วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บ้านสวนขวัญข้าว ๑๐ "แหล่งเรียนรู้บูรณาการศาสตร์ด้วยตนเอง เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญา เพื่อพัฒนาชุมชน"

ผ่านไปปีเศษ พื้นที่บ้านสวนขวัญข้าว ยังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงดิน การห่มดินได้ผลอย่างยิ่งจริง ๆ  ดินชั้นล่างที่เหนียวเป็นตัง กลายเป็นดินเหนียวร่วน เหมือนมีรากไม้ รากหญ้า และมูลวัวผสมอยู่ทำให้ร่วนแม้จะยังไม่ซุย

ความตั้งใจหลักของบ้านสวนขวัญข้าว คือ ให้สาวน้อย "ขวัญ" และ "ข้าว" มาเรียนชีวิตชาวบ้านเกษตรกร ช่วงปีที่ผ่่านมา ต้องถือว่าล้มไม่เป็นท่า หนูน้อยสองคนนี้ยังไม่อยากมาสวนเลย และนับจำนวนมากได้ไม่ถึง ๑๐ ครั้ง แต่พิจารณาถึงประโยชน์รองที่ร่างกายได้ออกกำลังและได้เรียนรู้ภาคปฏิบัติในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเวลาสัปดาห์ละ ๑๐ ชั่วโมง 

ด้วยเหตุแห่งพระปฐมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ " พระปรเมนทรมหารามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิตติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามมินทราธิเบศราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" ที่ว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของอาณาราษฎร ตลอดไป" กอปรกับอดุมการณ์แห่งการสืบสานพระราชปณิธานแห่งในหลวงราชการที่ ๙ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เราได้เพียรทำมาอย่างต่อเนื่อง 

วิสัยทัศน์

เห็นสมควรว่า บ้านสวนขวัญข้าว ควรจะตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนจากภายในให้เป็นวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนต่อไป "เป็นแหล่งเรียนรู้บูรณาการศาสตร์ด้วยตนเอง เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญา เพื่อพัฒนาชุมชน"

พันธกิจ

พันธกิจ ๕ ประการที่ควรทำ อันจะนำไปสู่วิสัยทัศน์นั้น ได้แก่ 
๑) เป็นแหล่งเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ภาคปฏิบัติ 
๒) เป็นศูนย์เรียนรู้และวิจัยบูรณาการศาสตร์ เพื่อพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญา และสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อประโยชน์ต่อชุมชน 
๓) เป็นแหล่งผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบสำหรับ "ธุรกิจพอเพียง" 
๔) เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
๕) เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง

ยุทธศาสตร์

๑) เรียนรู้และปฏิบัติด้วยตนเองให้รู้จริง เข้าใจ และเข้าถึง 
๒) ส่งเสริมให้นิสิตหรือผู้สนใจจากหลากหลายสาขา มาศึกษาและวิจัยอย่างบูรณาการโดยเอาปัญหาจริง ๆ ของชุมชนเป็นฐาน (Community's Problem-based Learning, CPBL) 
๓) ส่งเสริมให้นิสิตมาทดลองผลิตสินค้า แปรรูปผลิตผลทางการเกษตร สร้างสรรค์นวัตกรรม นำไปทดลองขายในโครงการ "ธุรกิจพอเพียง" 
๔) สร้างศาลาเอนกประสงค์เพื่อเป็นสถานที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน  
๕) ส่งเสริมให้มีกิจกรรมฟังธรรมะและปฏิบัติธรรมร่วมกัน โดยเชิญครูบาอาจารย์มาเป็นผู้ให้คำแนะนำ

นี่คือ "ความฝัน" และ "เป้าหมาย" ที่จำเป็นต้องค่อย ๆ ก้าวไป ทำทีละขั้น แบ่งปันเท่าที่มี เพียรทำและธรรมทางต่อไป 

จึงประกาศไว้เป็นแนวทางครับ 




วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ถ้าอยากจะเผาถ่านให้ได้ถ่านมากที่สุด จง "แยกฟืนออกจากไม้"

อารัมภบท
"คนเอาถ่าน" น่าจะแปลตามคำโบราณว่า "คนเอาการเอางาน" คนเอาการเอางานน่าจะหมายถึง คนที่มุ่งมั่นทำงานทำการให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนคนอื่น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องประโยชน์ต่อตนเอง (และต้องดีต่อสายตาของสังคมสมัยนั้น ๆ)
"คนเอาถ่าน" ที่หมายถึงในบันทึกนี้ ไม่ได้มีความหมายดังที่กล่าวมา  แต่เป็นสำนวนของ รศ.ดร.ธีรพจน์ พุทธิกีฏกวีวงศ์  อาจารย์ผู้ใหญ่ในภาควิชาฟิสิกส์ มมส. ตอนนี้ท่านเกษียณอายุราชการแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานชีวมวล ท่านพัฒนาเตาเผาถ่านแบบแก๊สซิไฟเออร์ (Gassifier Stove)  ท่านมักพูดเสมอเมื่อจะเริ่มการเล่าเรื่องถ่ายทอดความรู้ว่า "ผมมันคนเอาถ่าน" คำว่า "เอาถ่าน" ในที่นี้จึงหมายถึง คนเผาวัสดุอินทรีย์เพื่อที่จะเอาถ่าน เพื่อให้ได้เชื้อเพลิงพลังงานไปหุงต้มจริง ๆ....  ระลึกถึงท่านเมื่อได้มาเรียนรู้ทฤษฎีเรื่องการเผาถ่าน  และระลึกเสียใจว่าไม่ได้ไปร่วมงานเกษียณท่าน....นั่นก็หลายปีแล้ว ....
ความคิดรวบยอดของการเกิดถ่าน
พลังงาน อาจแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท (ผมจำแนกจากการฟังครูบาอาจารย์) ๑ คือ พลังงานที่ประกอบด้วยเจตนา และ พลังงานที่ไม่ประกอบด้วยเจตนา พลังงานที่ประกอบด้วยเจตนา อาจเรียกว่า "พลังจิต" ส่วนพลังงานที่ไม่มีเจตนา คือพลังงานทั่ว ๆ ไป ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก เป็นพลังงานกายาหรือกายภาพทั่วไป เช่น พลังงานไฟฟ้า แสง ลม ไฟ ฯลฯ ทั้งที่จับต้องได้และจำต้องไม่ได้ ... เมื่อพูดถึงคำว่า "พลังงาน" ทุกคนจะนึกถึงพลังงานชนิดนี้
"พลังงาน" บนโลกนี้ทั้งมวล มาจากดวงอาทิตย์ เมื่อแสงอาทิตย์ฉายมายังโลก ต้นไม้ใบหญ้ารับเอาแสงมารวมเข้ากับน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง กลายเป็นแป้งหรือน้ำตาล เก็บไว้ในกิ่งก้านใบ เติบใหญ่ขึ้น ๆ ตามกาลเวลา ... พลังงานถูกเก็บไว้ในเนื้อไม้ เรียกว่าเก็บไว้ในรูปเซลลูโลส
ต้นไม้ที่ยัง "เป็น" ยืนต้นอยู่ ท่อลำเลียงน้ำอาหารส่งไปยังกิ่งใบดอกผลอยู่ ย่อมมีน้ำ มีการลำเลียงน้ำ ย่อมไม่ง่ายที่จะ "เผาเอาถ่าน" หรือเอาไปใช้เป็นพลังงานได้ เพราะน้ำไม่ใช่เหตุให้เกิดไฟ ... ต้องนำไปตากให้แห้งเสียก่อน เมื่อน้ำแห้งไปจากภายในเกือบหมด เราให้ชื่อว่า "ฟืน" เมื่อนำไปจุดไฟหรือให้พลังงานสู่ภายใน  กระบวนการ "เอาถ่าน" ก็เริ่มขึ้น  เซลลูโลสเริ่มแตกตัวออกเป็นธาตุและก๊าซต่าง ๆ ที่เคยใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างมันขึ้นมา ได้แก่ น้ำ คาร์บอนได้ออกไซด์ ไฮโดรเจน คาร์บอน น้ำมัน ฯลฯ เรียกกระบวนการนี้ว่า การแตกตัว (Dissociation)
ถ้าอุณภูมิเพิ่มขึ้นและมีปริมาณออกซิเจนเพียงพอ ก็จะเกิดการสันดาป (Combusiton) หรือที่เราเรียกว่าเผาไหม้ในภาษาชาวบ้าน ภาษาเคมีเรียกว่า ออกซิเดชั่น (Oxidation) การก่อไฟในเตาหุงต้ม ก่อไฟในพิธีรอบกองไฟ ฯลฯ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามกระบวนการนี้  .... ไม่มีอะไรเหลือ ไม่เหลืออะไร ยกไว้ขี้เถ้า ... เรียกว่า "เผาไม่เอาถ่าน" (เพราะเราเอาพลังงานไปทำอาหารหรือใช้ประโยชน์แล้ว)
ดังนั้นวิธีการ "เผาเอาถ่าน" จึงถูกนิยามว่า เป็นการเผาโดยควบคุมปริมาณออกซิเจน จำกัดปริมาณออกซิเจนให้น้อย ไม่ใช่ไม่ให้มีเลย เพราะถ้าไม่มีออกซิเจน จะไม่มีพลังงานไปใช้ในการแตกตัว เว้นแต่จะสร้างเตาด้วยการเผาจากพลังงานภายนอก การเผาทั่วไปที่ชาวบ้านทำได้ คือต้องให้ออกซิเจนเข้าไปเผาให้เกิดการสันดาป "ไม้บางส่วน" มักเรียนกว่า "ฟืน" พลังงานจากการเผาฟืนนี้ จะทำให้อุณหภูมิในเตาเผาเพิ่มขึ้นไปสู่ "โซน" ต่าง ๆ
คำว่า "โซน" ในที่นี้หมายถึง ช่วงของอุณหภูมิ โซนสันดาปอยู่ที่ ๑,๑๐๐ - ๑,๕๐๐ องศาสาเซลเซียส พลังงานที่ได้จากการสันดาปจะทำให้ไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมีอุณภูมิสูงขึ้น ช่วงอุณหภูมิ ๑๐๐ - ๒๐๐ องศาเซลเซียส เรียกว่า โซนทำให้แห้ง (Drying Zone) ถ้าเพิ่มขึ้นเป็นช่วง ๔๐๐ - ๖๐๐ จะเกิดการ "ไพโรไลซิส" (Pyrolysis) เรียกว่า โซนไพโรไลซิส ในขณะที่อุณหภูมิอยู่ระหว่าง ๕๐๐ - ๙๐๐ องศาเซลเซียส ก็เกิดการ "รีดักชั่น" (Reduction) เรียกว่า "โซนรีดักชั่น" ...ดังนั้นคำว่า "โซน" ในที่นี้ อาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นพื้นที่หรือบริเวณหรือตำแหน่งของไม้ในเตาเผา แต่ขอให้เข้าใจว่าหลักสำคัญคืออุณหภูมิ ไม่ใช่พื้นที่
พลังงานจากโซนสันดาป จะทำให้ "โซนใกล้เคียง" มีอุณหภูมิสูงขึ้น เข้าสู่ "โซนทำให้แห้ง" พลังงานความร้อนนี้จะทำให้เกิดกระบวนการแตกตัว ความชื้นในไม้จะถูกขับไล่ให้ระเหยออกมาเป็นไอน้ำเป็นควันขาว เมื่อไม้แห้งก็จะเข้าสู่กระบวนการไพโรไลซิส ในโซนไพโรไลซิสต่อไป
โซนไพโรไลซิส เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง ๔๐๐ - ๖๐๐ องศาเซลเซียส หากควบคุมให้พื้นที่นั้นมีปริมาณอากาศจำกัด (ออกซิเจนน้อย) พลังงานจะทำให้เกิดการย่อยสลายของสารอินทรีย์โดยไม่ติดไฟ ผลผลิตที่ได้จะขึ้นอยู่กับชนิดของพืช อุณหภูมิ เมทธานอล น้ำมันต่าง ๆ (เรียกไพโรไลติกออยล์) หรือโอเลฟิน (Olefins) และก๊าซติดไฟประเภทต่าง ๆ  ขบวนการนี้เองที่ทำให้ไม้กลายเป็นถ่าน จึงเรียกว่า คาร์บอนไนเซชั่น (Cabornization) การเผาถ่านทั้งหมดที่เกษตรกรทำนั้นจะได้ปริมาณถ่านมากน้อย ขึ้นอยู่กับการออกแบบเตาให้สามารถควบคุมปริมาณออกซิเจนและวิธีการขั้นตอนในการเผา ... โดยทั่วไป จะได้ถ่านอยู่เพียงร้อยละ ๒๐ เท่านั้น

เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นอีก เข้าสู่โซนรีดักชั่น (๕๐๐ - ๙๐๐ องศาเซลเซียส) ก๊าซไม่ติดไฟเหล่านี้ จะทำปฏิกิริยาเคมีความร้อนเรียกว่า "รีดักชั่น" เกิดเป็นก๊าซติดไฟ เช่น คาร์บอนมอนน๊อกไซด์ หรือมีเทน เกิดกลายเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า "แก๊สซิไฟเออร์" (Gassifier) ถ้าปล่อยก๊าซออกซิเจนเข้าไปเพียงพอจะได้พลังงานไฟที่ได้จากก๊าซเหล่านั้น อุณหภูมิสูงกว่าพันองศาทีเดียว... นักออกแบบเตาที่ดี จะหาวิธีเอาก๊าซเหล่านี้กลับมาเป็นพลังงานให้ระบบโดยไม่ต้องใช้ไม้ในเตาเป็น "ฟืน" ซึ่งจะทำให้ได้หปริมาณถ่านมากขึ้น
ถ่านที่เหมาะสำหรับนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้ม คือถ่านที่ได้จากกระบวนการไพโรไลซิส เรียกว่า "ถ่าน" (Coal) ส่วนถ่านที่ได้จากกระบวนการเผาไหม้ที่อุณภูมิสูงโดยทำให้เกิดก๊าซในโซนรีดักชั่น ด้วยกระบวนการทำให้เกิดแก๊สซิฟิเคชั่น หรือเรียกว่า "การผลิตก๊าซชีวมวล"  จะเป็นถ่านกัมมนต์ (Chacoal) เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการดูดความชื้นในอุตสาหกรรม ใช้ในการกรองน้ำ หรือใช้ในการเกษตร ฯลฯ เพราะมีคุณสมบัติในการดูดความชื้น และนำไฟฟ้าได้ 
หลักการสำคัญ
สรุปจากการศึกษาทฤษฎี ตีความหลักการที่จะทำให้เราได้ถ่านปริมาณมาก และคุณภาพดี มีดังนี้
  • กระบวนการเผาถ่านที่เกษตรทำกันโดยทั่วไปนั้น เป็นการควบคุมปริมาณออกซิเจนในการเผา เพื่อให้เกิดกระบวนการไพโรไลซิสกับไม้เพื่อให้ได้ถ่าน โดยต้องเสียสละไม้ส่วนหนึ่งเป็น "ฟืน" เพื่อสร้างพลังงานให้เพียงพอต่อการเพิ่มอุณหภูมิของไม้ส่วนอื่นเปลี่ยนรูปเป็นถ่าน 
  • ถ้าต้องการให้ได้ถ่านมากที่สุด จะต้องควบคุมอุณหภูมิของไม้ (ส่วนใหญ่) ไม่ให้เกิน ๖๐๐ องศาเซลเซียส 
  • ด้วยหลักการนี้ วิธีที่จะทำให้ได้ถ่านมากที่สุด คือการ "แยกฟืนออกจากไม้" 
  • คือ ออกแบบเตาโดยไม่ให้เกิดการเผาไหม้โดยตรง เผาฟื้นในพื้นที่ที่หนึ่งของเตา แล้วพาเอาความร้อนไปเพิ่มอุณหภูมิของไม้ให้เข้าสู่กระบวนการไพโรไลซิส แล้วนำเอาก๊าซคาร์บอนมอนน็อคไซด์และไฮโดรเจนซึ่งติดไฟ ไปเป็นเชื้อเพลิงกลับมาเผาให้ความร้อนอีกที ... นักเผาถ่านเรียกวิธีนี้ว่า การเผาแบบไพโรไลซิส 
ผมเพิ่งจะมาเรียนรู้ภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการเผาถ่าน เมื่อมีนิสิตสนใจจะเรียนรู้การเผาถ่านนี้เอง ดังนั้น ผิดถูกอย่างไร มาเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติไปด้วยกันครับ  

มาเป็น "คนเอาถ่าน" กันครับ 

(ขออ้างอิงไปยังเปเปอร์นี้ครับ คลิกที่นี่)

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เผาถ่านกะลามะพร้าวใช้เอง

หากสังเกตให้ดีระหว่างเดินทางไกล ข้างทางถนนหลวง จะมีถุงปุ๋ยบรรจุถ่านวางขายตามรายได้ ราคาจะอยู่ที่ ๑๒๐ - ๒๐๐ บาท แตกต่างไป ร้านโชว์ห่วยเอามาแบ่งขายได้ ๑๐ ถุง ๆ ๒๕ บาท ถ้าท่านมีตังค์ อยากส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนก็ควรจะอุดหนุนเถิด แต่ถ้าหากท่านพิจารณาว่า จะลดรายจ่ายส่วนนี้ วิธีที่ดีวิธีหนึ่งคือเผาถ่านจากะลามะพร้าวใช้เอง ดังจะแนะนำต่อไปนี้ 

ทำไมต้องกะลามะพร้าว

ทำไมถึงแนะนำให้เผาถ่านจากกะลามะพร้าว ตอบสั้น ๆ ก่อนครับ เพราะ "ทำง่าย ใช้ดี" นั่นเอง  จะอธิบายแต่ละคำ โดยเริ่มจากคำหลังก่อน ดังนี้ครับ 

ใช้ดี

ถ่านจากกะลามะพร้าวจะให้ค่าความร้อนสูงกว่าถ่านประเภทอื่น ๆ ๓ เท่า ถ่านอัดแท่งกะลามะพร้าวให้ความร้อนสูงกว่า ๗,๐๐๐ กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม (kCal/kg) ในขณะที่ถ่านอัดแท่งจากวัสดุอื่นให้ค่าความร้อนอยู่เพียงประมาณ ๒,๐๐๐ kCal/kg เท่านั้น (จากแกลบให้ ๒,๐๐๐ จากชานอ้อย ๒,๒๐๐ จากซังข้าวโพด อยูที่ ๒,๕๐๐ kCal/kg)

ถ่านจากกะลามะพร้าวเผาไหม้ให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอและยาวนานกว่ามาก ถ่านอัดแท่งจากกะลาฯ สามารถให้ความร้อนต่อเนื่องได้ถึง ๔ ชั่วโมง สามารถดับด้วยการจุ่มน้ำแล้วตากให้แห้งนำกลับมาใช้อีกได้ 

นอกจากให้ความร้อนระอุและเผาไหม้ได้นานแล้ว  ยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง เช่น ถ่านจากกะลามะพร้าวจะไม่แตกประกายไฟรบกวน ไม่ปะทุ และยังเหลือขี้เถ้าน้อยมาก (มีขี้เถ้าน้อยกว่า ๕ เปอร์เซ็นต์) ไม่มีกลิ่นฉุน ฯลฯ 

ทำง่าย

จริง ๆ ต้องบอกว่า "ทำง่าย ถ้าไม่โลภ"  เพียงลำพังจะใช้เอง สามารถหาซื้อกะลามะพร้าวจากโรงปลอกมะพร้าวกะทิได้ไม่ยาก  ขายกันอยู่ที่กิโลกรัมละ ๑ บาทหรือ ๒ บาท หนึ่งถุงปุ๋ยก็ประมาณ ๒๐ บาทเท่านั้น 

เถาเผาถ่านก็หาซื้อได้ง่ายมาก  หาซื้อในอินเตอร์เน็ตก็มีคนทำขาย  เป็นเตาที่ทำจากถังขนาด ๒๐๐ ลิตร โดยมากจะเป็นเตาเผาจากล่างขึ้นบนแบบมีควัน ก็เป็นการดีสำหรับผู้ต้องการน้ำส้มควันไม้  แต่แนะนำว่า ให้ซื้อถึง ๒๐๐ ลิตร ๒ ไป นำไปให้ร้านทำเตาเผาแบบไร้ควันจะดีกว่า เพราะติดง่ายกว่า ไร้ควันรบกวนเพื่อนบ้าน  เหมือนที่นิสิตได้ทำมาเป็นตัวอย่างนี้

เตาเผาถ่านแบบไร้ควัน หรือ เผาจากล่างขึ้นบน จากถัง ๒๐๐ ลิตร

ภาคเรียนนี้ มีนิสิตสนใจทำซีเนียร์โปรเจคเรื่องการเผาถ่าน ผมจึงได้เรียนรู้เรื่องการเผาถ่านใช้เองไปด้วย เรียนไปทำไปพร้อม ๆ กับน้ิสิต โดยเน้นฝึกนิสิตไปที่กระบวนการคิดและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ใช้เครื่องมือวัดต่าง ๆ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ภายในเตาเผา มุ่งหวังกันว่า น่าจะได้องค์ความรู้หรือเตาต้นแบบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน  ต่อชุมชน ต่อไป  






เตาเผาที่เห็นนี้ยังไม่ดีนัก แม้จะใช้งานได้ดีพอสมควร เราพบว่า ปล่องควันอาจต้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้น หรืออาจต้องออกแบบให้ฝาบนสามารถควบคุมปริมาณออกซิเจนไหลเข้าได้  จะนำมาเล่าให้ฟังต่อไปครับ ....

สวัสดี