วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

CADL _ โครงการสืบสานฯ ปี ๒๕๕๘ _ "สร้างคนดี เหนือสิ่งใด" โรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (๕) "กระบวนการเรียนรู้เพื่อยกระดับจิตใจ"

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่

อ่านบันทึกที่ ๓ ที่นี่ และ
อ่านบันทึกที่ ๔ ที่นี่ ครับ

แนวคิดของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เกี่ยวกับ "กระบวนการเรียนรู้เพื่อยกระดับจิตใจ" ให้ นักเรียนเป็น "คนดี" แสดงดังภาพด้านล่าง

 (คัดลอกและปรับจากสไลด์ที่ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เมื่อครั้งมาบรรยายที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๘ อ่านได้ที่นี่ และบันทึกของคุณสุรพงษ์ ผานาค อ่านที่นี่)

 หลักคิดสำคัญของกระบวนการเรียนรู้นี้ ได้แก่
  • นักเรียนเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่มากระทบกับประสานสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย
  • สิ่งที่มากระทบกับประสาทสัมผัสทั้ง ๕ จะถึงบรรจุเป็นความทรงจำ และประสบการณ์ ไว้ใน "จิตใต้สำนึก" ไม่ว่านักเรียนจะรับรู้ รู้สึกหรือไม่ก็ตาม 
  • "จิตใต้สำนึก" จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ใส่เข้าไป หากเป็นสิ่งแวดล้อมดีๆ ใส่แต่สิ่งดีๆ นักเรียนก็จะเป็นคนดี สิ่งที่ครูควรทำคือ ปลูกฝัง "คุณค่าความเป็นมนุษย์" ลงในใจของนักเรียนให้จงได้ 
  • จิตใต้สำนึกที่ดีจะทำให้ ตีความไปในทางที่ดี หรือก็คือ "คิดดี" ถ้าจิตใต้สำนึกไม่ดีจะส่งผลตรงข้าม เปรียบเหมือน คนใส่แว่นสีอะไรก็จะทำให้มองสิ่งใดกลายเป็นสีนั้นไปหมด ...
  • การรับรู้ หรือ "รู้" ของนักเรียน ท่านเรียกว่า "จิตสำนึก" เกิดจากการ "ตีความ" ข้อมูลใหม่ที่ได้จากสัมผัสทั้ง ๕ ร่วมกับข้อมูลที่เก็บไว้ในจิตใต้สำนึก  ...  สรุปคือ รับรู้เพราะคิดบนฐานความรู้หรือประสบการณ์เดิม 
  • การฝึกรับรู้ด้วยใจ หรือ รับรู้ด้วย "สัมผัสที่ ๖" จากแรงบันดาลใจ จากความรัก ความเมตตา จะสามารถยกระดับจิตใจของนักเรียนให้สูงขึ้นได้ 
  • เมื่อฝึกฝนสมถะและวิปัสนาถึงระดับหนึ่ง จะเข้าถึง มโนสำนึกหรือการหยั่งรู้ ท่านเรียกว่า "จิตเหนือสำนึก" .... ผมตีความว่านี้คือ ปัญญาญาณ... 
  • ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ กระตุ้นการเรียนรู้ ปลูกฝังจิตใต้สำนึกที่ดี เป็น "แรงเสริม" ของการยกระดับจิตใจของนักเรียน
ผมเขียนกระบวนการนี้จากความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง (สุตมยปัญญา) และคิด (จินตมยปัญญา) ตามสิ่งที่ อาจารย์ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ท่านบรรยาย ผิดถูกประการใด คงต้องเรียนรู้จากท่านโดยตรงนะครับ

AAR ตอนท้าย

คำถามสุดท้ายสำหรับการใช้ KM ทำงานคือ  " กลับไปจะไปอย่างไรต่อ? "  อันที่จริงเราก็ไม่ได้ตั้งคำถามเตรียมตรงขนาดนี้ เพียงแต่พยายามให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมสะท้อนความเข้าใจ ว่าตนเองประทับใจอะไรเป็นที่สุด และจะนำสิ่งใดไปปรับใช้ได้บ้าง...

คำตอบคือ "การทานมังสวิรัติ"  "พี่ดูแลน้อง" "การกอด" และ การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วย่ ๒ คำถาม คือ ดีต่อตัวเองไหม ถ้าดีต่อเราเอง แล้วดีต่อทุกคนไหมหรือทุกสิ่งไหม ถ้าใช่ทั้ง ๒ ข้อ ก็ทำได้เลย....   ดังที่ผมเขียนไว้ในแต่ละบันทึกที่ผ่านมานั่นเองครับ ...


วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

CADL _ โครงการสืบสานฯ ปี ๒๕๕๘ _ "สร้างคนดี เหนือสิ่งใด" โรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (๔) วิธีขับเคลื่อนปรัชญาฯ ของสัตยาไส

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่

อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๓ ที่นี่ ครับ

โรงเรียนสัตยาไส เป็นหนึ่งใน ๖๗ โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐพอเพียงด้านการศึกษา วิธีการขับเคลื่อนหลักปรัชญาฯ แสดงไว้ข้างถนนคนเดิน ที่ผู้ศึกษาดูงานและนักเรียนทุกคน ต้องเดินผ่านหลายรอบ



แผนภาพด้านบนแสดงหลักการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของโรงเรียนสัตยาไส จะเห็นว่าโรงเรียนสัตยาไส ปลูกฝังหลักปรัชญาฯ เป็นหลักคิดในการดำเนินชีวิต คือ "ก่อนจะทำอะไรต้องคิดก่อน" คิดบนหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ และเพิ่มเติมเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจด้วย ๒ คำถาม
  • ดีต่อตัวเราไหม? ....  ถ้าไม่ดี ไม่ต้องทำ ... ถ้าดี ถามต่อ
  • ดีต่อทุกคนหรือทุกสิ่งไหม?  ... ถ้าดี ให้ทำได้เลย ... แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องทำ 
สรุปว่า ต้องต่อตัวเราและดีต่อทุกคน/ทุกสิ่ง  จึงตัดสินใจทำ

ผมสังเกตเห็นลูกศร(สีเขียว)ที่เชื่อมโยง ๔ มิติ ชี้ออกมาจากตำแหน่งเฉพาะต่อไปนี้ จึงตีความว่า น่าจะมีความหมายสำคัญดังนี้
  • มิติวัตถุ เชื่อมโยงจาก ห่วงพอประมาณ จึงน่าจะเน้นปลูกฝังเรื่องการบริโภคหรือการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างพอประมาณ ไม่สุดโต่งจนกลายเป็นบริโภคนิยมหรือทุนนิยมอย่างปัจจุบันนี้
  • มิติสังคม เชื่อมโยงจากเงื่อนไขคุณธรรม แสดงถึงการให้ความสำคัญของคุณธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณธรรม ๕ ประการ (เปรมา สัตยา ธรรมา สันติ และอหิงสา) ที่โรงเรียนใช้เป็นหลักในการปลูกฝังความดีให้กับนักเรียน  
  • มิติสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงตรงจากเงื่อนไขความรู้ สอดคล้องกับกิจกรรมที่โรงเรียนกำหนดให้นักเรียนเรียนร่วมกันทั้งหมด และเน้นเรียนแบบรู้จริงเรื่อง พลังงานทดแทนตอน ม.๑ เรื่องเกษตรธรรมชาติตอน ม.๒ และเรื่องโลกร้อนตอน ม.๓ ...  ผมตีเองว่า ... ท่านกำลังสอนว่า เราใช้วิทยาศาตร์เพื่อรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อเอาชนะธรรมชาติ
  • มิติวัฒนธรรม เชื่อมโยงจากห่วงเหตุผล นั่นน่าจะหมายถึง การปลูกฝังนักเรียนให้รู้จักเลือกรับวัฒนธรรมซึ่งหมายถึงสิ่งที่ดีงามจริงๆ ไม่ใช่รับเอาสิ่งที่เรียกว่า "วัฒนธรรม" ซึ่งทำตามกันมา หลายอย่างไม่รู้ว่าทำไปทำไม ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี มีเหตุผลที่ถูกต้องหรือไม่ 
สาเหตุที่เขียนหลายที่ว่า "น่าจะ" เพราะผมไม่ได้สัมภาษณ์สนทนากับท่านอาจารย์ ดร.อาจอง หรือ ผอ. เรื่องนี้  ...  ดังนั้นหากไม่ตรงตามความเป็นจริง ถ้าท่านผู้อ่านเป็นครูหรือศิษย์เก่า โปรดแก้ไขแนะนำด้วยเถิด เพื่อให้การขยายผลสู่ตนและคนอื่นๆ เป็นไปอย่างถูกต้องต่อไป









วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

CADL _ โครงการสืบสานฯ ปี ๒๕๕๘ _ "สร้างคนดี เหนือสิ่งใด" โรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (๓) ความรักกับการกอด

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่
อ่านบันทึกที่ ๒ ที่นี่

โรงเรียนสัตยาไส ตั้งชื่อตามผู้นำทางจิตวิญญาณชื่อ ศรีสัตยาไส บาบา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสัตยาไส ปัจจุบันมีโรงเรียนสัตยาไสแล้ว ๕๗ แห่ง ใน ๕๓ ประเทศทั่วโลก ในประเทศไทย ร.ร.สัตยาไส เกิดจากแรงบันดาลใจของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากการแนะนำให้ใช้เวลาที่เหลือของชีวิตทำเรื่องการศึกษา เมื่อครั้งไปพบท่านสัตยาไสที่เมืองพุทธปาตี อินเดีย  (สนใจอ่านต่อได้ที่นี่ครับ) เพื่อมุ่ง "สร้างคนดี เหนือสิ่งใด" โดยใช้คุณธรรม ๕ ประการเป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้แก่ ๑) ความรักความเมตตา ๒) ความจริง ๓) ความประพฤติชอบ ๔) ความสงบสุข และ ๕) การไม่เบียดเบียน โดยใช้กลไกกำหนดเป็นรายวิชา "คุณค่าความเป็นมนุษย์" (Human Value) ใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาทีของทุกวันหลังเคารพธงชาติ  

ผอ. เล่าว่า ชั่วโมงวิชา "คุณค่าความเป็นมนุษย์" คล้ายกับชั่วโมงโฮมรูมที่เรารู้จัก เพียงแต่เน้นการเรียนรู้ตนเองจากภายใน คิด อภิปราย ไคร่ครวญด้วยใจ แทนการบรรยายหรืออบรม โดยจะค่อยๆ คุยกันไปทีละไปทีละ "ประเด็น" พร้อมกับการปลูกฝังผ่านกิจวัตรประจำวัน แบบทุกที่ทุกเวลา 

ความรักความเมตตา กับ การกอด

สิ่งที่นิสิตเด็กดีมีที่เรียนประทับใจที่สุด ตามที่ได้สอบถามตอนเราทำ AAR หลายคนบอกว่า ประทับใจ "ความรัก" การแสดงความรักความเมตตาด้วย "การกอด"

"การกอด" ที่เราเห็นที่นี่ ไม่ใช่การกอดพอเป็นพิธี แต่เป็นการกอดรัดแน่น สีหน้า แววตา ขณะโอบกอด เป็นธรรมชาติ เหมือนพ่อแม่กอดลูก พี่กอดน้อง เพื่อนรักรัดกอดกันเมื่อประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง  น่าจะสรุปว่า  "กอดด้วยความรักความเมตตา"

สังเกตว่า "การกอด" ที่โรงเรียนสัตยาไส มีทั้งแบบกิจกรรมและเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว กล่าวคือ หลังกิจกรรมสวดมนต์ร้องเพลงตอนเช้าตรู่ และกลังจากกิจกรรมเคารพธงชาติ วิธีการคือ อาจารย์ ดร.อาจอง ผอ. และครู จะยืนอยู่ตรงทางออกที่เด็กๆ ต้องเดินแถวผ่าน  ท่านจะได้กอดเด็กทุกคน ขณะกอด ผอ. ก็จะคอยจับ "พุง" จับแขน จับหน้าผาก ตรวจเช็คสุขภาพไปด้วย และให้คำแนะนำทักทายหลากหลายแบบแตกต่างกันไปสำหรับเด็กแต่ละคน .... นี่คือ "เด็กเป็นศูนย์กลาง" อย่างแท้จริง







ความจริง


"...ความจริงคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ ความจริงสูงสุดก็คือ นิพพาน ...  ส่วนความประพฤติชอบก็เหมือนศีล ๕ ในศาสนาพุทธ  เพียงแต่ศีลเป็นข้อห้าม ส่วนคุณธรรม ๕ ประการ คือการปฏิบัติตน ..."

ข้างต้นที่เป็นคำตอบของนักเรียนชั้น ม.๖ เมื่อผมถามว่า "ความจริงคืออะไร?"...


คุณธรรมข้ออื่นๆ  ท่านผู้อ่านจะแลกเปลี่ยน เล่าให้ฟัง ก็จะขอบพระคุณมากครับ



CADL _ โครงการสืบสานฯ ปี ๒๕๕๘ _ "สร้างคนดี เหนือสิ่งใด" โรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (๒) รุ่นพี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นน้อง

อ่านบันทึกที่ ๑ ที่นี่ 

รุ่นพี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นน้อง

บรรยายกาศที่เห็นแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป ในขณะที่เรารับประทานที่โรงอาหารกลางของโรงเรียน คือ เสียงพูดคุยสนทนาของเด็กๆ ดังสนั่นห้องโถง "อาจารย์ ดร.อาจอง" บอกว่า "...เวลากินข้าวร่วมกันจะเสียงดังแบบนี้เป็นธรรมชาติ..."  ที่นี่ไม่มีครูคอยออกคำสั่ง ใช้ระบบ "รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง" และใช้หลักของการ "เป็นแบบอย่างที่ดี" ของรุ่นพี่ โดยมีสภานักเรียนที่เรียกกันว่า "พี่ Prefect" ซึ่งแปลว่า เจ้าหน้าที่ ในที่นี้น่าจะหมายถึง "หัวหน้านักเรียน" (ผมได้คำแปลจากที่นี่) เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม รุ่นพี่จะยืนขึ้น น้องๆ ทุกคนยืนตาม เวลานี้ความเงียบและความพร้อมเพียงก็เข้ามา พร้อมๆ กับการทำความเคารพท่านประธาน ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทานอาหารพร้อมๆ กัน  เด็กๆ จะทำแบบนี้อีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหลังรับประทานอาหารเสร็จ

ผมชอบวิธีจัดโต๊ะในโรงอาหาร ที่จัดโต๊ะให้ "อาจารย์" (นักเรียนที่นี่จะเรียก ดร.อาจอง ว่าอาจารย์) และผู้อำนวยการลัดดา (เด็กๆ ที่นี่ยังคงเรียกท่านว่า "ครูกุ้ง") นั่งโต๊ะบนเวที หันหน้ามาหาเด็กๆ ดังรูป ด้านล่าง


นักเรียนที่นี่ตื่นตั้งแต่เช้าตี ๔ หรือ ๕ อาบน้ำทำกิจส่วนตัวแล้วมารวมกันที่ห้องประชุมโถงใหญ่ขนาดประมาณ ๗๐๐ คน น่าจะได้ กิจวัตรคือร้องเพลงและสวดมนต์ โดยมีดนตรีประกอบ ซึ่ง ดร.อาจอง ท่านเล่นเปียโนด้วยตนเอง และมีคุณครูลอเรนซ์เล่นแอคคอร์เดียนประกอบกัน  โดยจะเริ่มกิจรรมตามลำดับคือ สวดสักการะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อิมินาสักกาเรนะฯ->อรหังสัมมาฯ -> บทสวดเสริฐสรรทำนองทิเบต -> ร้องเพลงพร้อมกัน -> อ.ดร.อาจอง เล่านิทานคุณธรรม -> สะท้อนบทเรียนจากนิทาน  ผู้สนใจกิจวัตรทั้งวัน และแนวทางการเรียนรู้ สืบค้นหาดูได้ไม่ยากเลยครับทาง Youtube  เช่น
https://youtu.be/dLe6JaZ1c-I เป็นต้น

สังเกตว่าแม้แต่ตอนนั่งในอาคาร รุ่นพี่พรีเฟค จะแทรกอยู่ระหว่างรุ่นน้องๆ นั่่นหมายถึง คำว่ารุ่นพี่ดูแลรุ่นน้องนั้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องปกครอง แต่พี่จะคอยเป็น "ตัวอย่างที่ดี" ให้รุ่นน้องในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ เวลาที่ทำกิจกรรมร่วมกัน

เมื่อกิจกรรมตอนเช้าเสร็จสิ้น ทุกคนก็เดินไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหาร โดยไม่มีการให้สัญญาณใดๆ เหมือนทุกคนจะรู้เวลาว่าตอนไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ ฯลฯ เป็นอย่างดี ...

หลังประทานอาหารเช้า เด็กๆ จะมีช่วงเวลาเพลินเล่นระยะหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงเพลงเป็นสัญญาณดังขึ้น  นักเรียนจะไม่รีบรุกรนรุกรี้ทันที เหมือนตอนสมัยเด็กที่เราได้ยินเสียงระฆัง แต่ที่สัตยาไสใช้เพลง ๓ เพลงเป็นทั้งสัญญาณและการสื่อสารกับนักเรียนว่า เพลงแรกให้เตรียมตัวและเริ่มทะยอยเดินมาหน้าเสาธง จบเพลงที่สองทั้งพี่ทั้งน้องจะพร้อมกันที่หน้าเสาธง ระหว่างเพลงที่ ๓ นอกจากจะจัดระเบียบตนเองแล้ว ผมยังสังเกตเห็นการตรวจนับจำนวนน้องของรุ่นพี่พรีเฟค และยิ้มไหว้ทักทายกันระหว่างน้องพี่ ....  ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า วิธีแบบนี้ที่ผมประทับใจเมื่อครั้งไปเยี่ยม ร.ร.นอกกะลา มาจากไหน ...



ครูเพ็ญศรี ใจกล้า ครูเพื่อศิษย์ที่เดินทางไปด้วยกัน ประทับใจในความง่าย สบาย ของเครื่องเด็กกายที่นักเรียนใส่ที่นี่มาก โดยเฉพาะร้องเท้าแตะหลากหลายแบบที่นักเรียนใส่ และเสื้อสีแสดกางเกงวอร์มสีดำ  ...  ผมคิดว่านี่เป็นวิธีการปลูกฝังความเข้าใจใน "คุณค่าแท้" ของสิ่งของที่ใช้ได้ดีมาก...

กิจกรรมทุกอย่างดำเนินไปตามลำดับ ร้องเพลงชาติพร้อมกัน กล่าวคำปฏิญาณพร้อมกัน โดยไม่มีครูเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ โดยใช้ไมโครโฟนสนามเล็กๆ ที่ทุกคนได้ยินเสียงไม่ดังเกินไป เว้นแต่ตอนท้ายที่ประธานนักเรียนจะเชิญให้ผู้อำนวยการออกมาพบนักเรียนหน้าเสาธง

วันนี้ (๒๓ ก.ย. ๕๘) ผู้อำนวยการบอกกับนักเรียนว่า  "...วันนี้ครูมีแขกพิเศษมาเยี่ยม..."  เสียงฮือฮายินดี ทุกคนหันหน้ามองไปยัง พิมพ์ (สัจจาพร) นักเรียนทุนเศรษฐกิจพอเพียง อดีตประธานนักเรียน ศิษย์เก่าที่นี่ ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ผมมั่นใจว่า ผอ. ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า และประทับใจที่พิมพ์เดินออกมาหน้าเสาธงทันทีโดยไม่มีอาการประหม่าใดๆ เลย  และพูดได้อย่างดีเยี่ยม แม้ไม่ได้เตรียมมาก่อน หัวข้อที่ ผอ. มอบให้ คือ   "ประสบการณ์การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากสัตยาไสไปปรับใช้ในชีวิตมหาวิทยาลัย" ...

พิมพ์บอกว่า  สิ่งที่มีประโยชน์และได้นำไปใช้มากๆ คือ ความเป็นผู้นำที่ตนเองได้รับจากการเป็นพี่ "พรีเฟค" และเป็นประธานนักเรียน  ประสบการณ์จากในระบบพี่ดูแลน้อง หล่อหลอมให้เธอสามารถเป็นผู้นำนิสิตในรุ่นที่เธอศึกษาอยู่ ปัจจุบันเธอศึกษาอยู่ชั้นปี ๒ ของคณะบัญชีและการจัดการ มมส. ... ความจริงทีมจากก มมส. มาศึกษาดูงานครั้งนี้ได้ก็เพราะพิมพ์ประสานติดต่อให้... และโดยเฉพาะ ท่านอาจารย์อาจอง ท่านยังเป็นผู้พาเราทัศนศึกษา และให้การดูแลอย่างอบอุ่นที่สุด ....ขอบคุณมากๆ ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ไว้ตรงนี้อีกครั้งหนึ่งครับ...

ผมถามนักเรียนชั้น ม.๖ เกี่ยวกับระบบ "พี่ดูแลน้อง" น้องตอบทันทีว่า ".สำคัญที่การทำเป็นแบบอย่าง  แบบอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน..."   แล้วถ้าน้องไม่ทำล่ะ?  เช่นถ้าน้องมาสายล่ะ?  "ก็จะมีวิธีให้ทำความดี บำเพ็ญประโยชน์ เป็นมาตรการทำโทษแบบสร้างสรรค์ๆ..."


สรุปคือ "พี่ดูแลน้อง" ต้อง "เป็นแบบอย่าง" ....

บันทึกต่อไปจะว่าด้วย "ความรัก" กับ "การกอด" ครับ ...