วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

เรียนรู้การทรงงานจาก ประสบการณ์ ม.จ.ภีศเดช รัชนี

ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ๖๑ ที่ผ่านมา ภรรยาซื้อหนังสือ "ชีวิตเสี่ยง ๆ " ของ ภ. ณ ประมวญมารค (ชีวิตของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี บนดิน บนทะเล บนดอย) ระหว่างที่เราไปเที่ยวโครงการหลวงดอยอินทนนท์ ... อ่านจบรอบแรกแบบแทบไม่วาง  มาตามอ่านละเอียดรอบสองอีกที ... อยากนำสิ่งดี ๆ มาแบ่งปันครับ หรือถ้าจะให้ดีเชิญท่านหาหนังสือเล่มนี้ ที่ "ท่านภี" เขียนเองมาอ่านกันครับ





เนื่องจากมีบทความหรือบทเรียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เผยแพร่อออนไลน์หลายที่หลายแห่ง (ค้นทาง google ได้ไม่ยาก) จึงขอกล่าวไว้เฉพาะส่วนที่ประทับใจในมุมมองของตน ดังนี้ครับ 
  • ท่านปลูกต้นไม้ไม่เป็น ไม่ได้เรียนเกษตร แต่ในหลวงทรงเลือกท่านมาทำงานใหญ่ และท่านก็ไม่ทำให้ผิดหวัง  พลิกไร่ฝิ่นเป็นไร่กาแฟ ไร่สตรอบอรี่ และผลไม้เมืองหนาว ดังจะได้กล่าวต่อไป ... อีกท่านหนึ่งที่ถวายงานด้านการเกษตรแต่ไม่ได้จบเกษตร และประสบผลสำเร็จมากในการช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศมาก คือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขานุการมูลนิธิชัยพัฒนา
  • ตอนเป็นนักเรียน ท่านไม่ใช่นักเรียนแถวหน้าแบบเก่งวิชาการ แต่มีทักษะทางร่างกายและการลงมือทำมาก เช่น ท่านขี้ม้าเป็นเองโดยไม่ต้องมีผู้สอน เก่งเรื่องกีฬามาก  เก่งสควอชมากจนเป็นตัวแทนของทีมมหาวิทบาลัย ช่วงที่ท่านเรียนที่อังกฤษเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒  ท่านสมัครเป็นทหารอังกฤษและเข้ารับการฝึกเพื่อเป็นสายลับ และมาปฏิบัติการเป็นสายลับ "เสรีไทย" ... ซึ่งทำให้ประเทศไทยไม่ต้องชดใช้ค่าแพ้สงครามในเวลาต่อมา 
  • ตอนไปฝึกที่อินเดีย ท่านใช้ปืนยิงนกเขาด้วยหวังจะได้ ๒ ประโยชน์ด้วยกระทำเดียว คือ ได้ฝึกยิงเป้าและได้อาหาร แต่ขณะคลานเข้าไปเก็บซากนก ไม้กลับดีดใส่ไปที่ตาข้างหนึ่งของท่านทำให้มองไม่ชัด เหตุให้ต้องมาผ่าตัดรักษาในเวลาต่อมา 
  • วันหนึ่งท่านซื้อไก่มาไว้ในค่ายทหาร แล้วป้อนให้ไก่กินกระเทียมเป็นอันมาก เมื่อจะเลิกค่าย จำต้องฆ่ามาทำหาร ท่านพบว่า รสชาดของไก่เหมือนมีกระเทียมในเนื้อด้วย อร่อยมาก ... ท่านเล่าว่า หลังจากตัดหัวไก่แล้ว ต้องช่วยกันไล่ตะคุบตัวไก่ที่วิ่งไปโดยไม่มีหัว
  • อีกชนิดกีฬาที่หม่อมเจ้าภีศเดช ทรงประปรีชามากคือ การแล่นเรือใบ เท่าที่อ่าน ท่านดูจะคลั่งไคล้สุดๆ  ทรงเรือใบข้ามน้ำข้ามทะเล ใกล้ไกล ไปถึงหัวหิน ... เรื่องนี้ต้องอ่านเองครับ เพราะสมชื่อหนังสือ "ชีวิตเสี่ยงๆ " จริง ๆ ครับ 
  • หลังจากสงครามเลิกไป ท่านกลับมาเมืองไทย ได้งานที่บริษัทเชลล์ และเจริญก้าวหน้าตลอดมาจนได้เป็นผู้จัดการฝ่ายโฆษณา ก่อนจะมาถวายงานในหลวง ร.๙ ในฐานะผู้อำนวยการโครงการหลวง ที่ทราบกัน 
  • ครั้งหนึ่งขณะที่ในหลวงกำลังพายเรือกรรเชียง ม.จ.ภีศเดช ได้แล่นเรือใบเล็ก ๆ แข่ง  วันหนึ่งในหลวง ร.๙ มีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าที่วันสวนจิตรลดา และมีพระราชประสงค์จะแล่นเรือใบบ้างแต่ต้องเป็นเรือที่ทรงต่อเอง  พระองค์ทรงเรียนวิชาช่างไม้ที่สวิสแต่ไม่เคยต่อเรือ วันถัดมาจึงทรงเริ่มต่อเรือใบ ทรงตั้งชื่อต่อว่า "ราชะปะแตน"  ตั้งแต่นั้นท่านก็รับหน้าที่ถวายคำแนะนำเกี่ยวกับการแล่นเรือใบ และถวายงานการจัดการแข่งขันเรือใบ กลายเป็นสโมสรซึ่งทรงตั้งชื่อ "ราชวรุณ" ในเวลาต่อมา... นี่เองที่ทำให้เราเห็นภาพในหลวงทรงฉายภาพร่วมกับหม่อมเจ้าภีศเดชอยู่มากมายเมื่อเราสืบค้น 
  • โครงการแรกที่หม่อมเจ้าภีศเดชถวายงานคือ การปลูกต้นไม้ที่หาดทรายใหญ่ หัวหิน ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ราบกว้างใหญ่ขนาด ๘๐ ไร่ มีภูเขาล้อมรอบ เนื้อที่เป็นทราย ขาดอาหารพืช ไม่มีน้ำ  ท่านใช้วิธีการพูดกับลูกพี่ลูกน้องท่านชื่อ ม.ร.ว.ชวนิศนดาการ อาจารย์แผนกสัตวบาล ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ความร่วมมือของอาจารย์ ม.เกษตรฯ ทั้งแผนกดิน น้ำ ต้นไม้ใหญ่ พืชไร่พืชสวน ทำให้ในไม่ช้า ก็สำเร็จ 
  • ต่อมา ขณะที่ในหลวง ร.๙ ทรงส่งไปดูงานของ ตชด. ที่ป่าละอู ขณะบินด้วยเฮริค็อปเตอร์ พบที่ราบขนาดใหญ่ ไม่มีอะไรนอกจากป่าหล็อมแหล็ม จึงทรงมอบให้ทำโครงการหนองพลับ 
  • ตอนเริ่มต้นโครงการหนองพลับ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ กรมพัฒนาที่ดินเชิญชาวบ้านมาประชุม ชาวบ้านนั่งกับพื้น ที่แถวหน้ามีเก้าอี้เรียงอยู่ ท่านระลึกถึงว่า ในหลวง ร.๙ ที่ทรงประทับกับพื้นตรงหน้าพสกนิกร  ท่านเลยทำแบบนั้นบ้าง ไม่นั่งเก้าอี้ที่เตรียมไว้ และได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติของท่านตลอดมา 
  • วิธีการของโครงการหลวง คือ ๑) วิจัย หาผัก ดอกไม้ พืชไร่ มาปลูกบนดอย ๒) สอนให้ชาวเขาปลูกพืชเหล่านั้น ๓) ขนเอาผลผลิตไปขาย ๔) ขายได้เท่าไหร่ให้หักค่าใช้จ่ายของ ๕) ปิดทองหลังพระ ๖) ทำงานอย่างลดขั้นตอน ๗) เมื่อต้องคุยกันให้ตั้งวงคุยกันแบบเพื่อน ๆ  .... วิธี ๗ ประการนี้กับความร่วมมือของ ๓ ม. คือ ม.ก. (ม.เกษตรฯ ) ม.ช. (ม.เชียงใหม่) และ ม.จ. (ม.แม่โจ้) และ ม.จ. (๑ หม่อมเจ้า) ทำให้โครงการหลวงสำเร็จประโยชน์ต่อชาวเขาอย่างงดงามในเวลาต่อมา 
  • การสะพายเป้เดินขึ้นลงเขา เป็นกิจวัตรของหม่อมเจ้าภีศเดช และไม่อาจจะคำนวณนับระยะทางเดินเขาของท่านได้ 
  • ความคิดในการนำกาแฟต้นแรก (อาราบิก้า) มาปลูกในประเทศไทยมาจากฝรั่งชาวออสเตรเลีย วันหนึ่งขณะท่านนั่งดื่มเบียร์อยู่ที่โรงแรมรินคำ กรุงเทพฯ เมื่อฝรั่งท่านนั้นทราบว่าหม่อมเจ้าภีศเดชทำงานให้กับโครงการหลวง จึงแนะนำให้นำกาแฟอาราบิก้ามาปลูก ตอนนั้นท่านฟังจากเจ้าหน้าที่กรมการเกษตรว่า เขาปลูกที่ศีลังกา  
  • การปลูกกาแฟครั้งแรก เริ่มกันที่หนองหล่ม จ.เชียงใหม่ ผลคือกาแฟทั้งไร่ตายหมดเหลือเพียงต้นเดียวหรือสองต้น(ในหนังสือเล่มนี้ท่านใช้คำว่า "ต้นไม้ ๒ ต้น" ส่วน พล.ต.เอก วิสิษฐ์ เดชกุญชร บอกว่าใช้คำว่า "กาแฟต้นเดียว") เมื่อคราวในหลวง ร.๙ ทรงเสด็จเยี่ยมชาวเขา หม่อมเจ้าภีศเดช ได้ทูลเชิญให้เสด็จเดินไปต่ออีก ๑ กิโลเมตร หลังจากที่ผ่านมาแล้ว ๕ กิโลเมตร สรุปทรงเสด็จไปกลับวันนั้น ๑๒ กิโลเมตร  ทำให้ข้าราชบวิพาลวังในที่ไม่เข้าใจไม่พอใจอย่างยิ่งซึ่งรวมถึง พล.ต.อ.วิสิษฐ์ ด้วย เมื่อทรงทราบ จึงเรียกให้เข้าพบภายหลังและบอกให้ทราบว่า การเสด็จไปทำให้ชาวเขาหันมาสนใจและให้ความสำคัญ และเรียนรู้การปลูกและดูแลกาแฟอย่างดี จนปีต่อมาประสบความสำเร็จทำรายได้ให้กับชาวเขาอย่างงดงาม 
  • ส่วนหม่อมเจ้าภีศเดช ทรงมาแก้เผ็ดนางสนองพระโอษฐ์ ที่ต่อว่าท่านคราวนั้น โดยการตุ๋นเนื้อสุนัขให้กินแล้วมาเฉลยในภายหลัง ....ฮา ...อ่านแล้วสนุกมากครับ ..
  • กองพล ๙๓ ของเจียง ไคเชก ซึ่งแพ้ต่อเหมาเจ๋อตุง จนต้องถอยร่นลงมา  ส่วนหนึ่งได้ถอยเข้าไปอยู่ในเขตแดนพม่า  ต่อมาพม่อไม่ยอมส่งทหารเข้ารบขับไร่  จึงถอยร่อนมารบกันแถวดอยอ่างขาง ชาวเขาเผ่าแม้ว มูเซอ ที่มีบ้านอยู่เต็มดอยเลยต้องถอยหนีลงไปอยู่ตีนดอย
  • ทหารของเจียง ไครเชก ไปปักหลักอยู่ ทางใต้ของดอยอ่างขาง (เข้าใจว่าเป็นระหว่างกลางทางขึ้นดอย) ทำให้มูเซอที่ที่ถอยนี้ไปทางใต้กลับขึ้นดอยไม่ได้ จึิงทิ้งที่ว่างกลางดอยอ่างขางไว้กว่า ๑,๐๐๐ ไร่ 
  • วันหนึ่งขณะที่เสนาธิการทหารบกของจีนและเอกอัคราชฑูตจีนเข้าเฝ้า ในหลวงรับสั่งเกี่ยวกับการนำผลไม้เมืองหนาวมาปลูกบนดอย ฑูตจีนจึงทูลว่า เมื่อกองทัพของเจียง ไคเชก ถอยทับไปอยู่ที่เกาะไต้หวันซึ่งอยู่ในเขตร้อนเหมือนไทย ได้ให้ทหารขุดดินและแซะหินทำถนนข้ามภูเขาจากตะวันตกไปตะวันออก กลางทางพบที่อาการหนาวจึงทำการศึกษาวิจัยการเพาะปลูกผลไม้เมืองหนาว นำโดย ดร.ซุน ซึ่งศึกษาเรื่องนี้มาจากญี่ปุ่น ดร.ซุนทำสำเร็จ สามารถปลูกผลไม้เมืองหนาวได้ทุกชนิด  ต่อมาใต้หวันได้ส่ง ดร.ซุน มาตรวจแลแนะนำบนดอย 
  • ดร.ซุน เห็นต้นก่อขึ้น ก็ตกใจ ร้องว่า เอามาปลูกเห็ดหอมได้ แล้วส่งเชื้อเห็ดมาให้ อาจารย์สืบศักดิ์ฝังลงไปในท่อนไม้ก่อ  ปีหนึ่งผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์สืบศักดิ์จึงโยนท่อนไม้นั้นทิ้งไปข้างนอก ปรากฎตอนเช้ามีดอกเห็ดหอมงอกออกมา ปีต่อมาประเทศไทยก็มีการผลิตเห็ดหอมเป็นการค้า ...  ประเด็นคือ เห็ดหอมที่เรากินอยู่ทุกวัน ก็มีจุดกำเนิดมาจากโครงการหลวงที่ดอยเช่นกัน 
  • วันแรกที่ไปสำรวจดอยอ่างขาง (เป็นวันเสาร์) หม่อมเจ้าภีศเดชไปกับเจ้าหน้าเกษตรรวม ๗ คน พบเนื้อที่ๆ สามารถเพาะปลูกได้ ๒๐,๐๐๐ ไร่ เป็นเขา ๑,๐๐๐ ไร่ มีอากาศหนาวจัด (หนาวที่สุดในประเทศไทย) สูงจากน้ำทะเล ๔,๐๐๐ ฟุต ตอนขากลับกลับ ๖ คน ... หม่อมเจ้าภีศเดชทรงคิดว่า หากจะมาทำงานสำคัญที่นี่จะต้องผูกมิตรกับมูเซอ จึงไปขอนอนกับพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) ชื่อ จะหลู ซึ่งก็ยินดีต้อนรับ 
  • (เลิฟซีน) บ้านจะหลู มีผัวเมียอยู่กันหลายคู่ภายในห้องใหญ่ห้องเดียว มีกองไฟตรงกลาง ข้างบนเป็นชั้นเก็บผลิตผลทางการเกษตร ควันไฟจะไล่มอดแมลงไปไม่มีปัญหา เวลานอนจะหันหัวเข้าผนังไม้ไผ่ ... เมื่อนอนได้สักพัก บ้านก็เขย่าโยกเป็นจังหวะ ไม่นานทุกๆ จุดรอบๆ บ้านก็ถูกเขย่าโยกเป็นจังหวะตามมา 
  • (จะหลูผู้รักภรรยา)  วันหนึ่งมีการจัดงานของโครงการหลวงและได้ชวนจะหลูไปร่วมงานด้วย  ถึงกำหนดวันกลับ ภรรยาของจะหลูทำอาหารไว้รอ แต่มีเหตุบางประการที่ทำให้จะหลูกลับมาช้า ๒ วัน จะหลูกลัวภรรยาจะเสียใจจึงกินอาหารนั้นจนหมดแม้จะรู้ว่าอาหารนั้นเสียแล้ว และเสียชีวิตไปในคืนนั้น
  • หมู่บ้านชาวเขาที่ในหลวง ร.๙ เสด็จเป็นแห่งอยู่บนดอยชื่อดอยจอมหด อำเภอพร้าว แม่ฮ่องสอน เมื่อผู้ใหญ่บ้าน (เขาจะเรียกผู้ใหญ่บ้านว่าพ่อหลวง) เอาที่นอนมาปูพื้นให้ประทับแล้วก็เอาเหล้าอย่างแรงที่ทำเองรินใส่ถ้วยที่เห็นชัดว่าไม่สะอาดถวาย หม่อมเจ้าภีศเดชกระซิบว่า ให้ทรงทำเป็นเสวยแล้วส่งมาให้ท่าน แต่ทรงเสวยเองจนหมด ... ครั้งนั้นท่านถูกต่อว่าจากนางสนองพระโอษฐ์ว่าเป็นต้นเหตุให้ในหลวง ทรงต้องเสวยจากภาชนะสกปรก
  • อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ หมู่บ้านแสนคำลือ แม่ฮ่องสอน ในคราวที่ในหลวงเสด็จเยี่ยมชาวเขาเผ่ามูเซอแดง  พ่อหลวงแสนคำลือ (ผู้ใหญ่บ้าน) อุ้มเด็กอายุไม่กี่เดือนรับเสด็จ ทรงถามว่า อุ้มหลานหรือ? พ่อหลวงทูลว่า ไม่ใช่หลาน เป็นลูกเฮา สาวนี่เมียเฮา (สาวอายุ ๑๕) เฮาอายุ ๗๐ แล้ว ทรงถามต่อว่า มีเมียกี่คน? พ่อหลวงบอกว่า มีคนเดียว คนอื่นแก่ตายหมดแล้ว (บางแหล่งข้อมูลเขียนว่ามีแล้ว ๓-๔ คน แต่ตายหมด มีเมียคราวละคน) และพ่อเฒ่าก็ชวนในหลวง ร.๙ ไปเที่ยวบ้าน และนำเสด็จไป เมื่อถึงที่บ้าน พ่อหลวงได้ถวายเหล้าและทูลว่า เหล้านั้นใส่เขากว้างปิ้งกินแล้วแข็งแรง ในหลวงทรงดื่ม พ่อหลวงได้ถวายเขากวางปิ้งให้ในหลวงด้วย เมื่อกลับถึงพระตำหนัก หม่อมเจ้าภีศเดชได้ไปหาซื้อเหล้าวอดก้ามาถวาย ๑ ขวด ตอนเย็น ทรงปิ้งเขาวอดก้าด้วยเตาไฟฟ้า และทรงพระราชทานผู้ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหาร  .... จากการสืบค้น พบว่าเหล้าที่พ่อหลวงถวายในหลวงมีส่วนผสมของกระดูกเสือด้วย และตีความว่า เหล้าใส่เขากวางอ่อนนี้ดีนัก จนทำให้พ่อหลวงไว ๗๐ ยังมีเมียสบาย 
  • ครั้งหนึ่งในหลวงเสด็จเยี่ยมชาวเขาเผ่าเย้าติดเขตแดนลาว มีพ่อหลวงมารับเสด็จโดยที่ขาใส่เฝือก พ่อหลวงเล่าให้ในหลวงฟังว่า ซื้อรถยนต์ให้ลูกชายขับรับส่งโดยสาร แต่คนเต็มจึงไปนั่งบนหลังคา ลูกชายเลี้ยวไม่ดีจึงตกลงมาขาหักจึงต้องใส่เฝือก  อีกปีหนึ่งส่งเสด็จไปยังไม่เอาเฝือกออก ในหลวงทรงถามว่าทำไม บอกว่ากลัวเจ็บ ในหลวงบอกว่าควรเอาออก เมื่อเอาออก ทรงจูงมือพาเดิน จึงเดินได้ ... ผมได้คลายความสงสัยของตนที่มามานานจากเรื่องนี้ ในหลวง ร.๙ เสด็จเยี่ยมบ่อย หลายครั้ง หลายที่ไปเสด็จไปเป็นประจำปี แต่ไม่ได้เผยแพร่ภาพออกมา มีเพียงภาพไม่กี่ภาพที่มีเผยแพร่กันทั่วไป ... คลายความสงสัยเรื่องการปิดทองหลังพระทั้งหมดในใจผม 
  • เมื่อเสด็จประทับที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ในหลวงจะทรงเสด็จ ๓ วันต่อสัปดาห์วันเว้นวัน วันที่เหลือหม่อมเจ้าภีศเดชและทีมงานต่าง ๆ จะออกสำรวจและเตรียมการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับเสด็จ 
  • มีเรื่องหนึ่งกระจายไปทั่วหมู่บ้านแม้วว่า "พระเจ้าอยู่หัวเอาเมียแม้ว"  ต้นเรื่องข่าวลือเกิดขึ้นเพราะมีหญิงแม้วมาขอพระราชทานเงินสมเด็จพระบรมราชนีนาถ เพื่อจะใช้ขอหย่าสามีที่ให้สินสอดไม่ครบตามธรรมเนียม ในหลวงทรงพระราชทานเงินสด เมื่อหม่อมเจ้าภีศเดชไปกราบบังคมทูล (เพราะท่านคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่) ทรงรับสั่งว่า ทรงซื้อหญิงแม้วพระราชทานหม่อมเจ้าภีศเดช 
  • หม่อมเจ้าภีศเดชประสานกับทางหน่วยงานต่างของอเมริกา และได้รับความช่วยเหลือเป็นอันมาก ในหนังสือเล่มนี้ท่านบอกว่า มีกว่า ๘๐ โครงการ เป็นเงินกว่า ๑.๘ ล้านบ้าน จากการสืบค้นพบว่า มีกว่าร้อยโครงการที่สถานทูตอเมริกาให้ความช่วยเหลือโครงการหลวง และเป็นปัจจัยให้โครงการหลวงเป็นรากฐานของการงาน อาชีพ และเศรษฐกิจของชาวเหนือตอนนี้ ...  อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมรู้สึกว่า ตนเองมีทัศนคติที่ดีขึ้นต่ออเมริกา เทียบกับตอนที่ทราบว่าเราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาสักเพียงเหรียญเดียวเมื่อครั้งประสบวิกฤตต้มยำกุ้ง พ.ศ. ๒๕๔๐ แถมยังบีบให้เราจำเป็นต้องยืมเงินจาก IMF 
  • นักสอนศาสนาชาวอเมริกันเห็นด้วยกับหม่อมเจ้าภีศเดชว่า ถั่ว Red Kidney (แปลตรงๆ ว่า ถั่วไตแดง) ที่เมล็ดใหญ่ยาวกว่าถั่วแดงธรรมดา น่าจะนำมาปลูกแทนฝิ่นได้ เมื่อกราบบังคมทูล ทรงรับสั่งให้ลองดู  หม่อมเจ้าฯ ขับรถลุยไปแม่ฮ่องสอน เดินสองชั่วโมงถึงบ้านแม้วแม่โถ ไปบ้านพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) เขาให้นอนพักด้วยความยินดี ตื่นเช้าจึงเอาถั่วให้ดู แล้วบอกว่า "พระเจ้าอยู่หัวอยากให้ลองปลูกในไร่ฝิ่น" ...เท่านั้นเอง ทั้งหมู่บ้านต้องการปลูกถั่วนี้ จึงต้องสั่งเมล็ดพันธุ์ถึง ๒.๕ ตัน  สำเร็จอย่างสวยงาม การขอซื้อเวลาโทรทัศน์ทำอาหารออกอากาศ ทำให้ถั่วขายดี ชาวเขามีรายได้ราวคละ ๕,๐๐๐ บาท (สมัยนั้นไม่น้อยเลย) ปีถัดมาต้องสั่งเมล็ดพันธ์ถึง ๓๔ ตัน ... ทำให้แม้วพ้นจากความยากจน เลิกปลูกฝิ่นที่ทำแต่ไม่เคยพอกินมาเนิ่นนาน 
  • สตรอว์เบอร์รี่ ในเมืองไทยมีปลูกกันแถวริมคลองส่งน้ำในเชี่ยงใหม่ แต่เปรี้ยว ไม่อร่อย เก็บไม่นานก็เละ โครงการหลวงสนใจ ได้รับพันธุ์จากอาจารย์ ม.เกษตรฯ ๒๐ สายพันธุ์ เมื่อนำมาปลูกพบว่า พันธุ์ Tioga จากฮาร์วาย ได้ผลดีสุด  ต่อมาจึงพระราชทานให้ชาวบ้านปลูก  และเมื่อมีผลิตผลมา จึงส่งวิทยุไปกราบบังคมทูลขออนุมัติจ่ายเงิน ๙๒,๐๐๐ บาท เพื่อทำโรงงานทำแยม  ท่านบอกว่า "พระประมุขโครงการหลวงทรงตอบอนุมัติเวลา ๑.๓๕ น. ..... ในหลวงทรงงานดึกยิ่งนัก 
  • ที่สถานีวิจัยอ่างขาง ได้อาจารย์เกษตรที่จบปริญญาเอกวิชาสตรอว์เบอร์รี่ สามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้ดีกว่าเดิม เช่น พันธุ์พระราชทาน ๘๐ และล่าสุดพันธุ์พระราชทาน ๘๘ ฯลฯ ชาวปะหล่องและมูเซอปลูกคนละ ๑ ไร่ ได้เงินราว ๔ แสนบาท 
  • กระทกรก คือพืชอีกชนิดหนึ่งที่นำมาปลูกและพัฒนาบนอ่างขาง หม่อมเจ้าภีศเดชเป็นคนตั้งชื่อ (ท่านเขียนว่า โดยมิชอบ) ว่า "เสาวรส"  นอกจากนี้ท่านยังเปลี่ยนชื่อ "ลูกท้อ" ซึ่งความหมายไม่ดีในภาษาไทย ให้เรียกว่า "พีช" ตามภาษาฝรั่งด้วย 
  • นอกจากพืชผลไม้และดอกไม้แล้ว โครงการหลวงยังส่งเสริมให้เลี้ยงสัตว์ด้วย  มีทั้งสำเร็จไม่สำเร็จ  
  • มีการนำแพะมาเลี้ยงเพื่อเอานมผสมกาแฟ  แพะที่จะให้นมคือแพะที่เพิ่งคลอดลูก ปัญหาคือลูกแพะตัวผู้ ถ้านำไปทำตุ๋นเนื้อแพะจะอร่อยมาก แต่ชาวเขาที่เลี้ยงแพะรักมันมาก ตั้งชื่อให้แพะทุกตัว ตอนเขาจับแพะไปตุ๋นจะร้องไห้ไม่หยุด .... โครงกานี้เลยล้มไป 
  • รัฐบาลเยอรมันได้น้อมถวายแกะพันธุ์มาริโน่แลนเลต ๒๐ ตัว ทรงพระราชทานมาให้โครงการหลวง อยากให้ชาวเขาได้โปรตีน  เมื่อพาชาวเขาและ ตชด. ไปอบรมใกล้พระตำหนัก ตอนเย็นทรงพระราชทานเลี้ยงอาหารที่ทำจากแกะ ชาวเขาบอกว่าอร่อยดีและชอบ แต่เมื่อรู้ว่าเป็นแกะก็ไม่กินอีกเลย บอกว่าไม่เคยกิน.... โครงการนี้ล้มพับไปเช่นกัน 
  • ที่แม่กลาง ดอยอินทนนท์ อาจารย์ปศุสัตว์คนหนึ่งเห็นว่า วัวพันธุ์หนึ่งที่ต้องสั่งจากยุโรปน่าจะขยายพันธุ์ได้ดี ขยันออกลูกถ้านำมาเลี้ยงที่อากาศเย็น จึงจัดปลูกหญ้าและถั่วที่เป็นอาหารวัวหลายไร่ แต่ปรากฏว่า วัวไม่ได้ออกลูกมากกว่าการเลี้ยงข้างล่าง ... โครงการเลี้ยงวัวจึงสิ้นสุดลง 
  • หลังจากนั้น หม่อมเจ้าภีศเดช ได้ขอฝูงแกะมาเลี้ยงแทน ผลกลับเป็นดี ตอนนี้มีแกะฝูงใหญ่ให้ขนมาทำเครื่องนุ่งห่ม และมีเนื้อแก้ตัวผู้ส่งขาย 
  • โครงการความร่วมมือ UNODAC (United Nations Office on Drugs and Crime) ของยูเอ็นเกิดขึ้น ด้วยปัจจัยสำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างหม่อมเจ้าภีศเดชกับเพื่อนชาวอเมริกันชื่อดิค แมนน์ ครูสอนศาสนาให้กับกระเหรี่ยงบนดอย 
  • โครงการ UNODAC ทำให้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีงบวิจัยอย่างเพียงพอ ผลสำเร็จเกิดขึ้นจากการวิจัยมาก มีพืชเมืองหนาวออกอดกออกผลหลายอย่าง ... แต่ฝ่ายส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกสามารถทำได้ดีเฉพาะกาแฟกับถั่ว และยังปล่อยให้ชาวเขาขายเอง ไม่จัดการเรื่องตลาด 
  • ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทรงตั้งโครงการหลวงเป็นมูลนิธิโครงการหลวง ทรงดำรงตำแหน่งนายกมูลนิธิ มีหม่อมเจ้าภีศเดช เป็นประธาน 
  • โครงการ UNODAC ของ UN ทำงานอยู่ราว ๑๐ ปี มีการส่งเสริมพืชเมืองหนาวราว ๓ อย่าง แต่ไม่ได้ดำเนินการเรื่องจัดหาตลาด เมื่อเลิกไป โครงการหลวงจึงเข้าไปจัดการทั้งหมด จนชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นและเลิกทำไร่เลื่อนลอย ดอยกลายเป็นสถานที่เจริญรุ่งเรือง 
  • วิธีการทำงานเบื้องแรกของโครงการหลวงคือ ๑) ตั้งศูนย์ที่อยู่กลางหมู่บ้าน ๒) กรมพัฒนาที่ดินเข้าสำรวจ แบ่งที่ชันออกจากที่เพาะปลูกได้ ทำดินขั้นบันได ผลิตและปลูกหญ้าแฝก ช่วยเหลือเรื่องน้ำ ทำทางให้รถเดินสะดวก ๓) กรมชลประทานสำรวจหาที่ทำเขื่อน ถ้าที่ใดขาดน้ำบนดิน จะเจาะสำรวจน้ำใต้ดิน ฝังท่อสูบน้ำเข้าบ่อ ๔) กรมทางหลวง ทางไหนที่มีรถเดินมากพอ ก็จะทำถนน ๔) องค์กรไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็ต่อไฟฟ้าให้ใช้ทุกหมู่บ้าน 
  • โครงการหลวงมี ๔ สถานีเกษตรหลวง ที่อ่างขาง อินทนนท์ ปางดะ และแม่หลอด 
  • มีศูนย์พัฒนาทั้งหมด ๓๘ ศูนย์ มีรถธรรมดา ๔๐ คัน มีรถติดเครื่องทำความเย็น ๓๗ คัน และมีรถมอเตอร์ไซด์เป็นร้อยคัน ไว้สำหรับทำการตลาด  การตลาดเป็นเรื่องสำคัญ 
  • โครงการหลวง นำผักที่ไม่เคยปลูกมาปลูกในเมืองไทยกว่า ๑๐๐ ชนิด ผักทำเงินให้ชาวเขามากที่สุดถึงวันละ ๒ ล้านบาท ผลไม้ที่เด่นมี พีช พลับ พลัม สาลี่ มีเห็ด ๘ ชนิด มีปลาสเอร์เจียนออกไข่เป็นคาร์เวีย  ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เดือนเดียว โครงการหลวงขายของให้ชาวเขาได้กว่า ๑๘ ล้านบาท 
  • โครงการหลวง เป็นโครงการเดียวในโลก ที่สามารถกำจัดฝิ่นได้โดยนำพืชดีๆ มาปลูกแทนฝิ่น 
  • มีหลายประเทศที่ขอให้ไปช่วย เช่น โคลอมเบีย พม่า ลาว ฯลฯ 
  • ขณะนี้หม่อมเจ้าภีศเดช มีพระชนพรรษา ๙๖ พรรษา ยังคงทรงงานอยู่ ... ล่าสุด โครงการศูนย์พัฒนาที่จังหวัดตาก 
พิมพ์ผิดถูกต้องขออภัย แจ้งแก้ไขจะขอบพระคุณยิ่ง ...  เพียงอยากจะบันทึกแลกเปลี่ยนสาระสำคัญ และแบ่งปันแรงบันดาลใจในการน้อมนำและสืบสานพระราชปณิธานต่อไป 


  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น