วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เรียนรู้เรื่องธาตุอาหาร จากคลิปบรรยายของ รศ.ดร.ยงยุทธ โอสถสภา

ช่วงนี้ผมกำลังสนใจความรู้และงานวิจัยเกี่ยวกับพืชและอาหารพืช จากการสืบค้นเรียนรู้จากกูเกิล ผมพบว่า คลิปบรรยายของ รศ.ดร.ยงยุทธ โอสถสภา เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคลิปหนึ่ง  เพื่อให้ตนเองได้เรียนรู้ลึกและละเอียดมากขึ้น จึงจับประเด็นมาไว้ เผื่อท่านผู้อ่านจะได้ประโยชน์ด้วยครับ


ความรู้เบื้องต้นที่จำเป็นต้องทราบ

  • อาหารพืชมี ๑๖ ชนิด แบ่งตามปริมาณที่พืชต้องการเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ 
    • ธาตุที่ใช้เยอะ ๙ ตัว (มหธาตุ) ได้แก่  ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม กัมมะถัน (๖ ตัวนี้ได้จากในดิน) คาร์บอน ออกซีเจน และคาร์บอน (สามธาตุนี้ได้จากในอากาศ)
    • ธาตุที่ใช้น้อย (แต่ต้องมี เรียกว่า จุลธาตุ) ๙ ตัวได้แก่ เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โมลิบดินัม คลอรีน นิกเกิล และโบรอน
  • ธาตุในโตรเจน
    • มีอยู่ในอินทรีย์วัตถุมาก  ส่วนในหิน ในแร่ มีน้อยมาก  
    • จุลินทรีย์จะเป็นผู้ย่อยและนำไนโตรเจนออกมาจากอินทรีย์วัตถุ ที่ละน้อย ๆ ช้า ๆ 
    • ในพืชตระกูลถั่วจะมี จุลินทรีย์ชื่อ ไรโซเบียม จะตรึงไนโตรเจนมาไว้ในปมราก 
  • ฟอสฟอร์รัส 
    • มีอยู่ในหินและแร่มาก มีในอินทรีย์วัตถุน้อยมาก 
    • จะถูกตรึงไว้ในดิน ปลดปล่อยช้ามาก พืชไม่สามารถนำมาใช้ได้ 
    • ในดินมีเชื้อราชนิดหนึ่งชื่อ ไมครอไรซ่า จะขอน้ำตาลจากรากพืช แล้วดูดธาตุอาหารจากดินมาให้พืช  (ซื่อสัตย์มาก)
    • ความเป็นกรด-ด่างของดิน มีผลต่อการปลอปล่อยฟอสฟอร์รัสของดินมาก  
    • ถ้าดินเป็นกรดมาก จะทำปฎิกิริยากับเหล็ก อะลูมิเนียม ตกตะกอน พืชดินไม่ได้
    • ถ้าเป็นด่างมาก จะทำปฏิกิริยากับแคลเซียม แมกนีเซียม หรือปูน ไม่ละลายน้ำ พืชจึงกินไม่ได้
  • โพแทสเซียม
    • มีในหินและแร่เช่นเดียวกับฟอสฟอร์รัส ปุ๋ยอินทรีย์มีโพแทสเซียมน้อย และถูกตรึงไว้ไม่ให้พืชกิน เช่นกัน
  • ถ้าพืชขาดธาตุอาหารอย่างรุนแรงจะแสดงอาการออกมาทางใบ ถ้าเป็น NPK จะแสดงออกที่ใบล่าง หรือใบแก่ ดังนี้ 
    • ถ้าขาดไนโตรเจน ใบจะเหลืองทั้งใบ 
    • ถ้าขาดฟอสฟอร์รัส ใบจะเป็นสีม่วง
    • ถ้าขาดโพแทสเซียม จะเริ่มเหลืองขอบ ๆ ใบ
ความรู้เชิงลึกของนักวิชาการ


  • หน้าที่ของธาตุไนโตรเจน
    • ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิล ที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างโปรดตีนและเอนไซม์ เมื่อขาดไนโตรเจน จึงไม่สามารถสร้างคลอโรฟิล จึงไม่เขียว จึงเหลืองนั่นเอง เมื่อขาดเอนไซม์เซลพืชหยุดเจริญเติบโต 
    • ดีเอนเอ มีไนโตรเจนและฟอสฟอร์รัสเป็นองค์ประกอบ 
    • ฮอร์โมนพืช ๒ อย่างที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ ไซโตไคนินที่ใช้ในการแบ่งเซล์ และออกซินที่ช่วยให้เซล์โตขึ้น  เมื่อขาดไนโตรเจนพืชจึงไม่โต แกร็น
    • ไนโตรเจน จำเป็นสำหรับโมเลกุลสัญญาณ คือ ไนทริกออกไซด์ มีความสำคัญต่อการงอก การทำงานของฮอร์โมนพืช  ควบคุมการทำงานของเซล์ในเรื่องต่าง ๆ 
  • หน้าที่ของฟอสฟอรัส 
    • เป็นองค์ประกอบสำคัญของ DNA ซึ่งทำหน้าที่สร้าง RNA ซึ่งทำหน้าที่สร้างโปรตีน อันเป็นหัวใจของการสร้างเอนไซด์ ที่ควบคุมทุกอย่าง
    • เป็นองค์ประกอบของ สารพลังงานสูง (ATP) ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเคราะห์สารอาหารทุกชนิดและการหายใจ การดูดธาตุอาหาร 
    • ดังนั้นถ้าขาดฟอสฟอรัส พืชจึงไม่โต
  • หน้าที่ของโพแทสเซียม
    • ทำหน้าที่เปิดปากใบ  ถ้าปากใบไม่เปิด ก็คายน้ำไม่ได้ คายน้ำไม่ได้รากก็ดูดน้ำไม่ได้ เมื่อดูดน้ำไม่ได้ ก็ลำเลียงธาตุอาหารขึ้นข้างบนไม่ได้  
    • ดังนั้นโพแทสเซียม (และโบรอน) จึงเป็นกลไกของการลำเลียงอาหารของพืช ถ้าแบ่งอวัยวะของพืชออกเป็นผู้สร้างและผู้ใช้  ผุ้สร้างอาหารคือใบ ผู้ใช้คือราก ยอดอ่อน ดอก ผล ซึ่งถ้าขาดผู้ส่งอาหาร จึงไม่ออกดอกออกผล
    • เมื่อใบพืชเจอเชื้อโรค พืชจะสั่งให้ทุกเซล์สร้างสารปฏิชีวนะขึ้นแล้วส่งไปทั่ว ดังนั้นโพแทสเซียมจึงมีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันโรคมาก 
วันนี้พอแค่นี้ครับ .... เจอกันใหม่

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับมรรค

ยิ่งศึกษาเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยิ่งปรากฏเป็นสิ่งลึกซึ้งยิ่งนัก ช่วงสิ้นปีนี้ ๒๕๖๒ ระลึกขึ้นชัดในใจว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกลมกลืนกับมรรคในพุทธศาสนาอย่างยิ่ง  ดังจะแจกแจงพอสังเขป ดังต่อไปนี้


ภาพด้านบนนี้ สะท้อนความคิดฟุ้งซ่านไปตามธรรมชาติของผู้ฟุ้งซ่านอย่างผม  ...  ประเด็นที่อยากแลกเปลี่ยนกับท่านจริง ๆ สั้น ๆ  ผมสังเกตว่า

  • ทุกคนที่ "เข้าถึง" ความ "พอเพียง" ล้วนแล้วแต่ศรัทธา กำลังศึกษา และมีเป้าหมายปลายทางแห่งการพ้นทุกข์ ทั้งหมด
  • คำสอนของในหลวงรัชกาลที่ ๙ สอดคล้องกับ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์อย่างลงตัวที่สุด  ท่านลองพิจารณา วิธีการในโอวาทปาฏิโมกข์ ต่อไปนี้ 
    • การไม่ทำร้าย 
    • การไม่กล่าวร้าย 
    • การสำรวมในปาฏิโมกข์ 
    • การประมาณในการบริโภคปัจจัยสี่
    • นั่งนอนในที่อันสงัด ไม่คลุกคลี 
    • การทำความเพียรในสมถะและวิปัสนา 
ยิ่งศึกษา ยิ่งเดินตามรอยพระราชปณิธาน ยิ่งเข้าใจว่า การศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น ก็คือ การศึกษาที่พาเด็ก ๆ เยาวชน ศึกษาภาคปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง 

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562

บ้านสวนขวัญข้าว ๑๒ "ปล่อยปลา เนื่องในวันคล้ายวันเกิดคุณยาย"

วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ สำหรับคนไทย  ถือเป็นวันสำคัญยิ่งเนื่องในวันปิยมหาราช สิ่งที่ผมนำมาเล่าบ่อย ๆ ในชั้นเรียนเพื่อยกตัวอย่างพระปรีชาสามารถมากมาย คือ พระองค์ทรงเลิกทาส เปลี่ยนระบบโครงสร้างสังคมใหญ่ โดยไม่เสียเลือดเนื้อไทยใดๆ เลย  ทรงใช้เวลาถึง ๓๑ ปี (พ.ศ. ๒๔๑๗-๒๔๔๘) ในการเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป  น่าจะเป็นที่เดียวในโลก....

สำหรับครอบครัวเรา วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นวันสำคัญยิ่งเนื่องเพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณยายของขวัญข้าว ปีนี้ครบ ๖ รอบ ๗๒ ปีพอดี เราทุกคนขอให้คุณแม่ คุณยาย มีสุขภาพดีเช่นวันนี้ตลอดไป....

กิจกรรมวันสำคัญนี้มีหลายกิจกรรม ผมเสนอกิจกรรมทำบุญด้วยการปล่อยปลาที่บ้านสวนขวัญข้าว ท่านอ่านถึงตรงนี้อาจแย้งว่า จะเป็นทำบุญได้ไง ถ้าปล่อยไว้ในสระน้ำบ้านสวนฯ ไม่ใช่จะถูกจับมากินหรือนำไปขายหรือ?....  ประเด็นอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ...  บ้านสวนขวัญข้าว จะเป็นสวนแห่งธรรมะ ปลาที่ปล่อยนี้จะได้รับอิสระภาพตลอดไปในชีวิตมัน  น้ำในสวนมีปริมาณมากพอที่จะไม่แห้งเลยตลอดปี  จะไม่มีใครวิดบ่อหรือสูบจับปลาไปกินหรือขาย เว้นแต่จะมีคนฝ่าฝืนแอบเข้าไปขโมย กรณีนั้นก็คงต้องเปล่อยเป็นชะตากรรมของแต่ละชีวิต ซึ่งทุกตัว ทุกคน ต้องทุกข์ทนอยู่กับวัฎจักรนี้ต่อไป  อย่างไรก็ดี เราจะพยายามรักษาระบบนิเวศให้เป็นธรรมชาติให้มากที่สุด



  • ๒๓ ตุลาฯ ๒๕๖๒ ปล่อยปลากินพืช  ๒ ชนิด คือ ปลาตะเพียน กับปลานิลจิตรลดา (คนขายบอกว่ามีผสม ๆ กัน ระหว่างจิตรลดากับซีดี) จำนวน ๑๒ ถุง 



  • คุณยายปล่อยเองก่อน จากนั้นก็ช่วยหลาน ๆ ปล่อยทีละคน เริ่มจากพี่ขวัญก่อน  



  • ตามด้วยน้องข้าวหอม ปล่อยปลานิลและ "ปลาส้ม" ....ฮา  


  • ผมชวนน้อง ๆ ลูกชายคุณนายดอกอ้อสอง มาปล่อยด้วย (เจ้าตัวเล็กนั่นไม่มีความกลัวเลย ...  คุณนายเล่าให้ฟังว่า หัดขับจักรยาย เปลี่ยนจาก ๔ ล้อ เป็น ๑๒ ล้อได้ภายใน ๒ ชั่วโมง)



แม้แต่ไอส์ไตล์ ยังเคยบอกไว้ว่า  "ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบ จะนำความสุขมาให้ยิ่งกว่าการไล่ติดตามความสำเร็จ รวมทั้งความกังวลทั้งหลายที่มากับมันตลอดเวลาด้วย" ....  การปลูกฝังให้ขวัญและข้าว มีชีวิตที่ "เรียบง่าย" เป็น แต่ต้อง "เท่าทันสมัย" ด้วย เป็นความท้าทายยิ่ง ในการเลี้ยงลูก ....

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ศาสตร์พระราชา "การออกแบบและจัดการพื้นที่" (ที่ชัดเจนที่สุดเท่าทีเคยฟังมา)

คลิปด้านล่างนี้ เป็นคลิปที่อธิบายการนำศาสตร์พระราชา (ในหลวง ร.๙) มาใช้ในการจัดการพื้นที่ ได้อ่างละเอียดและชัดเจนที่สุด เท่าที่ผมเคยฟังมา ... ผมตั้งใจว่า จะถอดบทเรียนจากการฟังคลิปนี้ นำไปเสนอกับอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป ในบทที่เกี่ยวกับ "โคก หนอง นา" เผื่อว่าท่านจะเห็นดีด้วยว่า ควรจะนำไปบรรจุไว้ในรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่


เป็นคลิปการถอดบทเรียนตนเองและถ่ายทอดโดย อ.ปัญญา ปุลิเวคินทร์  ผู้บุกเบิกและพัฒนาศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จ.นครนายก 

การออกแบบและจัดการพื้นที่ มีหลักการสำคัญ ๆ ๖ ข้อ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ป่า(พืช) และคน (ผมเคยถอดบทเรียนจากคลิป อ.ยักษ์ไว้ที่นี่)


๑) การจัดการดิน

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงสอนว่า "ถึงแม้ว่าดินจะมีหินและทราย แต่เหินและทรายมีธาตุอาหารสำหรับพืชพอสมควร เพียงแต่ไม่มีจุลินทรีย์ มาช่วยกันทำให้ดินมีจุลินทรีย์โดยการอย่างปอกเปลือกเปลือยดิน ให้ห่มดิน" ทรงมีรับสั่งเรื่องนี้ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาที่ห้วยทราย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี

ทรงสอนว่า ให้ทำให้ดินมีจุลินทรีย์ด้วยการห่มดิน การห่มดินก็คือการคลุมดินด้วยเศษวัสดุอินทรีย์จากการเกษตร เป็นวัสดุอินทรีย์อะไรก็ได้ที่มีอยู่ตามภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่ ทางภาคเหนือปลูกข้าวโพดเยอะ ให้ใช้ซังข้าวโพด ภาคใต้ใช้กากกาฟ ทะลายปาล์มหรือใบปาล์ม ภาคกลางภาคอีสานใช้ฟางข้าว แตกต่างกันไป หรืออาจใช้เศษใบไม้ที่มีอยู่ เมื่อดินถูกห่มไว้ ไม่ให้แสงแดดเผาดิน ดินจะร้อนละชื้น เหมาะสมให้จุลินทรีย์ที่อาศัยในอากาศมาอาศัยอยู่ แบ่งตัวขยายพันธุ์กันและอาศัยอยู่ในดิน

เหตุผลที่พืชจำเป็นต้องพึ่งพาจุลินทรีย์ เพราะพืชไม่สามารถที่จะย่อยอาหารเองได้ ดินไม่ใช่อาหารของพืช จุลินทรีย์จะอาศัยอยู่ตามปลายรากของพืช ทำหน้าที่ย่อยสารอินทรีย์ต่าง ๆ กลายเป็นอาหารของพืช
(ผมแนะนำให้ดูคลิป "ชีวิตในดิน" ซึ่งผู้รู้หลายท่านใช้ประกอบในการอบรม)


ประโยชน์ของการห่มดิน ๔ ประการ ที่สำคัญ ได้แก่


  • เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ ... ดังที่ได้กล่าวไป 
  • เก็บความชื้นและป้องกันการระเหยของน้ำในดิน  ... ยิ่งแล้งให้ยิ่งห่มให้หนา 
  • เมื่อสิ่งที่ใช้ห่มดินเน่าเปื่อย จะกลายเป็นอาหารของสัตว์หน้าดินที่ช่วยพรวนดินและถ่ายมูลเป็นปุ๋ย เช่น ใส้เดือน แมลงแกลบ กิ้งกือ ฯลฯ  สัตว์เหล่านี้จะกินของเน่าเปื่อย 
  • เมื่อจุลินทรีย์ย่อยสลายวัสดุดินทรีย์จะได้ฮิวมัส ซึ่งก็คือปุ๋ยชั้นดี ปุ๋ยก็คืออาหารพืชนั่นเอง  ลักษณะของฮิวมัสจะมีสีดำ ดังนั้นจะเห็นว่าดินในป่าในที่อุดมสมบูรณ์จะเป็นดินสีดำ ซึ่งก็เกิดจากจากการย่อยสลายหินนั่นเอง 


แต่ก่อนโลกเราไม่มีดิน ดินเกิดจากหิน ใช้เวลาหลายล้านปี หินจึงกลายเป็นดินหนาขึ้น ๆ นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า พลังงานที่มาจากดวงอาทิตย์ไม่ได้ศูนย์หายไปไหน (ตามกฎการอนุรักษ์พลังงาน) พืชใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง สะสมกลายมาเป็นกิ่งก้านใบเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เมื่อสิ่งมีชีวิตตายไป ก็ถูกย่อยสลายกลายมาเป็นดิน ... โดยสรุป รากฐานของชีวิตในโลกไม่ใช่ต้นไม้ แท้จริงแล้วคือจุลินทรีย์ที่สร้างต้นไม้ ... จึงควรจะเข้าใจให้ถูกว่า จุลินทรีย์ต่างหากที่เป็นผู้สร้างโลก

ประโยชน์ของจุลินทรีย์กลุ่มต่าง มี ๕ ประการ ดังนี้


  • ช่วยตรึงในโตรเจนในอากาศ ... จุลินทรีย์ในอากาศมี ๗๘ เปอร์เซ็นต์ จุลินทรีย์บางกลุ่มจะช่วยตรึงในโตรเจนในอากาศลงมาไว้ให้เป็นอาหารของพืช  
  • ช่วยย่อยเศษซากพืชซากสัตว์ 
  • ช่วยย่อยแร่ธาตุจากหิน ลูกรัง ทราย เช่น เหล็ก สังกะสี แมงกานิส แคลเซี่ยม 
  • ช่วยสร้างฮอร์โมนให้พืช เช่น ไซโตไคนิน จิบเบอริลิน อ๊อกซิน 
  • สร้างสารป้องกันโรคพืช 


อ.ปัญญา ยกตัวอย่าง ให้ลองนึกถึงความแตกต่างของสีใบพืชระหว่างการรดน้ำธรรมดาที่เราใช้น้ำในบ่อในสระหรือน้ำบาดาล กับสีของใบพืชหลังฝนตก  จะพบว่า หลังฝนตกใบพืชจะสีเขียวกว่า  เหตุก็เพราะน้ำฝนพาเอาในโตรเจนในอากาศลงมาเป็นอาหารพืชนั่นเอง

จุลินทรีย์กลุ่มราขาว จะทำหน้าที่ป้องกันโรคพืช  จะชอบสภาพดินที่เป็นด่าง ถ้าเราห่มดินรดน้ำให้ชื้นอ ทำให้ดินเป็นด่าง ราดำที่เป็นอันตรายต่อพืชซึ่งชอบสภาพดินเป็นกรดจะเข้าพื้นที่ไม่ได้  จะเกิดราขาวขึ้นทำหน้าที่เหมือทหารผู้พิทักษ์

ดินทุกสภาพปัญหาสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีการห่มดิน ทั้งดินเปรี๊ยว ดินเค็ม ดินดาน ดินหิน ฯลฯ  ยิ่งแล้งมากยิ่งต้องห่มให้หนา

๒) การจัดการน้ำ

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำรัสว่า "น้ำฝนทุกหยด ต้องเก็บไว้ใช้" เก็บไว้ในพื้นที่ของของ ต้องจัดการพื้นที่ให้สามารถเก็บน้ำฝนได้ทั้งหมด  โดยมีหลักการคำนวณและออกแบบสระเก็บน้ำดังนี้

  • คำนวณปริมาณน้ำฝนที่ตกลงในพื้นที่ของเราในแต่ละปี  
    • ให้สืบค้นข้อมูลใน Google โดยใช้คำสำคัญว่า "ปริมาณน้ำฝน" ตามด้วยชื่อ อำเภอ จังหวัด เช่น  ปริมาณน้ำฝนที่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม จะอยู่ที่ ๑,๘๒๕.๒ มิลลิเมตร/ปี หรือ ๑.๘๒๕๒ เมตร/ปี
    • เอาขนาดพื้นที่ของเราคูณด้วยปริมาตรน้ำฝน จากสูตร จำนวนไร่คูณ ๑,๖๐๐ คูณปริมาตรน้ำฝน เช่น   สมมติที่ดินที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม  ๑๐ ไร่ จะได้ ๑๐ คูณ ๑,๖๐๐ คูณ คูณ ๑.๘๒๕๒  เท่ากับ ๒๙,๒๐๓.๒๐๐ ลูกบากศ์เมตร/ปี นั่นเอง 
  • ประมาณการความต้องการใช้น้ำตามภูมิสังคมของตน เช่น 
    • จะทำนา ๑ ครั้งต่อไป กี่ไร่ ( ๑ ไร่ ใช้น้ำ ๑,๐๐๐ ลบ.ม.) 
    • จะปลูกผัก ผลไม้ กี่ไร่ (๑ ไร่ ใช้น้ำประมาณ ๑,๐๐๐ ลบ.ม.)
    • มีสมาชิกครอบครัว คนใช้น้ำกี่คน  (ผู้ใหญ่ ๑ คนใช้ประมาณ ๑๓๐ ลบ.ม. เด็กประมาณ ๖๕ ลบ.ม.) ถ้ามีคน ๖ คน ผู้ใหญ่ ๔ เด็ก ๒ ก็จะใช้อยู่ที่ ๖๕๐ ลบ.ม.
    • จะเลี้ยงสัตว์ ทำปศุสัตว์ เท่าใด (อาจประมาณไว้ที่ ๑,๐๐๐ ลบ.ม.)
    • มีพื้นที่มากหรือไม่ ดินมีลักษณะอย่างไร อุ้มน้ำได้หรือไม่ หากพื้นที่ไม่มากอาจต้องขุดลึก เป็นต้น 
    • ตัวอย่างที่ ๑๐ ไร่ ถ้าออกแบบตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ จะทำนา ๓ ไร่ ผักผลไม้ ๓ ไร่ อาจต้องใช้น้ำประมาณ  ๓,๐๐๐ + ๓,๐๐๐ + ๑,๐๐๐ + ๖๕๐ = ๕,๖๕๐ ลบ.ม.  ซึ่งเป็นไปได้  ไม่เกินปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ 
  • ออกแบบขนาดของสระเก็บน้ำ 
    • ออกแบบว่า สระควรกว้าง ยาว ลึก เท่าใด  โดยต้องไม่ขนาดใหญ่กว่าปริมาตรน้ำฝนที่ตกในพื้นที่  
    • ในหลวง ร.๙ สอนว่า  ๑ วัน น้ำลด ๑ เซ็นฯ คือ ในหนึ่งวันที่มีแดดร้อน น้ำจะระเหยไป ระดับน้ำในสระจะลดลงไป ๑ เซ็นติเมตร  ในหนึ่งปีมีแดด ๓๐๐ วัน น้ำจะระเหยไปลงไป ๓ เมตร  หากสระกว้างยาวมาก พื้นที่รับแดดจะเยอะ ปริมาณน้ำที่ระเหยจะมากด้วย 
    • ดังนั้น ถ้าขุด ๓ เมตรพอดี ถ้าไม่มีน้ำซับ (น้ำใต้ดิน) น้ำจะระเหยหมด ต้องขุดลึกกว่า ๓ เมตร 
    • เช่น ถ้าออกแบบที่จะขุดสระตามเกษตรทฤษฎีใหม่ในกรณีมีพื้นที่ ๑๐ ไร่ ณ อำเภอกันทรวิชัย จังมหาสารคาม ซึ่งจะเป็นพื้นที่สระน้ำ ๓ ไร่ ถ้าขุดลึก ๔ เมตร จะเก็บน้ำได้ ๓ คูณ ๑,๖๐๐ คูณ ๔ เท่ากับ ๑๙,๒๐๐ ลบ.ม.  ซึ่งส่วนใหญ่อาจระเหยไป มีน้ำเหลือใช้ประมาณ ๓,๖๐๐ ลบ.ม.  ซึ่งอาจยังไม่พอใช้ บางส่วนของสระจึงควรจะต้องขุดให้ลึก ๕ หรือ ๖ เมตร เพื่อให้มีน้ำพอใช้คือ ๕,๖๕๐ ลบ.ม. ดังที่คำนวณไว้ 
    • รูปทรงของบ่อไม่ควรเป็นเป็นเส้นตรง หรือ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม (ธรรมชาติไม่มีเส้นตรงแบบนั้น) ควรออกแบบให้มีส่วนโค้งเว้าไปมา เพื่อให้มีตะลิ่ง เพราะนอกจากจะสวยกว่าแล้ว ยังเป็นประโยชน์เป็นแหล่งอาหารและขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำตามธรรมชาติ 

    • รูปทรงลึกของบ่อ ต้องมีชานบ่อ หรือ ชาวบ้านเรียก พักบ่อ ดังรูป เพื่อให้แสงแดดส่งถึงพื้น ซึ่งจะเกิดสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เป็นอาหารของสัตว์น้ำ แพลงตอนต่าง ๆ เช่น ไรแดง สัตว์หน้าเลน ฯลฯ 

    • ชานบ่อควรจะลึกจากคันบ่อไม่เกิน ๒ เมตร เพราะ แสงจะส่องลงไปลึกได้ไม่เกิน ๒ เมตร  
    • ชานบ่อควรจะกว้างอย่างน้อย ๒ เมตร  ฤดูแล้ง เมื่อน้ำลด สามารถปลูกผักได้ 
    • คันบ่อควรจะกว้างอย่างน้อย ๒ เมตร เอาวันปลูกผัก ปลูกไม้ผล หากมีพื้นที่มากอาจเอาไว้ปลูกป่าได้  
    • สรุปแล้วการขุดบ่อให้มีชานบ่อนี้ จะมีประโยชน์ ๓ อย่าง ได้แก่ ป้องกันการพังทลายของคันบ่อ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ  และเอาไว้ปลูกผักตอนหน้าแล้ง 
    • ควรขุดบ่อไว้หลาย ๆ ที่ ไม่ควรเป็นบ่อเดียว (ถ้ามีพื้นที่เพียงพอ) แนะนำให้ขุดบ่อหนึ่งไว้ที่สูงสุด และขุดอีกบ่อไว้ที่ต่ำสุด
  • ขุดบ่อ   ในหลวง ร.๙ สอนว่า เวลาขุดบ่อต้องตักหน้าดิน (ลึก ๕๐ เซนติเมตร) กองแยกไว้ก่อน แล้วนำมากลบหน้าดินคืนเมื่อขุดเสร็จ 
  • ป้องกันการซึมของน้ำ
    • ในกรณีพื้นที่ใด ดินไม่เก็บน้ำ เป็นดินทราย  
    • ดีที่สุดคือให้ใส่มูลสัตว์ตอนขุดบ่อ ให้รถแมคโฮบด กด คลุกเคล้า มูลสัตว์กับดินก้นบ่อเลย  
    • ดีมาก ๆ คือ ใช้มูลวัวควายสด ๆ  คนอีสานเรียก "ฝุ่น" เพราะมีเม็ดละเอียดมาก สามารถป้องกันการซึมของน้ำได้  
    • ดังมีตัวอย่างการนำมูลวัวควายสดไปใช้ในหลาย ๆ กรณี เช่น ทำลานตีข้าว ลานตากข้าว ชันตะกร้าไม้ไผ่ไว้ตักน้ำ ฯลฯ 
  • ป้องกันการพังทลายของคันบ่อ 
    • ปลูกหญ้าแฝก
    • คนสมัยก่อนปลูกตะไคร้ หรือพื้นที่จะปกคลุมดินไว้ ไม่ให้เม็ดฝนกระทบลงพื้นโดยตรง 
  • ขุดคลองใส้ไก่ เพื่อลำเลี้ยงน้ำจากบ่อหนึ่งไปยังอีกบ่อหนึ่ง และรักษาความชุ่มชื้นของดิน 
๒) การจัดการลม

ประเทศไทยอยู่ในเขตพื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มี ๓ ฤดู ฝน หนาว และร้อน มีลมหนาวพัดลงมาทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีลมฝนและลมร้อนขึ้นมาทางตะวันตกเฉียงใต้  ดังภาพ 


หลักการสำคัญในการจัดการลม มีดังนี้ เช่น 
  • เวลาสร้างบ้าน บ้านควรหันหน้าบ้านรับลมฝน โดยทำชานบ้านให้ยาวเพื่อป้องกันฝนสาด ในหน้าร้อนลมจะพัดเข้าบ้านทำให้เย็นสบายไม่ร้อนมาก โดยเฉพาะถ้าทำบ่อน้ำไว้หน้าบ้าน เวลาลมผ่านจะพัดเอาความชื้นมาด้วย ช่วยเย็นสบายมากขึ้น ... ไม่ต้องเปลืองแอร์ 
  • หันหลังบ้านซึ่งไม่มีหน้าต่าง ไว้ป้องกันลมหนาว 
  • อย่าสร้างคอกสัตว์ ปศุสัตว์ อยู่ในแนวเหนือลม  โดยเฉพาะถ้าสร้างไว้ในทิศทางต้นลมหนาว กลิ่นจะมารบกวนจนทนไม่ได้ 
  • เตาเผาถ่านก็เช่นกัน ห้ามไปจัดวางไว้ในแนวต้นลมกับบ้าน 
  • ให้ปลูกดอกไม้ พืชมีกลิ่นหอม หรือกิจกรรมใดที่มีกลิ่นหอม ไว้ตำแหน่งต้นลม
  • ให้ปลูกพืชที่มีลำต้นใบ มีรสขม ฝาด เฝื่อน ซึ่งโดยมากจะเป็นไม้ป่า (ไม้ป่า ๙๕ เปอร์เซ็นต์ จะมรสขมจึงแข็งแรงกว่าไม้ผลจะมีรสฝาด) พืชเหล่านี้จะมีสารแทนนิน (Tannin) ช่วยป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียที่อยู่ปนในอากาศ  ถ้าปลูกพืชเหล่านี้ไว้ต้นลม คนในบ้านจะมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง 

๓) การจัดการไฟ (แสงแดดและแสงจันทร์)



แสงแดดมีผลต่อพืชแต่ละชนิดแตกต่างกัน พืชไร่เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด ต้องการแสงมาก พืชผักสวนครัวต้องการแสงน้อยกว่า พืชบางชนิดเกิดใต้ต้นไม้ได้ เกิดในป่าได้ ดังนั้นการออกแบบแนวการปลูกต้นไม้ หรือการกำหนดพื้นที่ปลูกป่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ จำเป็น  โดยมีหลักสำคัญ ๆ คือ  ต้องไม่ปลูกต้นไม้ตามแนวขวางตะวัน  


  • หากมีแปลงพืชไร่ เช่น ขาว อยู่ใกล้ต้นไม้ ต้องปลูกต้นไม้ให้อยู่แนวตะวันออก-ตะวันตก ดังภาพ
  • แสงจันทร์มีผลต่อการกระตุ้นการลอกคราบของสัตว์บางชนิด เช่น ถ้าจะเลี้ยงกุ้งต้องไม่ปลูกต้นไม้ในทิศแนวขวางแสงจันทร์ไม่ให้ตกลงบนบ่อกุ้ง เป็นต้น   (งูจะลอกคราบเมื่อมีแสงจันทร์ งูจะลอกคราบในเดือนข้างขึ้นเท่านั้น)
  • ถ้าไม่ได้พิจารณาตามหลักการนี้  เมื่อต้นไม้ใหญ่จนร่มเงาส่งผลกระทบ แปลงนาจะไม่ได้ผล ไม่ออกรวง ถ้าเป็นแปลงผัก ผักก็จะแคระแกร็น ไม่ได้ผล ... ต้องต้นไม้ทิ้ง ... ต้องเลือกระหว่างต้นไม้กับนา 
  • อย่าปลูกไม้ใหญ่ใกล้น้ำมาก อย่างน้อยไม้ใหญ่ให้ไกลน้ำ ๕ เมตร เพราะเมื่อไม้โตขึ้น ลมมา ต้นไม้จะล้มโค่นดินขอบบ่อทั้งหมด... เสียดายมาก
๔) การจัดการพืช (ป่า)
ให้ปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง ได้แก่ 
  • ป่าพออยู่  คือไม้เนื้อแข็งไว้สร้างบ้านหรือทำเครื่องเรือนต่าง ๆ เช่น ไม้สัก ไม้ยางนา ตะเคียนทอง ไม้พยุง เป็นต้น 
  • ป่าพอกิน คือ ไม้ผล หรือพืชผัก หรือไม้กินใบต่าง ๆ 
  • ป่าพอใช้ คือ ไม้โตเร็ว เอามาทำถ่าน ทำฟืน เช่น กระถิน สะเดา ฯลฯ 
  • ประโยชน์ที่สี่ก็คือ ความร่มรื่น ร่มเย็น 
๕) การจัดการคน

คือการพัฒนาคน ควรมีการศึกษาทฤษฎีให้เข้าใจในเบื้องต้น สืบค้นหาความรู้ และลงมือปฏิบ้ติ ต้องฝึกฝนฝึกตนให้มีความเพียร ขยัน อดทน ถ่อมต้น
  • ควรไปอบรมตามศูนย์ต่าง ๆ  
  • ฝึกตน ตื่นเช้า ไม่ดื่มเหล้า  ไมเที่ยวกินไร้สาระ 
  • ฯลฯ 
ท่านที่สนใจมีตัวอยางมากมายครับ สืบค้นได้ไม่ยากเลยทางอินเตอร์เน็ต ....  สำคัญคือ ต้องไปลงมือทำ แล้วค่อยมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะครับ 

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

การศึกษาเพื่อ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" (๘) : "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" โรงเรียนและมหาวิทยาลัยสำหรับลูกหลานไทยส่วนใหญ่

ครู อาจารย์ นักเรียน นิสิต ผู้อำนวยการ และบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ควรต้องศึกษาพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ด้วยเหตุผล อย่างน้อย ๓ ประการ ดังนี้
  • ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎรตลอดไป" ... ทรงจะสืบสาน รักษา และต่อยอด สิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงดำเนินมา ดังนั้นตลอดรัชสมัยนี้ ย่อมชัดเจนว่าควรจะขับเคลื่อนการศึกษาด้วยหลักปรัชญาใด
  • พระราชนิพนธ์ของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่สำคัญที่สุด ซึ่งทรงพระราชทานให้ประชาชนคนไทยนำไปศึกษา ปฏิบัติตาม คือ พระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ...(ใครยังไม่อ่านเชิญดูคลิปวีดีโอที่นี่ หรืออ่านสรุปประเด็นในบันทึกนี้ครับ)
  • การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยังยืนที่แท้จริง คือ การนำเอาหลักแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน นั่นคือ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้เป็นหลักปฏิบัติทางการศึกษา นั่นเอง 
การจัดการศึกษาที่ทรงสอนไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก คือ การสร้างสถาบันการศึกษาให้เป็น "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" เพื่อฟื้นฟูพัฒนาคนไทยทั้งประเทศให้ พออยู่ พอกิน มีความสุข มีภูมิคุ้มกันและเท่าทันโลกโมหภูมิ ทุนนิยมเสรีในทุกวันนี้

ปัญหาของการศึกษาที่สำคัญที่สุด คือ การสอนให้คนอยากรวย ไม่ได้เน้นสอนให้พึ่งตนเองแล้วช่วยคนอื่นอย่างที่ในหลวงทรงสอนและทรงปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง จึงทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสและคนทิ้งถิ่นเข้าเมืองดังที่ทราบกัน (เคยสะท้อนไว้ที่นี่)


วันนี้ผมตกผลึกในใจตนเอง ถึง รูปแบบการศึกษาที่ตรงกับปรัชญา "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" มากที่สุด  ที่ว่ามากที่สุด เพราะเหมาะสมกับคนไทยส่วนใหญ่มากที่สุด ซึ่งมีที่ดิน-ที่นาเป็นของตนเอง จึงขอบันทึกแลกเปลี่ยนไว้ เพื่อค้นหานักการศึกษาที่เห็นเป็นอุดมการณ์เดียวกัน มาช่วยกันสร้าง PLC สำหรับครู-อาจารย์ที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนโรงเรียน-มหาวิทยาลัย ให้มีลักษณะเป็น "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ให้มากที่สุด

หลักสูตรแกนกลาง ที่ไปผิดทาง ยิ่งห่างไกลจาก "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย"

ผมเคยวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง พ.ศ. ๒๕๕๑ ไว้ที่บันทึกนี้  สรุปไว้ว่า หลักสูตรฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเกษตรพึ่งตนเอง นั่นเป็นก้าวใหญ่ ๆ ที่เราไปผิดทางจากปรัชญา "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" และได้เสนอแนวทางการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญานี้ไว้ ดังนี้ว่า (คัดลอกมาอีกครั้ง)

การศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย"
สอนให้เป็นคน "พอเพียง"  คือ ใช้ความรู้คู่คุณธรรม (ดูคำอธิบายสมการความพอเพียงที่นี่) ... สร้างภูมิคุ้มกันต่อการหลงไปในโมหภูมิ (โลภะ โทสะ โมหะ) สอนให้ดำเนินชีวิตด้วยระบบเศรษฐกิจพอเพียง "พอกิน พอใช้ พออยู่ ตอบแทนบุญคุณ แบ่งปัน รักษา แบ่งปัน ให้นึกถึงการขายไว้ท้าย ๆ ของความต้องการ คือต้องไม่สอนให้คน "อยากรวย" แต่เน้นสอนให้ "อยากช่วยคนอื่น" อยากช่วยส่วนรวม เสียสละ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เป็นสำคัญ 
  • (อนุบาล ๑ ถึง ม.๓) เริ่มโดยเน้นคุณธรรมและระเบียบวินัยในเบื้องต้นด้วยการอบรมบ่มเพาะ และมุ่งการสอนชีวิตและความเป็นคนที่พึ่งตนเองด้วยหลัก "พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น" ...  เด็กจะรู้จักและภูมิใจในชุมชน ท้องถิ่น และประเทศของตนเอง มีจิตสำนึกที่จะพัฒนาตนเอง (เรียนรู้) เพื่อจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา(เป็นคนที่มีคุณค่าต่อ)ชุมชน สังคม ประเทศชาติ
  • (ม.๔-ป.ตรี) เรียนเน้นเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะตามความถนัดและความสนใจของตน (ที่ได้บ่มเพาะมาดี) อย่างเต็มที่ ... เป้าหมายคือทักษะอาชีพ 
  • (วัยทำงานหรือศึกษาต่อบัณฑิตศึกษา) เน้นให้เป็นไปเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้ดีต่อส่วนรวม 
  • (วัยชรา) สอน ถ่ายทอดประสบการณ์ บริหารจัดการ เป็นผู้นำชุมชนสังคมประเทศ และศึกษาค้นพัฒนาตนเองสู่การหลุดพ้นแห่งทุกข์
ตัวอย่างของโรงเรียนที่กำลังสืบสานพระราชปณิธานนี้อย่างจริงจัง

วันพุธที่ผ่านมา (๑๙ มิ.ย. ๖๒) ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปเยี่ยมถอดบทเรียนคุณครูวรารัตน์ ภูเฉลิม ครูเพื่อศิษย์อีสานประจำปีการศึกษา ๒๕๖๑ ที่โรงเรียนมะค่าพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม โรงเรียนที่มีเอกลักษณ์คือ "ความพอเพียง" และกำหนดวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะเป็น "องค์กรแห่งการเรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม นำภูมิปัญญา พัฒนาท้องถิ่น" (คลิกดูประวัติโรงเรียนที่นี่)

ขอเล่าด้วยภาพก่อนนะครับ บันทึกต่อไป จะนำเอาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมะค่าพิทยาคม อันเป็นแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของโรงเรียนและของคุณครูวรารัตน์ มาเล่าแลกเปลี่ยนต่อไป



  • เนื้อที่ของโรงเรียนประมาณ ๖๐ ไร่ ทั้งหมด อาจเรียกได้ว่า เป็น "วนเกษตร" ได้ไม่ผิด มีทั้งป่า สวน และไร่นาสาธิต ฯลฯ  


  • คุณครูวรารัตน์ ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ซ้ายสุดครับ  เราถ่ายภาพนี้หลังจากที่นักเรียนนำเสนอโครงการปุ๋ยโดนัทจาเศษใบไม้จากป่าโรงเรียน ... เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตอาหารสำหรับพืช  


  • โรงเรียนได้รวบรวมเรื่องราวทั้งหมด ไว้นำเสนอสำหรับผู้มาดูงาน ที่ห้อง "ศาสตร์พระราชา" น้อง ๆ นักเรียนแกนนำ จะทำหน้าที่อธิบายและพาเดินดูอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  


  • ในห้องมีผลิตภัณฑ์แปรรูปสาธิต ในรูปเป็นเปลไม้ไผ่ ที่นักเรียนได้รับวิชามาจากภูมิปัญญา ที่เชิญมาเป็นวิทยากรอบรมให้นักเรียน  



  • มีพืชผักพื้นบ้านภูมิปัญญามากมาย ในรูปนี้คือ ต้นชะมวง สมุนไพรไทย เอาแกงใส่ขาหมูอร่อยนักแล 


  • ผมถามนักเรียนว่า ทำไมต้นมะตูม ถึงสำคัญยิ่งนักในเมืองไทย ก่อนจะมอบไว้เป็นการบ้านว่า ทำไมพระมหากษัตริย์ไทย ต้องเอาใบมะตูมใช้ทัดเนบพระกัณฑ์ไว้ในราชพิธีสำคัญ ๆ  ... มะตูมเป็นไม้มงคลอย่างยิ่ง 


  • ส่วนนี้เป็นสวนพริกไทย ทุกต้นจะมีป้ายติดไว้ว่า นักเรียนคนใดต้องเป็นผู้ดูแล โดยบูรณาการกับกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ต่าง ๆ ของโรงเรียน  


  • มะม่วงหาวมะนาวโห่ 


  • มะนาว ย่อมต้องมี 


  • แปลงนาสาธิต ที่นักเรียนใช้เป็นพื้นที่ทำทดลองต่าง ๆ ในการทำโครงงาน 


  • ไผ่ มีหลายสายพันธุ์ ไผ่เลี้ยง ไผ่กิมซุง ไผ่ซางหม่น ไผ่บงหวาน ไผ่ข้าวหลาม ฯลฯ 

  • อ้อยหวาน  


  • กระชาย 


  • ดอกกระเจียวหวาน 


  • มะขามป้อม


  • สมอไทย 

  • ม่อน (มอนเบอรี่กินผล)
ยังมีพืชพันธุ์อื่น ๆ อีกทั่วโรงเรียน เสียดายไม่เวลาจำกัดนัก...  "คนค้นครู" จะกลับไปถอดบทเรียนคุณครูวารารัตน์มาเล่าให้ฟังใหม่อีกรอบครับ 



สไลด์สองแผ่นสุดท้าย เป็นบทสรุปที่เขียนไว้ในอย่างกระทัดรัด สำหรับท่านที่สนใจครับ 


เริ่มขับเคลื่อน "ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ยังไงดี

ความจริง (ผมตีความของผมเองว่า) กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว ในลักษณะโครงการ "โรงเรียนสถานศึกษาพอเพียง" "โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และ "โครงการโรงเรียนคุณธรรม" ... แต่สภาพการณ์ของโรงเรียนต่าง ๆ ที่ผมเห็นขณะนี้  ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่จะเรียกได้ว่าเป็น "โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ... แต่คงจะมีแล้ว มีแน่ เช่น โรงเรียนหนึ่งที่ผมรู้จักทางอินเตอร์เน็ตคือ โรงเรียนบ้านหนองผือ (อ่านบันทึกท่าน ผอ.ชัยยันต์ เพชรศรีจันทร์ ที่นี่) หรือแม้แต่ในพื้นที่ก็คงมี

โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย ครูเกษตร ครูการงาน ครูวิทยาศาสตร์ ครูคณิตศาสตร์ และครูเทคโนโลยี จะทำงานนี้กันอย่างบูรณาการ โดยเอา "งาน" อันเป็นอาชีพของพ่อแม่ของนักเรียนเป็นสนามฝึก ... สิ่งแรกที่ผมคิดขึ้นได้คือ ปรึกษาครูเพื่อศิษย์อีสาน  จัดเวที PLC ครูเพื่อศิษย์อีสานเพื่อแลกเปลี่ยนระดัมสอมองกันเกี่ยวกับแนวคิดนี้

ก่อนจบ โรงเรียนทีผมเพิ่งจะไปนิเทศมา คุณครูบอกว่า ทั้งโรงเรียนแทบจะไม่มีครูเกษตรเหลืออยู่เลย ... เฮ้อ ... จะเป็นอย่างไรหนอ

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

บ้านสวนขวัญข้าว ๑๑ "สวนหยิบสิบ"

นับย้อนเวลาก็ผ่านไป ๑ ปีกว่า ๆ แล้ว สำหรับการเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ภาคปฏิบัติ เพื่อนำไปสอนในรายวิชาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บทที่ ๗ เรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ เมื่อศึกษาและนำมาทำด้วยตนเอง มุมมองหลายอย่างชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะมุมมองเรื่องการเกษตร สิ่งที่รายวิชานี้ต้องทำให้นิสิตเข้าใจและปลูกฝังไว้ในใจคือ

  • "การเกษตรคือชีวิต" คือการผลิตอาหาร ทุกคนสามารถจะทำการเกษตรได้โดยไม่ต้องยึดเป็นอาชีพ ไม่เรียกว่าอาช่ีพ ไม่เรียกว่าเป็นอาชีพเสริม เพียงแค่ต้องรู้จักอาหาร สามารถเพาะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารได้เองตามอัตภาพ
  • "การเกษตรไม่ใช่อาชีพ" การผลิตอาหาร แปรรูปอาหาร และค้าขายแลกเปลี่ยนอาหาร อาจจะถือเป็นอาชีพได้  แต่ต้องเป็นมุมมองของคนที่เห็นแล้วว่า "เกษตรคือชีวิต" 
ตัวอย่างเช่น ผมเป็นครู การเกษตรจึงไม่ใช่อาชีพ อาชีพคือการเป็นอาจารย์สอน แต่ตอนเช้าหรือตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมจะแบ่งเวลาไปออกกำลังกายด้วยการทำการเกษตรง่าย ๆ ขุดดิน ปลูกต้นไม้ ปลูกผักปลอดภัยไว้กินเอง เบื้องต้น เช่น พริก โหรพา ต้นหอม ถั่ว ผักชี เพกา มะกอก แมงลัก ตะไคร้ ใบชะพู มะเขือ มะเขือเทศ ผักบุ้ง ฟักทอง ตำลึง ฯลฯ  เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ต้องถึงขั้นว่าต้องซื้อทุกอย่าง ปรัชญาของความพอเพียงยังทำให้ห่างไกลจากอบายมุขต่าง ๆ ด้วย 

ใครที่มีอาช่ีพรับเหมาหรือก่อสร้าง หากทำแบบนี้ก็ไม่ต้องเสียค่ากินอยู่ โดยเฉพาะชาวบ้านที่ทำงานรับจ้างรายวัน ถ้าเลี้ยงสัตว์ด้วยก็แทบจะไม่ต้องซื้อเลย เงินที่ได้จากการรับเหมาหรือรับจ้าง ก็จะเหลือเป็นเงินเก็บเกือบทั้งหมดให้ใช้จ่ายในการที่ไม่อาจพึ่งตนเองได้ ... แบบนี้จะทำให้ทุกคนพออยู่พอกินได้ 

ปัญหาหนักสุดของบ้านสวนขวัญข้าวก็ยังเป็นปัญหาเดิมคือ ขวัญข้าวไม่ยอมมา ศรัทธายังไม่เกิด ต้องค่อนคิดต่อไป  ถามทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ได้ความว่า ยังไม่ปลอดภัย ต้องทำให้ร่มรื่นสะอาด ... คงต้องรอหน้าแล้งต่อไป หน้าฝนปีนี้น่าจะเป็นปีแห่งการปลูก  คำถามคือจะปลูกอะไร ปลูกจำนวนเท่าไหร่ถึงจะดี เหมาะกับพื้นที่ ๆ มีอันน้อยนิด 

ทำไปทำมาและคิดไปคิดมา สรุปได้ว่า จะใช้สูตร "สวนหยิบสิบ" คือปลูกไม้ที่เหมาะกับดินทุ่งน้ำกร่อยหน่อย ๆ ได้แก่ ยางนา สัก มะม่วง เพกา มะพร้าว มะขามเทศ น้อยหน่า ฝรั่ง ฯลฯ  อย่างละ ๑๐ ต้น อย่างไรก็ดี กำลังทดลองพืชผลราคาดีของโลกด้วย คือ ทุเรียน แต่เพื่อศึกษาทดลองเป็นหลัก  


ทุเรียน เพาะเองจากเมล็ด

เพกา หรือ ลิ้นฟ้า หรือ ลิ้นไม้

ถั่วพุ่ม

มะกอกซาอุ (ทนมา ต้นนี้ปลูกหน้าแล้ง)

โหรพา ต้นเดียวกินไม่หมด

อโวคาโด

ต้นหูกวางซาอุ

อินทะผาลัม เพาะเองจากเมล็ด

หมากแดง จากปั็มน้ำมันทางกาฬสินธุ์ เก็บมาเพาะเอง

มะเขือ พุ่มนี้อายุปีกว่าแล้ว 

ยางนาเพิ่งจะปลูกเมื่อวันก่อน

ดอกกระเจียว

ยางนา

ไฝ่กิมซุง

ไผ่เลี้ยง

มะพร้าวน้ำหอม
ฯลฯ

ความจริงน่าจะตั้งชื่อว่า "สวนนาป่าแฝก" จะเหมาะกว่า เพราะแฝกเยอะมาก งามนัก มีหนู งู และอื่น ๆ กำลังเพิ่มปริมาณขึ้น ....ฮา

ขอบันทึกเท่านี้ครับ ผ่านไปอีกปีจะลองเผาภาพต้นไม้เหล่านี้มาแลกเปลี่ยน