้กรมประมงขยายพันธุ์ต่อไป 
  • ทรงเปลี่ยนสนามในพระตำหนักจิตรลดาเป็นแปลงเกษตร ทรงทดลองปลูกข้าวพันธุ์ต่าง ๆ จากทั่วประเทศ ทรงพัฒนารถไถ "ควายเหล็ก" เพื่อผ่อนแรงของชาวนา ทรงพัฒนาฝนหลวง 
  •  พ.ศ. ๒๔๙๙ ทรงพระผนวชเป็นระยะเวลา ๑๕ วัน ที่วัดพระศรีศาสดาราม มีพระสมณนามว่า "ภูมิพโลภิกขุ" จากนั้นไปจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ที่ซึ่งสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช ทรงมีทัศนคติว่าทุกศาสนาเท่าเทียมกัน ทรงไม่เคยปฏิเสธการเชิญเข้าร่วมศาสนกิจของศาสนาต่าง ๆ ในไทย ทรงให้แปลพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย 

  • พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงเสด็จออกเยี่ยมราษฎรในที่ห่างไกลเพื่อศึกษาความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นครั้งแรก   พ.ศ. ๒๕๐๑ ทรงเสด็จภาคอีสานเป็นครั้งแรก ทรงเกิดความตระหนักถึงปัญหาความแห้งแล้ง ทรงวางแผนเพื่อจัดการน้ำ และริเริ่มทดลองโครงการฝนเทียมใน พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงได้รับฉายาว่า "คนทำฝน" 
  • พ.ศ. ๒๕๐๕ พายุโซนร้อนแฮเรียส กระหน่ำ ๑๒ จังหวัดริมฝั่ง ทรงระดมทุนเพื่อบรรเท่าทุกข์ของราษฎรอย่างเร่งด่วน เงินที่เหลือคราวนั้น ทรงตั้งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนแก่เหยี่อที่ประสบภัย ในเวลาต่อมา 
  • พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึนามิถล่มหลายประเทศทางชายฝั่งอันดามัน คนไทยเสียเสียชีวิตกว่า ๕,๐๐๐ คน มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ได้สร้างโรงเรียน ๔ แห่งให้ผู้ยากประสบภัย 
  • พ.ศ. ๒๕๓๑ ทรงก่อตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา ทำหน้าที่ขับเคลื่อนงานเนื่องในโครงการพระราชดำริ ซึ่งรวมแล้วมีมากกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ 
  • พ.ศ. ๒๕๓๕ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ คลี่คลายและยุติลงได้ทันที ทำให้ประเทศรอดพ้นจากหายนะทางการเมือง 
  • พ.ศ. ๒๕๓๘ กรุงเทพฯ ประสบอุทกภัยหนัก โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ที่ทรงทำ โดยเฉพาะโครงการแก้มลง ออกฤทธิ์ ทำให้การจัดการเรื่องน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมาก 
  • พ.ศ. ๒๕๔๐ เกิดวิกฤตทางการเงินทั่วเอเชีย ประเทศไทยลอยตัวค่าเงินบาท ทรงย้ำให้ราษฎรตระหนักถึงการดำเนินชีวิตที่พอเพียง ทรงพระราชทานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแต่คนไทย ซึ่งทรงคิดและทำมานานแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗  ... การพัฒนาจะต้องยั่งยืน 
  • ทรงศึกษาค้นคว้าทดลอง สิ่งต่าง ๆ ในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตลดา พ.ศ. ๒๕๓๙ เอทิลแอลกอฮอล์ถูกพัฒนาขึ้นในเพื่อเป็นเชือเพลิงในเครื่องยนต์ และมีการผลิตแอลกอฮอล์แข็งในเวลาต่อมา ทรงริเริ่มการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากนมต่าง ๆ 
  • ทรงมีพระอัจริยภาพด้านศิลปะ จิตรกรรมและวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้จำนวนมาก เช่น ทรงวาดภาพเหมือนสมเด็จพระราชินี ทรงแปลหนังสือเรื่องติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ทรงแต่งเรื่องพระมหาชนก ฯลฯ 
  • ทรงเป็นนักกีฬาแล่นเรือใบ ได้รับรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง (กีฬาซีเกมส์)
  • ทรงได้รับรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์  โดยนายโคฟี่ อนันต์ เลขาธิการสหประชาชาติ ได้น้อมถวายในงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ ๖๐ ปี

  • ทรงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก  ๗๐ ปี 
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ๐๐๓๒๐๐๕ ดาวน์โหลดได้ที่นี่ ในเอกสารนี้ผมได้คัดลอกเนื้อหาพระราชประวัติ ร.๙ จากเว็บไซต์แจ่มไส ไว้ในส่วนของใบความรู้ให้นิสิตได้ศึกษาเป็นตัวอย่างในการจับประเด็น 

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เริ่มจากหาซื้อที่ถึงแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการออกแบบแปลงเกษตร (ถอดบทเรียนจากคลิปโจน จันได)

ผมเจอคลิปวีดีโอที่โจน จันได ถ่ายทอด "ปัญญาปฏิบัติ " เป็นวิทยาทานด้วยการเล่า ให้กับ(น่าจะเป็น) สมาชิกที่เข้าอบรมที่ "รังโจน" ที่ แม่แตง จ.เชียงใหม่ (ผมเคยไปที่นั่นแล้วครั้งหนึ่ บันทึกควมประทับใจไว้ที่นี่)  .... ผมสดับรับชมแล้ว รู้สึกประทับใจมาก ๆ  องค์ความรู้และประสบการณ์ของโจน จันได เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีประโยชน์มาก ๆ กับผู้สนใจแน่  ๆ  จึงมาถอดบทเรียนไว้ในบันทึกนี้ ให้ตนเองได้เข้าใจลึกขึ้น และเผยแพร่แชร์ไว้เผื่อให้ผู้ถนัดอ่าน

ใครไม่ชอบอ่าน ดูคลิปเองได้เลยครับ



วิธีเลือกซื้อที่ดินเพื่อทำการเกษตร

  • ถ้าต้องการดินดี ให้เลือกที่ที่มีหญ้า ยิ่งหญ้าสูงแสดงว่าดินอุดมสมบูรณ์  หรือถ้ามีต้นไม้ยิ่งดี
    • ดินดีไม่ดี ไม่ใช่สาระสำคัญ ภายใน ๑-๒ ปี เราสามารถพัฒนาดินได้ (ถ้ามีน้ำ) 
  • ให้ดูเรื่องน้ำ น้ำสำคัญที่สุด ถ้ามีบ่ออยู่แล้ว ให้เช็คดูว่ามีปริมาณน้ำมากไหม ถ้าพื้นที่ไม่มีบ่อ ให้ดูพื้นที่รอบ ๆ  ซึ่งมักจะมีระดับน้ำใต้ดินเท่า ๆ กัน  หรือ ถ้าอยู่ใกล้ แม่น้ำ ลำคลอง คลองส่งน้ำ ก็ใช้ได้เช่นกัน 
    • ที่ไม่มีน้ำ ราคามักจะถูก 
    • แต่มีข้อจำกัดมากในการพัฒนาที่
  • ให้ดูว่าถนนทางเข้ามีไหม  ถ้าเข้าไม่ได้ ต้องคิดเผื่อว่าการซื้ออีกเท่าใดจึงจะมีถนนเข้า 
    • ทางเข้าควรเป็นทางสาธารณะ 
    • ต้องคุยกับเจ้าของที่ดี ๆ  ว่า ถนนที่เข้าถึงขณะนั้นเป็นถนนสาธารณะไหม  ถ้าไม่ มักมีปัญหาภายหลัง 
    • ต้องกว้างพอสมควร เพราะต่อไป อาจต้องขนดินเข้า-ออก ฯลฯ  จะปวดหัวภายหลัง
  •  ให้คิดถึง ไฟฟ้า  ไกลจากเสาไฟฟ้ามากเท่าใด  ต้องคิดเผื่อค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย 
    • ถ้าไกลเกิน ๒๐ เมตร เราต้องซื้อเสาเอง 
  • ต้องศึกษาก่อนด้วยว่า เพื่อนบ้านเป็นอย่างไร  ของหายบ่อยไหม เคยมีหรือกำลังมีปัญหาอะไรไหม 
  • ให้เลือกที่ที่เป็น โฉนดเป็นอันดับแรก  รองลงมาคือ นส.๓ สค.๑ เป็นอันดับสอง พื้นที่ ททบ.๕ เป็นอันดับต่อไป 
    • ที่ที่ไม่ควรซื้อคือ ที่ สปก. หรือที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์  
    • เพราะชื่อคนใน สปก. ไม่สามารถซื้อขายโดยถูกกฎหมาย  ต่อสู้กันในศาลไม่ได้ ทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ได้เลย ให้เช่าก็ไม่ได้ 
  • ระวังปัญหาเรื่องเขตแดน  ในขณะที่กำลังซื้อที่ ในวันรังวัด ให้ปักหลัก ปักเสารั้วเลย จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง  
การออกแบบแปลงเกษตร

การออกแบบสำคัญมาก ๆ  หลังจากซื้อที่ได้แล้ว เราต้องมาออกแบบพื้นที่ก่อน 
  • อย่าทำแบบได้อะไรมาก็ปลูก ๆ ไว้ก่อน เพราะที่ที่มักจะมาสร้างบ้าน มักจะเป็นที่ที่ต้นไม้โตดีที่สุด 
  • ให้ดูวัตถุประสงค์ของเราเองว่า ต้องการใช้พื้นที่ทำอะไร เพื่ออะไร ... เจ้าของที่ (คนที่จะอยู่/ใช้ประโยชน์) ต้องเป็นคนตัดสินใจเอง เช่น จะทำเป็น...
    • ที่อยู่แบบพึ่งตนเอง 
    • เป็นนา 
    • เป็นรีสอร์ท 
    • เป็นป่า เพื่อลงทุน 
    • ฯลฯ 
  • ต้องออกแบบเพื่อความมั่นคงในอนาคต 
    • ไม่ควรให้ใครเช่า เพราะดินเสีย ที่เสียหมด 
    • ให้คิดถึงว่า ถ้าเราเกษียณ ควรจะมีบำนาญ คือ ควรมีโซนป่าไม้เนื้อแข็ง 
      • ปลูกให้ถี่ ๆ ประมาณ ๕๐๐ ต้น ต่อหนึ่งไร่
      • พอต้นไม้รอด ให้ไปขึ้นทะเบียนไว้ จะใช้เวลาประมาณ ๒ ปี
    • อย่าเพิ่งโอนให้ลูกหลาน ... ลูกหลานจะคอยดูแลเราไปเรื่อย ๆ 
  • ถ้าคิดว่า ทำเป็นที่อยู่อาศัยด้วยและอยู่กับกสิกรรมธรรมชาติ จะต้อง มีบ้าน มีสระน้ำ มีนา มีสวนผัก สวนผลไม้ มีป่า ควรจะออแบบเป็นโซน ๆ โดยพิจารณาจาก ... 
    • ดูลักษณะของดิน 
      • ดินเหนียว เหมาะสำหรับการขุดสระ แต่ปลูกผักยากมาก  แต่ต้นไม้ชอบ 
      • ดินทราย ผักจะชอบ โดยเฉพาะพวกพืชหัวทั้งหลาย 
      • ดินที่ดีคือดินร่วนปนทราย  เพราะอุ้มน้ำได้ ไม่แชะ มีสารอาหาร 
      • ดินหินลูกรัง รากพืชแม้แต่ไม้ใหญ่ก็ลงลึกไม่ได้ 
    • ดูระดับสูงต่ำของพื้นที่ 
      • อย่าไปสร้างบ้านไว้ที่ต่ำ  เดี๋ยวน้ำท่วมได้ 
      • ที่สูงควรสร้างบ้าน วิวดี มีลมผ่าน 
      • ที่ต่ำควรจะเป็นสระ หรือ ทำแปลงนา  
    • ดูทิศทางลม ทิศทางแดด ทิศทางฝน  
  • ที่ที่ควรสร้างบ้านคือที่ที่ทำอย่างอื่นไม่ได้ เช่น เป็นหินลูกรัง  ฯลฯ 
    • บางคนชอบสังสรรค์ หรืออยากจะทำร้านค้าขาย ให้สร้างติดถนน
    • บางคนชอบเงียบ มีพื้นส่วนตัว ต้องทำบ้านห่างถนน 
    • ถ้าพื้นที่ไม่สูง ให้ถมที่สร้างบ้านให้สูง ๆ เลย 
    • ถ้ายังไม่พร้อมสร้างบ้าน ให้ถมที่ไว้ก่อน
  • ที่ที่ควรขุดสระ
    • ควรเป็นที่ต่ำสุด และเป็นดินเหนียว ขุดให้ถึงตาน้ำ 
    • ไม่ควรขุดที่สูงเลย เพราะจะเก็บน้ำไม่อยู่ 
    • ให้คิดถึงการใช้ประโยชน์อย่างอื่นด้วย เช่น 
      • เลี้ยงปลา...ต้องขุดให้มีไหล่สระลึกไม่เกิน ๑ เมตร เพื่อให้แสงแดดส่องถึง จะได้เกิดระบบนิเวศในน้ำ ปลาจะมีแพลงตอน สาหร่ายต่าง ๆ เป็นอาหาร  เช่น การขุดสระในนาข้าว ก็จะทำให้ปลาโตเร็ว 
    • ถ้าเป็นดินเหนียว ให้ขุดให้ลึกเลย ให้ถึงตาน้ำ ๕ เมตรขึ้นไป  
    • ให้ขุดร่องรอบพื้นที่เราให้ไหลลงสระให้หมด 
    • ตอนขุด ให้กำกับให้คนขุดเอาหน้าดินไปไว้ในพื้นที่สวน เอาดินเหนียวไปไว้พื้นที่ปลูกบ้าน
    • สระให้อยู่ใกล้บ้านและสวน เพราะจะทำให้บ้านเย็นสบาย และใช้น้ำรดผัก  
  • ที่ทำถนน
    • ให้สร้างรอบเขตที่ของเราเลย  เป็นทั้งถนนและแนวกันไฟ  กันยาฆ่าแมลง 
      • ขอบถนนเขตแดน ไม่ควรปลูกต้นไม้ใหญ่ เพราะจะกระทบกระทั่งกับพื้นบ้าน 
      • ขอบถนนฝั่งในของเรา สามารถปลูกไม้ใหญ่ได้ อย่าให้กิ่งไปไกลถึงเขตแดนได้ 
    • ให้ทำถนนเข้าถึงทุกพื้นที่ของเราเลย  ถ้าพื้นที่กว้าง ต้องทำถนนมา
    • ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรง แล้วแต่คนชอบ เช่น ถนนคดเคี้ยวไปมา หากสร้างบ้านพักโฮมสเตย์ จะทำให้รู้สึกอยู่ไกลกัน 
  • โซนที่ ๑ บ้าน
    • เอาไว้สร้างบ้าน
    • มีสระน้ำส่วนหนึ่ง 
    • มีพื้นที่เลี้ยงสัตว์
      • ต้องไม่ใกล้บ้านเกินไป เพราะกลิ่นเหม็น และเสียงรบกวน อย่างน้อยต้องประมาณ ๓๐ เมตร 
      • แต่ก็ไม่ไกลเกินไป เพราะถ้ามีอะไรมากินเป็ดไก่ จะไม่ได้ยิน 
  • โซนที่ ๒ สวน
    • ไม่ควรอยู่ไกลบ้าน ควรจะอยู่ใกล้บ้านที่สุด เพราะ...
      • สะดวกในการนำเศษอาหารไปเทปุ๋ยหมัก 
      • สะดวกในการเก็บมากิน ผักต้องอยู่ใกล้ครัวที่สุด
      • สะดวกต่อการดูแล รดน้ำ รักษา ... 
    • ไม่ควรเป็นพื้นที่ใหญ่เกินไป เพราะจะดูแลไม่ไหว ใช้เวลานานเกินไป เหนื่อยเกินไป  ไม่ควรเกินครึ่งไร่
  • โซนที่ ๓ ที่นา ที่เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าว ถั่ว งา มัน  ข้าวโพด แตง ฯลฯ  
    • ไม่อยากให้ทำนาเกิน ๑ ไร่ ต่อครอบครัว เพราะคน ๖ คน กินข้าวแค่ประมาณ ๖๐๐ กิโลกรัมเท่านั้น ... ทำนาดี ๆ ทำไร่เดียวได้ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม 
  • โซนที่ ๔ สวนผลไม้ 
    • อย่าให้อยู่ใกล้บ้าน เพราะ 
      • ผลไม้ ใบ หล่นลงหลังคา จะนำปัญหามาให้ 
      • จะทำให้ยุ่งเยอะ หนูเยอะ งูก็เยอะ
      • สวนผลไม้ควรจะอยู่ห่างบ้านออกไป ไปอยู่หลังโซนที่ ๓ 
    • ให้มีความหลากหลายของผลไม้มาก ๆ  ให้มีผลไม้ทุกชนิดอยากกินและปลูกได้เลย เช่น ฝรั่ง มะละกอ ฯลฯ 
    • อย่าปลูกถี่กัน จนกิ่งหรือทรงพุ่มชนกัน เพราะผลไม้จะไม่ออกผลเลย ควรจะต้องห่างกันมากกว่า ๖ เมตร 
    • ในสวนผลไม้ ใต้ร่มไม้ ให้ปลูกพืชประเภทหัวต่าง ๆ เช่น เผือก มัน ฯลฯ หรือสมุนไพรต่าง ๆ 
  • โซนที่ ๕ สวนป่าใช้สอย 
    • ให้มีไม้ไผ่ อย่างน้อย ๔-๕ สายพันธุ์ เช่น ไผ่ซาง ไผ่เลี้ยง ไผ่บ้าน ไผ่สีสุก ฯลฯ 
    • ให้มีไม้หลายชนิด ยางนา พยุง สัก กบก หว้า ลูกหยี กันเกา ฯลฯ 
  • โซนที่ ๖ สวนป่าอนุรักษ์พันธุกรรม  
    • โซนนี้ปลูกสิ่งที่เราต้องการรักษาพันธุ์ โดยเฉพาะสมุนไพร 
ความคิดรวบยอดในการออกแบบแปลง

จริง ๆ แล้ว หากท่านดูคลิปด้วยตนเอง จะมีเคล็ดเกล็ดวิชามากมาย ที่ผมไม่ได้เขียนถึง ...  ดังนั้น จึงอยากให้ท่านผู้สนใจ ดูคลิปนั้นด้วยตนเองจะดีกว่า

ผมวาดภาพเพื่อแสดงความคิดรวบยอดจากองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้จากการฟังคลิปนี้ดังภาพครับ  ขอขอบคุณผู้อัดคลิปวิดีโอและนำมาเผยแพร่มาก ๆ ครับ  .... ผมน่าจะประหยัดเงินได้หลายหมื่นบาททีเดียว ถ้าเทียบกับการเดินทางไปร่วมคลาสที่ "รังโจน"


ผิดถูกอย่างไร ขออภัยไว้ และยินดีแก้ไขทุกเมื่อครับ โพสท์ไว้ได้เลย