วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

ตอบจดหมาย เรื่อง การประเมินโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ท่าน ผอ. ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ส่งจดหมายอิเล็คทรอนิกส์มาถามผมเรื่องเกี่ยวกับการประเมินโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  ผมตอบจดหมายตามภูมิรู้เท่าที่มีของตนเอง แต่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับท่านอื่นๆ ที่กำลังขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาด้วย จึงขออนุญาตท่าน นำมาเผยแพร่ ต่อ ดังนี้ครับ 


หัวข้อ: สอบถามครับ —————————————
อาจารย์ครับ..คำถามเดิมๆ แต่จริงจัง ศน. สนับสนุนโรงเรียนผมมากขึ้น ว่า “ใช่” ที่จะเป็นศูนย์ เนื่องจาก ผลงานต่อเนื่อง กิจกรรมชัดเจน มีคนมาดูงานสม่ำเสมอ ผมมีความสุขกับการทำงาน ไม่คาดหวังการประกวดแข่งขัน งานเกษตรอินทรีย์ที่พอเพียง ทำมาตั้งแต่ ปี ๒๕๕๐ และคิดงานเล็กๆเพิ่มเติมตามบริบท…. ถามอาจารย์ว่า ….เด็ก ๖๙ ครู ๕ เป็นศุนย์ฯ ได้ไหมครับ ผมไม่ได้กลัวเกณฑ์…แต่ผมกำลังเร่งคุณภาพผลสัมฤทธิ์ ... ถ้าผมจะรับการประเมิน ผมอ่านบทความอาจารย์ที่ผมบันทึกไว้มากมาย ก็เพียงพอแล้ว ครับ สุดท้ายนี้ ถ้าศน.ให้ผมสมัครรับการประเมินเป็นศูนย์เทอมหน้า ผมจะได้รับการประเมินราวเดือนไหน ครับ(ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) ขอบคุณครับ
***************************************************************************************************************************************
เรียน ท่านผอ.ชยันต์ ที่เคารพ

ขอบพระคุณมากครับ ผมเองก็ติดตามผลงานผ่านบันทึ
กของท่านอย่างต่อเนื่อง เมื่อทราบว่าทางสำนักงานเขตฯ กำลังผลักดันจะให้โรงเรียนท่านเป็นศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา(ปศพพ.) (ตามนโยบายว่า ๑ เขต ต้องมีอย่างน้อย ๑ ศูนย์การเรียนรู้) รู้สึกยินดีมากครับที่ท่านสนใจจะร่วมเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน ปศพพ. ขอเรียนตอบท่านดังนี้ครับ

๑) เด็ก ๙๖ คน ครู ๕ เป็นศูนย์ฯ ได้หรือไม่ ตอบว่า ตามความรู้ที่ผมมีตอนนี้ ไม่มีข้อกำหนดใดๆ เกี่ยวข้องกับจำนวนหรื
อขนาดของโรงเรียน ผมคิดว่า โรงเรียนขนาดเล็กในประเทศเรามีเป็นหมื่นโรงเรียน หากมีตัวอย่างของโรงเรียนศูนย์ฯ ที่มีบริบทคล้ายกัน น่าจะเป็นประโยชน์ยิ่ง ... เราสามารถพิจารณาตนเองตามเกณฑ์ก้าวหน้าได้ว่า เราเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์การเรียนรู้หรือไม่

๒) เรื่องการเป็นโรงเรียนศูนย์
การเรียนรู้ฯ กับ คุณภาพผลสัมฤทธิ์ ขอเรียนท่านว่า การเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ หัวใจสำคัญคือ การขยาย "ผลสัมฤทธิ์" หรือ "ความสำเร็จ" ที่ภูมิใจของตนเองสู่ผู้อื่นๆ หรือโรงเรียนอื่นๆ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมี "ผลสัมฤทธิ์" หรือ "ความสำเร็จ" ที่ภาคภูมิใจ ผมคิดว่า ท่าน ผอ. ดำเนินงานมาจนถึงตรงนี้ ทุกอย่างที่ท่านทำสำเร็จล้วนแล้วแต่ "พอเพียง" คือสอดคล้องกับการนำหลัก ปศพพ.ไปใช้ทั้งสิ้น นั่นหมายถึง หากท่านจะรับการประเมินเป็นโรงเรียนศูนย์ฯ สิ่งที่้ต้องเตรียมตัวมากหน่อยก็คือ การ "ถอดบทเรียน" "ถอดประสบการณ์" ว่าเราทำอย่างไรจึงสำเร็จ สอดคล้องกับหลักปรัชญาฯ อย่างไร ท่านน้อมนำไปใช้ตอนไหน..เพื่อวัตถุประสงค์ของการ "สื่อสาร ขยายผล" สู่คนอื่น หรือโรงเรียนอื่น ..... หลังจากถอดบทเรียนเทียบเคียงกับเกณฑ์ก้าวหน้า ท่านจะทราบทันทีว่า เราพร้อมจะรับการประเมินหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมต้องเติมอย่างไรบ้าง .... หลายโรงเรียน มีแต่ความ "อยากเป็น" แต่ ไม่มี "ความสำเร็จที่ภูมิใจ" ...

๓) ถ้า ศน. ให้ขอรับการประเมินฯ เทอมหน้า (๒๕๕๘) จะได้รับการประเมินประมาณเดื
อนไหน ... ขอเรียนท่านอย่างนี้ครับ ที่ผมทราบคือ จะมีคณะกรรมการกลั่นกรองแบบคัดกรอง ซึ่งทุกโรงเรียนต้องส่งเข้าไป ภายในเดือนพฤษภาคม หากผ่านการคัดเลือก จะมีการประเมินประมาณ สิงหาคม หรือ กันยายน ดังนั้น เราต้องนำเสนอในแบบคัดกรองให้ดี (ทำวีซีดีแนะนำจะดีมาก) ว่าเราขับเคลื่อนอย่างไร เกิดผลอย่างไร ทำไมจึงอยากขอรับการประเมินฯ เป็นต้น (มีรายละเอียดในแบบฟอร์ม) .... แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีการเปลี่ยนแปลง เพราะตอนนี้ เราต้องส่งแบบคัดกรองไปยังเขตพื้นที่การศึกษา เขตพื้นที่จะส่งไปยังคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อีกครั้งหนึ่ง

๔) ผมมีความเห็นเพิ่มเติมอยากเรี
ยนท่าน ผอ. ว่า ศึกษานิเทศน์ (ศน.) ต้องทำงานในลักษณะ "รับ-ประสาน-สร้าง-ส่ง" บางท่านต้อง "รับ" งานจากส่วนกลาง (สพฐ.) หลายๆ โครงการพร้อมๆ กัน หลายโครงการ ศน. ไม่มีสิทธิ์คิด ต้อง "ประสาน-สั่ง-ส่ง" คือเป็นผู้ประสาน มาสั่งงานต่อให้โรงเรียนทำ แล้วส่งไปยังเจ้าของโครงการจากส่วนกลาง แต่บางโครงการก็มีสิทธิ์ "สร้าง" แล้วค่อย "ส่ง" หาก ศน. เข้าใจและน้อมนำหลัก ปศพพ. ไปใช้ในการทำงานของตนจริง ท่านเหล่านั้นจะสามารถบูรณาการงานให้ง่าย (Simplicity) โดยเฉพาะโครงการประเภท "สร้าง" แล้วเสนอต่อสำนักงานเขตฯ ด้วยความเห็นดังนี้ ผมจึงคิดว่า การเปิดโอกาสให้ ศน. ได้เข้ามาเรียนรู้กับท่าน จะเป็นผลดีในระยะกลางและระยะยาวอย่างยิ่ง

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ฤทธิไกร

ป.ล. ขออนุญาต นำสาระในอีเมล์ของท่านและคำตอบข้างตนนี้ เผยแพร่ในบันทึก gotoknow จะได้หรือไม่ครับ
**************************************************************************************************************************************

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

เรียนรู้จากคณะกรรมการประเมินโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ ปศพพ. : สังเกตการณ์ประเมินฯ โรงเรียนบ้านเป้าวิทยา

การร่วมการประเมินศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ โรงเรียนบ้านเป้าวิทยา อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ ในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๗  กระผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่หลายประการผ่านมุมมองของกรรมการฯ ด้วยการ "ฟัง" "สังเกต" และ "คิด" .... ซึ่งแน่นอน อาจจะผิดก็ได้ ดังนั้น ท่านผู้อ่านจึงควรพินิจพิจารณาด้วยหลักปรัชญาฯ ก่อนจะนำไปปรับใช้เถิด...

ข้อสังเกตสำคัญที่พบในการประเมินครั้งนี้ คือ

  • กรรมการเน้น "ความยั่งยืน" กรรมการให้ความเห็นว่า ฐานการเรียนรู้หรือแหล่งเรียนรู้ไม่ควร "ยก ย้าย" ออกจากสถานที่จริงๆ มาแสดงในสถานที่ชั่วคราว เว้นแต่จะเป็นฐานการเรียนรู้ชั่วคราว ที่สามารถเคลื่อนย้าย ยก ยุบ ได้ง่ายไม่ลำบาก หรือเป็นผลงานของนักเรียน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ (เหตุผล) ของการเตรียมงาน  หากมุ่งให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดง แบ่งปัน เผยแพร่ อาจสามารถเคลื่อนย้ายเพื่อความสะดวก
  • กรรมการตรวจสอบจริงจัง ลงลึกรายละเอียด เพื่อพิสูจน์กระบวนการทำงาน ว่า น้อมนำหลักปรัชญาฯ มาใช้ในการบริหารจัดการอย่างไร มีแผนระยะยาว กลาง แผนรายปี มีหลกสูตรสถานศึกษา ในหลักสูตรสถานศึกษา มีการน้อมนำหลัปปรัชญาฯ ลงสู่หลักสูตรฯ การเรียนการสอน กิจกรรมเสริมการเรียนรู้  (โดยมากจะทำเป็นโครงการต่างๆ) กรรมการจะตรวจละเอียดถึงขึ้นปฏิบัติ การกระจายงานสู่บุคลากร ครูผู้ทำโครงการฯ เข้าใจหรือไม่ ได้น้อมนำไปใช้ในการทำโครงการนั้นอย่างไร เบิกจ่ายอย่างไร โปร่งใสหรือไม่ (มีการแจกแจงรายละเอียด) ผอ.หรือผู้บริหารมีการตรวจสอบ ถ้วนถี่หรือไม่ ใส่ใจในรายละเอียดหรือไม่ ใส่ใจและติดตามงานโดยเฉพาะงานวิชาการ (อาจสังเกตจากการเกษียนหนังสือ) เมื่อทำโครงการแล้ว มีการตรวจสอบผลลัพธ์หรือไม่อย่างไร หากไม่ได้ผลมีการปรับปรุง ป้องกันอย่างไร มีการรายงานผลลัพธ์ต่อผู้บริหารอย่างไร มีการจัดการความรู้ (จัดเก็บองค์ความรู้) อย่างไร .... อ่านแล้วเป็นไงครับ  ผมตะลึงไปเลย แต่ก็ยอมรับและเห็นด้วยกับท่านทุกประการ เราต้องฝึกตนเองให้ได้แบบนั้นครับ ....
  • คณะกรรมการฯ แบ่งออกเป็น ๓ ทีม 
    • ทีมแรกพบปะกับกรรมการสถานศึกษา ชุมชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตัวแทนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 
    • ทีมที่สอง ตรวจสอบผลงานการขยายผลการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียน  กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้บริหารและครูจากโรงเรียนเครือข่ายที่ได้รับการขยายผล 
    • ทีมที่สาม ดูผลงานการขับเคลื่อนของโรงเรียน นั่นคือ ดูผลงานนักเรียน ดูผลลัพธ์ที่ตัวนักเรียน (เกิดอุปนิสัยพอเพียงหรือไม่) ด้วยการให้นักเรียนนำเสนอ เล่าเรื่อง และซักถาม รวมทั้งซักถามครูผู้รับผิดชอบที่ท่านเชิญให้มาอยู่ร่วมด้วยระหว่างที่สอบถามประเมินนักเรียน
  • คำถาม ๕ คำถาม สำคัญที่กรรมการถาม "แบบเปิดหา" (ถามต่อหน้าเวที ให้ยกมือตอบ ใครตอบแล้ว ไม่ให้ตอบอีก) คือ 
    • ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร 
    • จำเป็นต้องน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่โรงเรียนหรือไม่ 
    • เราขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่โรงเรียนอย่างไร 
    • จะรู้ได้อย่างไรว่า การขับเคลื่อนฯ ได้ผลหรือไม่ได้ผล 
    • จะทำให้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงยั่งยืนได้อย่างไร 
  • คำถามที่กรรมการฯ ถามต่อกรรมการสถานศึกษา ชุมชน ฯลฯ (อย่างน้อย)  ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 
    • รู้ เข้าใจ มีความเห็น ต่อปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไร 
    • มีความพึงพอใจต่อผลผลิต (หมายถึงนักเรียน พฤติกรรม) ของโรงเรียนอย่างไร 
    • ได้เรียนรู้ หรือ แลกเปลี่ยนความรู้ (ปศพพ.) หรือ มีส่วนร่วมในการพัฒนานักเรียน หรือ กำหนดแนวทางในการพัฒนาโรงเรียน และ ได้สะท้อนผลลัพธ์ให้กับทางโรงเรียนหรือครูอย่างไร 
วิธีคิดคะแนนง่ายๆ ในการประเมินที่กรรมหารสื่อสารต่อผู้รับการประเมินคือ เบื้องต้นจะให้คะแนนไว้ก่อน ๑๐๐ คะแนนเต็ม (ตามเกณฑ์ก้าวหน้า) ภาคเช้าจะตรวจด้าน ผอ. ครู และกรรมการสถานศึกษา ตอนบ่ายจะไปให้คะแนนนักเรียน หากไม่มีที่บกพร่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขก็จะไม่หักคะแนนใดๆ แต่ถ้ามีที่ติจุดไหนก็จะลบคะแนนตามสมควรพร้อมกับให้ความเห็น เป็นการประเมินเชิงพัฒนา

ผมมองว่ากระบวนการและกิจกรรมการประเมินที่โรงเรียนบ้านเป้าวิทยา ได้รับอิทธิพลจากบันทึกที่เขียนเกี่ยวกับการประเมินฯ ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนโนนสังวิทยาคารอย่างมากๆ กระบวนการต่างๆ ออกแบบคล้ายกัน ต่างกันเพียงเป็นคณะกรรมการฯ คนละชุด อย่างไรก็ดี ผมคิดว่า กรรมการไม่ได้ให้คะแนนหรือหักคะแนนกับ "รูปแบบ" ของการเตรียมรับการประเมินฯ จะเห็นได้จากที่ ภาคเช้ากรรมการฯ บอกว่า โรงเรียนบ้านเป้ายังได้คะแนนเต็ม


 




 ดูรูปทั้งหมดที่นี่ 

บันทึกต่อไป มาเรียนรู้จากบ้านเป้าฯ กันครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๖ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๕) "รักและหวงแหนภาษาไทย"

ผมประทับใจนักเรียนคนหนึ่งมากจน "น้ำตาไหล" แบบไม่อายใคร ในขณะที่ฟังเขาพูดนำเสนอเกี่ยวก้บ "การใช้ภาษาไทยของเด็กไทยสมัยนี้" 

อุปนิสัยพอเพียงประการสำคัญ คือการ "รู้จักตนเอง" เพราะคนที่จะ "รู้จักตนเอง" จะสามารถตัดสินใจให้ "พอประมาณ" กับตนเองได้ และถ้าตัดสินใจอย่างพอประมาณกับตนเองจนเป็นนิสัยแล้ว จะเป็นคนที่ "พอเพียง" ในสิ่งที่ตนเองมี ตนเองเป็น และจะเริ่ม "มองเห็น" ประโยชน์ส่วนรวม และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ เสียสละ และอุทิสตนต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง...









ผมบันทึกเสียงการนำเสนอของนักเรียนในภาพไว้ แต่ไม่สะดวกนักในการค้นหาตอนนี้ จึงอยากฝาก ท่าน ผอ. สุรเชษฐ์ หรือ อาจารย์รักศักดิ์ ช่วยโพสท์ต่อบันทึกนี้ให้หน่อยว่า เขาชื่ออะไร เรียนอยู่ชั้นไหน อาจเป็นประโยชน์สำหรับนักเรียนคนอื่นๆ อยากจะไปเรียนรู้จากเขาว่า ทำอย่างไร จึงได้เกิด อุปนิสัยพอเพียง จนติดเป็นอุดมนิสัย "รักภาษาไทย" ขนาดนี้ได้

น้องฮีโร่ของผมไม่เฉพาะแสดง "ฉันทะ" ผ่านการสนทนานำเสนอเท่านั้น แต่คุณก้อย (ทีมขับเคลื่อนฯของเรา) บอกว่า เขาจะแต่งกลอนเองเป็นกิจวัตร และสะสมกลอนที่ผ่านการแต่งแล้วอย่างดีไว้ในสมุด "ล็อคบุค" (สมุดบัญชีปกสีน้ำเงิน) สะท้อนว่า "วิริยะ จิตตะ" และ "วิมังสา" พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง

ผมถามน้องว่า เกิด "ความคิด" "ความเห็น" หรือ "ความรู้สึก" นี้ตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ ... เสียดายที่ผมจับคำตอบไม่ได้ ... จับได้เพียงว่า ครูภาษาไทย มีส่วนอย่างยิ่ง ...


ผมได้เรียนรู้ว่า คำว่า "จุงเบย" ที่วัยรุ่นมักคุยโต้ตอบกันในสังคมออนไลน์กันในขณะนี้ เป็นภาษาเขมร แปลว่า "จูงควาย"  แต่ก่อนมีคนบอกผมว่า ที่เป็น จุงเบย เพราะพิมพ์ผิด แป้นพิมพ์สระอุอยู่ใกล้ไม้หันอากาศ และ ลอ-ลิง อยู่ใกล้แป้นพิมพ์ บอใบไม้ ... ซึ่งก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ....

ที่ผมถึงกับ "น้ำตาซึม" เพราะ การนำเสนอ บรรยากาศตอนนั้น ทำให้ผมนึกถึง พระราชดำรัสของในหลวง ที่ทรงเน้นให้คนไทย "รักและหวงแหน" ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง คณะทำงานฯ ผู้ใหญ่ในประเทศฯ ถึงกับบรรจุไว้เป็นแนวการจัดการศึกษาใน พ.ร.บ. การศึกษา  (อ่านได้ที่นี่ ) คิดถึงตรงนี้ ใจผมก็มีปีติยินดีว่า ผมพบอนาคตของ "ภาษาไทย" ที่น่าจะ "ยั่งยืน" ในตัวของเขาต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๕ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๔) เชื่อมโยง ๔ มิติ และ "๓ เชื่อม"

บันทึกที่ ๑...
บันทึกที่ ๒...
บันทึกที่ ๓...
บันทึกที่ ๔...

ก่อนที่จะแยกกลุ่มทำ Work Shop ผมนำข้อเสนอแนะ "หลักการขับเคลื่อนฯ " ของ รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี ที่ผมเคยเรียบเรียงเป็น "ภาพ" ไว้ที่นี่  (ขยายความไว้ที่นี่ และที่นี่)

ดังที่ได้ "เน้น" แล้วในบันทึกที่ ๒ ว่า ในการขับเคลื่อนฯ ด้วย "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" นั้น จำเป็นจะต้อง ศึกษาเรียนรู้ให้ "รู้จักตนเอง" เสียก่อน  ในทางปฏิบัติสำหรับการขับเคลื่อนฯ ในโรงเรียน คำว่า "ตนเอง" ในที่นี้หมายถึง "โรงเรียน" การพิจารณาให้รู้จัก "ตนเอง" ควรครอบคลุมทั้ง ๔ มิติ ที่โรงเรียน "มีอยู่" หรือ "เป็นอยู่" เช่น 
  • วัตถุ/เศรษฐกิจ   คือ วัสดุ อุปกรณ์ สื่อ-โสต-ไอซีที ฐานการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ทางกายภาพ / งบประมาณของโรงเรียน สภาพเศรษฐกิจของโรงเรียนและชุมชน ฯลฯ 
  • สังคม คือ อาจจะพิจารณา ๓ ระดับ ๑) เริ่มที่ความ "โลภ โกรธ หลง" ของผู้คนภายในโรงเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้องในขณะปัจจุบัน เช่น ผู้ปกครอง หรือคณะกรรมการสถานศึกษา ฯลฯ ว่า รุนแรงจนส่งผลให้เกิด "ปัญหาสังคม" หรือไม่ กลุ่มบุคคลที่มีน้อย อาจเหมาะสมที่จะเป็นแกนนำ ๒) พิจารณาดูความสมัครสมานสามัคคีของคนในโรงเรียน หรือโรงเรียนกับชุมชน คือ ดูความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ  และ ๓) ดูระดับของการเสียสละ แบ่งปัน หรือ อุดมการณ์ต่อการทำเพื่อส่วนรวมของคนหรือสังคม 
  • วัฒนธรรม คือ พิจารณาดูวัฒนธรรมองค์กรของโรงเรียน และจุดเด่นด้านวัฒนธรรมของชุมชนและท้องถิ่น
  • ด้านสิ่งแวดล้อม นอกจะพิจารณาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีอยู่ของโรงเรียนแล้ว ควรพิจารณาถึง ระดับของความตระหนักต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของคนด้วย รวมถึง "ผลกระทบ" ต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาหรือการกระทำของคน 
และการขับเคลื่อนฯ สู่โรงเรียนนั้น ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์การร่วมประเมินโรงเรียนศูนย์ฯ พบว่า ปัญหาของการขับเคลื่อนส่วนหนึ่ง คือ การมุ่งเพียงถอดบทเรียนใหนักเรียน "ตีความ" เข้าใจในหลัก ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข แต่ไม่ได้เน้นการนำไปใช้จริง โดยเฉพาะการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต้องพิจารณาถึง หลัก ๔ มิติ และสิ่งที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ ผลลัพธ์ที่ต้อง "ยั่งยืน" และ "พร้อมรับการเปลี่ยนเแปลง" สรุปคือ การขับเคลื่อน ปศพพ. นั้นไม่ใช่เพียงทำความเข้าใจ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไขเท่านั้น แต่ต้อง ไปถึง ๔ มิติ สู่ความ "ยั่งยืน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง" ด้วย

หลักในการนำ ปศพพ. ไปใช้ในสถานศึกษาที่เสนอโดย ดร.ทิศนา แขมมณี กำหนดไว้ใน ๓ แนวทางหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนฯ ในห้องเรียน คือ ผ่านการเรียนการสอน การขับเคลื่อนฯ ด้วยกิจกรรมส่งเสริมฯ และ การขับเคลื่อนฯ  สู่กิจวัตรประจำวันของนักเรียน หรือลงสู่ชีวิตจริงๆ  ดังรูป



ในการขับเคลื่อนฯ ที่ ร.ร.นาดูนประชาสรรพ์ มีตัวอย่างการถอดบทเรียนกิจกรรมการขับเคลื่อนฯ โดยใช้แนวทางนี้เป็นหลัก ดังภาพด้านล่าง




ผมขอชื่นชมว่า ครูอาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ถอดบทเรียนได้อย่างชัดเจนว่า ได้ทำกิจกรรมอะไรบ้าง และได้ฝึกทักษะชีวิตที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตหลากหลายประการ และจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเน้นทักษะการคิดและทักษะการทำงานกลุ่ม  แต่สิ่งที่ยังไม่มั่นใจคือ ห่วงทั้ง ๓ นี้ "เชื่อม" หรือ "ไม่เชื่อม" ตามรูปด้านล่าง


เพราะ ถ้า "ไม่เชื่อมโยงกัน" จะทำให้ทั้งครูอาจารย์และนักเรียนต้องทำงานหนัก มีกิจกรรมมากมาย สิ่งที่เรียนในห้องก็ไม่เสริมความเข้าใจในกิจกรรม และไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงๆ  แต่ถ้า "เชื่อมโยงกัน" ผมมั่นใจว่า จะทำให้ "งานลดลง"  แน่นอน

ขอเสนอให้ ท่านอาจารย์ เขียนบันทึกเพื่ออธิบาย ความเชื่อมโยงของกิจกรรมต่างๆ ตามรูปที่ท่านได้ถอดบทเรียนออกมาอย่างดีนั้นแล้ว เพื่อให้เพื่อนผู้กำลังขับเคลื่อนฯ ได้อ่าน เป็น "วิทยาทาน" จะอนุโมทนายิ่งครับ


วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๔ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๔) ถอดบทเรียนเชื่อมโยง

บันทึกที่ ๑...
บันทึกที่ ๒...
บันทึกที่ ๓...

หลังจากเน้นให้ ทุกคนตระหนักถึง "พื้นฐาน" ของการขับเคลื่อน ปศพพ. คือ "พลัง ๕" และ สิ่งแรกที่ต้องคำนึกถึงในการขับเคลือนฯ คือ "รู้จักตนเอง" แล้ว ผมได้บรรยายเพื่อจะ เน้นย้ำว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" ที่เราจะนำมาใช้ในโรงเรียนนั้นควรมองเป็น "หลักคิด" คือ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" โดยใช้วิธีการอธิบายที่ผมเขียนไว้ที่นี่ และเสนอเป้าหมายรายทางระหว่างนำ "หลักคิด" ไปใช้ ได้แก่ ใช้หลักคิด -> วิธีปฏิบัติ -> แนวปฏิบัติที่ดี -> หลักปฏบัติ -> ผลลัพธ์ที่ภูมิใจ -> ขยายผลสู่ผู้อื่น ซึ่งได้เขียนอธิบายไว้ที่นี่  ก่อนจะมอบหมายให้ ครูและนักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มย่อย เพื่อ ระดมสมองใน ๒ ประเด็น ได้แก่
  • การนำ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" ไปใช้ในโรงเรียน ตามบทบาทหน้าที่ของตน
  • การนำ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ก่อนจะใหัพักรับประทานอาหารเที่ยง แล้วนำกลับมานำเสนอในภาคบ่าย ผมพบว่า การสื่อสารของผมไม่ค่อยดีนัก เพราะมีคำถามมากมาย จึงปรับวิธีการโดยใช้การอธิบายในกลุ่มย่อยทีละกลุ่ม และปล่อยให้แต่กลุ่มมีอิสระ ในการะดมความคิด ผลกลับกลายเป็นดีมาก เพราะมีการนำเสนอที่หลากเรื่องหลายประเด็น  ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญๆ ที่ผมได้ให้ "ความเห็น" หรือ "คอมเมนต์" กับตัวแทนกลุ่มที่ได้ออกมานำเสนอ 


ถอดบทเรียนให้เชื่อมโยง

เท่าที่ผ่านมา วิธีการที่ถือว่า "เป็นแนวปฏิบัติที่ดี" ในการขับเคลื่อนฯ ให้ "เข้าใจ" หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การตีความเชื่อมโยงสิ่งที่ทำแล้วหรือกำลังจะทำ ให้เข้ากับ ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ ตามกรอบคิดเศรษฐกิจพอเพียง (ผมจัดระดับบทบาทของการขับเคลื่อนฯ แบบนี้อยู่ในระดับ ๒ อ่านได้ที่นี่)  ดังภาพด้านล่าง


จากภาพ จะเห็นว่า
  • เป็นการตีความสิ่งที่ทำคือ ค่ายคณิตศาสตร์ ให้เข้ากับ "ทฤษฎี ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ" เราเรียกในภาษาพูดของการขับเคลื่อนฯ ว่า ถอดบทเรียนแบบ "จับใส่กล่อง"  ประโยชน์คือ จะทำให้เกิดทักษะในการตีความ แยกแยะ วิเคราะห์  และเกิดความเข้าใจในหลัก ปศพพ. มากขึ้น 
  • เห็นตัวอย่างองค์ประกอบต่างๆ ของแต่ละห่วง แต่ละเงื่อน แต่ละมิติ แต่จะไม่เห็นวิธีการขั้นตอนในการปฏิบัติมากนัก  กล่าวคือ จะเห็นแต่ "หลักคิด" แต่ไม่เห็น "หลักปฏิบัติ" หรือ "แนวปฏิบัติ" ในการจัดค่ายคณิตศาสตร์  จะถอดบทเรียนกิจกรรมอะไร ผลจะได้คล้ายๆ กัน แยกไม่ออก  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเสนอได้อธิบายขั้นตอนและวิธีโดยละเอียด 
ที่เห็นโดยทั่วไป การถอดบทเรียนในลักษณะเดียวกันนี้ จะใช้รูปหรือสีที่สวยงาม แต่ไม่ได้สื่อความหมายรูปนั้นกับข้อความ...  ผมเรียกการถอดบทเรียนแบบนี้ว่า "การถอดบทเรียนแบบดอกไม้"  ซึ่งสามารถแยกได้เป็นดอกไม้แต่ละดอกแยกกันดังรูป





ข้อ "คอมเมนต์" หรือ "ความเห็น" ของผมคือ  ลักษณะประการสำคัญของ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" คือ ทั้ง ๓ ห่วง จะร้อยเรียงไม่แยกจากกัน ดังนั้นการถอดบทเรียนควรจะแสดงให้เห็นถึง "ความเชื่อมโยง" และในการถอดบทเรียนควรกระตุ้นให้นักเรียนคิดละเอียดถึงขั้นตอน วิธี หรือแนวปฏิบัติในการทำสิ่งนั้นๆ  ตัวอย่างเช่น การถอดบทเรียนลงใน "พวงผลไม้" ดังรูป



หากจะให้ดี หรือ หากทำได้ ควรท้าทายให้นักเรียนใช้ Mind Mapping แสดงความเชื่อมโยงของแต่ละองค์ประกอบของการทำงาน ว่ามีเชื่อมโยง ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติอย่างไร  หรืออาจใช้ "พวงองุ่น" ที่เชื่อมโยงกันหลายมิติ ฯลฯ




วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๓ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๓)

บันทึกที่ ๑...
บันทึกที่ ๒...

หากพิจารณาให้ดี จะพบว่า "ความพอเพียง" มีหลายระดับ หากจะพัฒนาสู่ไปสู่ "ความยั่งยืน" ซึ่งเป็นคำสำคัญที่สุดในมิติของผลลัพธ์ในการขับเคลื่อนฯ จะต้อง "ระเบิดจากภายใน" ภายในตน ภายในคน ภายในชุมชน คือ  เป็นคน "รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้คน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้ชุมชน" (ปุริสธรรม ๗ ประการ) เพื่อให้สามารถ "พออยู่ พอกิน พอใช้ พอซื้อ พอขาย พอได้ พอมี พอดี พอให้ พอไป พอมา พอกับเวลาที่มี"  คำว่า "พอ" จึงเป็นเรื่องเฉพาะตน เฉพาะคน เฉพาะชุมชน เช่นกัน ดังนั้น การ "รู้จักตนเอง" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ "พอประมาณ" ได้ 

ผมขอเสนอให้แยกพิจารณาเพื่อให้รู้จัก "อัตตภาพของตนเอง" หรือ "ตัวตนของตนเอง" ออกเเป็น ๒ ส่วน คือ "ส่วนตน" และ "ส่วนรวม" เพราะเป็นเสมือนต้นทางและปลายทางในการน้อมนำหลักปรัชญามาใช้  กล่าวคือ เมื่อ "พอเพียง" ในประโยชน์ตนแล้ว จะแบ่งปันเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่น หรือก็คือประโยชน์ส่วนรวม


ในส่วนประโยชน์ตน ผู้บริหารและครูแกนนำ ควรออกแบบกิจกรรมการขับเคลื่อนให้ครอบคลุมทั้ง  ๓ ฐานหลัก ได้แก่ ฐานคิด ฐานใจ และฐานกาย หรือ Head, Heart, Hand กล่าวคือ
  • ฐานคิด เช่น ระดมสมอง (Brain Storming), ใช้ผังความคิด (Mind Mapping), สะท้อน (Reflection), ถอดบทเรียน (After Learning Review), อภิปราย (disscussion) ฯลฯ
  • ฐานใจ เช่น เจริญสติ, ฝึกสมาธิ, ปฏิบัติธรรม, สุนทรียสนทนา (Dialouge), ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening), กิจกรรมจิตศึกษา หรือ จิตตปัญญาศึกษา, การสะท้อนความรู้สึก, ศิลปะ, ดนตรี ฯลฯ 
  • ฐานกาย เช่น กิจกรรมชุมนุม, การทำโครงการ, การทำโครงงาน, กีฬา, ทำอาหาร, ทำ Lab ในห้องปฏิบัติการ, กีฬา, การปั้น, งานฝีมือ ฯลฯ
ในส่วนประโยชน์ส่วนรวม อาจพิจารณาแบ่งหน้าที่ของคนออกเป็น ๓ บทบาท ได้แก่ "ผู้นำ ผู้ทำ ผู้ให้"  เพื่อฝึกให้นักเรียนแต่ละคน รู้จักหน้าที่ของตนเอง รับผิดชอบต่อบทบาทที่ตนเองกำหนดนั้น และ ดำรงตนเองให้เป็นผู้แบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เป็นที่พึ่งในสิ่งที่ตนเข้าใจ มั่นใจ
  • ผู้นำ โดยสังเกตว่าอะไรที่เรามี "ฉันทะ" ประสบความสำเร็จ ภูมิใจ มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และต้องการจะเปลี่ยนแปลง "ส่วนรวม" ให้ดีขึ้นด้วยตนเอง ฯลฯ กล่าวคือ ผู้นำ ในที่นี้คือ "ผู้บุกเบิก" ควรเป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนหลักวิชาการ วิทยาการต่างๆ มีความพากเพียรและกล้าหาญ ที่จะลองผิดลองถูกในการน้อมนำ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" มาใช้กับตนเอง  ลักษณะสำคัญของ "ครูแกนนำ" คือ มี "พลัง ๕" (ตามบันทึกที่ ๒)ต่อ ปศพพ. และมี "ความมั่นใจในตนเอง"
  • ผู้ทำ หมายถึง ผู้เรียนรู้และผู้ตาม บทบาทของ "ผู้เรียน" คือผู้ลงมือคิด-ทำด้วยตนเอง โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษามาใช้กับตนเอง ให้ความร่วมมือ โดยคำนึงถึงการไม่เบียดเบียนผู้อื่น และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
  • ผู้ให้ คือ ผู้ให้ คงไม่ต้องอธิบายสำหรับคนไทย "ให้" ตั้งแต่ อามิสทาน วิทยาทาน "กรรมทาน" (ช่วยด้วยแรงมือ) เพราะ สังคมไทยเป็นเด่นเป็นอักลัษณ์เรื่อง เอื้อเฟื้อแบ่งปันมาแต่บรรพบุรุษ อย่างไรก็ดี การให้ที่ไม่ดี ไม่มีปัญญา ่ขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบตามหลัก ปศพพ. ก็สามารถก่อปัญหาบ้านเมืองได้อย่างที่เป็น...

รู้จักตนเอง

ผมขอให้ทุกคน หลับตา สำรวจใจ แล้วให้ยกมือขึ้นหาก "คิดว่า" ตนเองมีต่อไปนี้
  • ท่านใดที่มั่นใจว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า และจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างยิ่งถ้านำมาปฏิบัติ  ... ผลปรากฎว่า เกือบทุกคนยกมือ ...
  • ท่านใดที่มั่นใจว่าตนเองเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ... ปรากฎว่า ยกมือเพียง ๔-๕ คน ...  ผมอยากเสนอให้ทางโรงเรียนไปค้นภาพหรือวีดีโอที่บันทึกไว้ ใครที่ยกมือตอนนั้น ถือว่ามีความ "มั่นใจในตนเอง" เป็นคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของ "ผู้นำการเปลี่ยนแปลง" 
  • ท่านใดที่รู้วิธีการขับเคลื่อนหลัป ปศพพ. ด้านการศึกษา ในสถานศึกษา .... มีคนยกมือประมาณ ๕ คน เช่นกัน.... ลองตามดูจากเทปบันทึก น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ยกมือในคำถามที่ ๒ 
คำถามทั้ง ๓ ข้อนี้ สะท้อนระดับของความมั่นใจของกลุ่มเป้าหมายได้ว่า การฝึกอบรมควรเน้นไปที่ความเขาใจ เพื่อเสริมความมั่นใจ ในการขับเคลื่อนฯ

ผมมีความเห็นว่า "ความมั่นใจในตนเอง" เกิดจาก "ความภูมิใจในตนเอง" ซึ่งภูมิใจในตนเองก็ต่อเมื่อ "รู้จักตนเอง" รู้จักตนเองใน ๓ ประเด็น ได้แก่
  • รู้ศรัทธาและปัญญาของตนเอง คือ รู้จักความชอบ ความอยาก ความไม่อยาก ความถนัด ความสามารถ และ รู้จักศักยภาพ หรือขีดจำกัดของตนเอง ... ผมเสนอ ให้ครูแกนนำออกแบบกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนทำความรู้จักตนเอง ด้วยการตั้งคำถามต่อไปนี้ 
    • กิจกรรมอะไรบ้างที่ทำให้ตนเอง "สนุก"  "สนุกตรงไหน ขั้นตอนใด เพราะเหตุใดจึงสนุก?" 
    • กิจกรรมเหล่านั้น อะไรที่ "ชอบที่สุด" "ชอบเพราะอะไร  ความชอบเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะอะไร?"
    • กิจกรรมหรือสิ่งที่ "ชอบที่สุด"นั้น อะไรที่ "ุถนัด" ทำได้ดี มีผลงานดีเยี่ยม มักทำได้ดีกว่าเพื่อน
    • หาก "ความชอบ" และ "ความถนัด" ตรงกัน สิ่งๆ นั้นมักจะกลายเป็น "ความภูมิใจ" เพราะ "จะมีความรู้ ทำเองได้ คิดต่อยอดได้ และแก้ไขพัฒนาได้" ซึ่งจะนำไปสู่ "ความภูมิใจในตนเองในที่สุด" 
  • รู้จักนิสัยใจคอของตนเอง  รู้ "จริต" ของตนเองว่าแต่ละด้านมากน้อยอย่างไร การรู้จักใจคอของตนเอง จะทำให้รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นไปด้วยพอสมควร ซึ่งจะทำให้ความรู้และทักษะทางมิติสังคมเพิ่มขึ้น "จริต ๖" ได้แก่ 
    • เป็นคนรักสวยรักงาม (ราคะจริต) สะอาด เรียบร้อย เป็นระเบียบ ชอบแต่งองค์ทรงสวย เสื้อผ้า หน้า ผม ต้องเป๊ะ 
    • เป็นคนมักโกรธ (โทสะจริต) โกรธงายหายเร็ว 
    • เป็นคนติดสุข (โมหะจริต) ชอบดูหนัง ฟังเพลง ปล่อยใจไปกับสิ่งเร้าภายนอก ห้ามใจตนเองไม่ได้ ควบคุมตนเองไม่ค่อยได้  อยากได้รุนแรง ฯลฯ 
    • เป็นคนเชื่อง่าย (ศรัทธาจริต) เชื่อเร็ว ศรัทธายึดมั่นในตัวบุคคล 
    • เป็นคนคิดมาก (วิตกจริต) คิดเล็กคิดน้อย เรื่องน้อยนิดแต่เก็บมาคิดเป็นเรื่องราว จนเศร้าซึม  เวลาดีใจก็ดีใจมาก ใจพองโตเกินเหตุ
    • เป็นคนมีเหตุมีผล (พุทธิจริต) มักคิดเป็นเหตุเป็นผล ตัดสินใจด้วยหลักการ หลักฐาน และเหตุผล มีความสุขุม ลุ่มลึก รอบรู้ 
  • รู้รากเหง้า วัฒนธรรม ความเป็นมาของตนเอง สามารถบอกเหตุผลและความสำคัญของรากเหง้าภูมปัญญานั้นๆ ของตนเอง 
  • รู้จักทุนทางทรัพยากรของตนเอง เช่น สิ่งของ วัตถุ กำลังทรัพย์ ของตนเอง รวมทั้งรู้จักสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ตนเองอยู่หรือเกี่ยวข้องด้วย


ผมได้เรียนรู้และเข้าใจ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" จาก ผอ.ระวี ขุณิกากรณ์ และ อาจารย์ฉลาด ปาโส เมื่อครั้งแรกๆ ที่ลงพื้นที่ไปเรียนรู้จากโรงเรียนเชียงขวัญพิทยาคม จ.ร้อยเอ็ด ปัจจุบัน ผอ. ระวี เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่ที่โรงเรียนอาจสามารถวิทยา จ.ร้อยเอ็ด ส่วนอาจารย์ฉลาด ยังเป็นกำลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อนฯ ที่เดิม  ทั้งสองท่านจะเน้น "ความคิดความเข้าใจ" เป็นอันดับหนึ่ง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ใครจะมาขับเคลื่อนฯ หรือจะไปขับเคลื่อนสู่ใคร จะต้องมา "นั่งอธิบาย" จนเข้าใจอย่างดีเสียก่อน เพราะเป็นไปได้ยากที่จะเข้าใจโดยไม่ได้ลงมือปฏิบัติ  แต่หมายความว่า จะทำอะไร ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ จะเน้นการ "สะท้อน" "ถอดบทเรียน" "อธิปราย" ร่วมกัน ดังนั้น ทุกกิจกรรม หรืองานที่ลงมือทำ จึงเหมือน "การฝึกทำ เพื่อให้ได้ฝึกคิด" เพื่อความเข้าใจในการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้

ข้อเสนอแนะ

ขอเสนอให้ทุกโรงเรียน ให้ความสำคัญกับการพัฒนา "ความคิด ความเข้าใจ" ในการขับเคลื่อนฯ ทั้งที่ขับเคลื่อนในห้องเรียน ผ่านกิจกรรมเสริม หรือการเชื่อมโยงสู่ ๔ มิติในชีวิตประจำวัน เพื่อฝึกฝนให้ทุกคนในโรงเรียน เรียนให้ "รู้จักตนเอง" โดยการเน้นกระบวนการต่อไปนี้
  • กิจกรรมพัฒนาภายใน ทั้ง ฐานคิด ฐานใจ และฐานกาย ด้วย กิจกรรรมหน้าเสาธงหรือกิจวัตร หรือ วัดในโรงเรียน หรือจิตศึกษา หรือ จิตตปัญญาศึกษา เพื่อพัฒนา "จิต" หนุนให้ "พลัง ๕" เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ 
  • กำหนดให้ทุกกิจกรรมการเรียนรู้ ต้องทำกระบวนการ "สะท้อนการเรียนรู้" และ "ถอดบทเรียน"  และจัดให้มีการนำเสนอหรือเผยแพร่แลกเปลี่ยนผลสรุปของการเรียนรู้นั้นๆ เป็นรายลักษณ์อักษร หรือเป็น ชิ้นงาน 
ทั้งหมดที่เขียนนี้ เป็นเพียง "ความคิด" ของผมเท่านั้น ท่านผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ให้ทดลองนำไปทำดู เพราะข้อสังเกตและข้อเสนอข้างต้นนี้ เป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่มีคนนำไปทำแล้วได้ผลดี

๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘

บันทึกต่อไปมาว่ากันด้วย "ความเข้าใจ" ว่าอะไรคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา





 















วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๒ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๒)

บันทึกที่ ๑...

แผนที่ผลลัพธ์ (Outcome Mapping) 

สิ่งแรกที่โรงเรียนควรทำในการขับเคลื่อน ปศพพ. คือการร่วมกันทำ "แผนที่ผลลัพธ์" หรือ OM (อ่านที่นี่) ผมพยายามเน้นถึงเป้าหมายรายทางที่สำคัญๆ ที่ครูและนักเรียนต้องให้ความสำคัญ เพื่อที่จะขับเคลื่อนฯ ให้เกิดความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการ "กระทำในระดับกิจกรรม" เท่านั้น การทำ OM จะมีประสิทธิภาพมากนั้น สิ่งสำคัญคือความเข้าใจร่วมกันในปัญหา เป้าหมาย  ผมจึงได้เล่าถึงรากเหง้าของปัญหา ที่เป็นที่มาของ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" คือ กิเลส ๓ ประการที่ทุกคนรู้จักดี คือ โลภ โกรธ และ หลง
  • เมื่อโลภ คือ ไม่พอประมาณ
  • เมื่อโกรธ มักจะ ไม่มีเหตุผล
  • เมื่อหลง เมื่อนั้นยากที่จะมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
เป้าหมายที่แท้จริงของ ปศพพ. คือ การควบคุมและจัดการกับ "กิเลส" เครื่องเศร้าหมอง เหล่านี้ โดยตรง .... 




ในเป็นเวทีแรกในการนำเสนอให้ผู้บริหาร ครู และนักเรียน "ฟังพร้อมๆ กัน" ผมพยายามเน้นให้ทุกคน "เห็น" ถึงสิ่งที่สำคัญและ "จำเป็น" ต้องฝึกฝนให้เกิดมีในตัวนักเรียนทุกคน คือ "สติ และ สมาธิ" อันจะหนุนให้มี "ศรัทธา" และ "ปัญญา" ที่ถูกต้อง สามารถทำการงานสิ่งใดๆ ได้สำเร็จได้ด้วยความเพียร คือ "วิริยะ"  กล่าวคือ ครูต้องใส่ใจเรื่องการปลูกฝัง "พลัง ๕" หรือ "พละ ๕" นี้ให้สั่งสมในตัวของนักเรียน

"สติ" ที่จะต้องฝึกที่กล่าวถึงนี้ (คือการ "ระลึกรู้") ไม่ใช่ "สติ" ที่เข้าใจว่าในชีวิตประจำวันกับกิจกรรมต่างๆ อยู่แล้ว เช่น จะเรียน เขียน อ่าน ทำงาน กินข้าว ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้ "สติ" เหมือนๆ กับที่ แมวกำลังจะจับหนู ทหารกำลังเล็งปืน  แต่เป็น "สัมมาสติ" คือ สติในการระลึก "รู้ตัว" ฝึกให้ "รู้สึกตัว" ฝึกให้เรียนรู้ "อาการของกาย" เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ฯลฯ และ "อาการของใจ" เช่น โมโห โกรธ เกลียด ชอบ อิจฉา ขยะแขยง มีความสุขใจ กลุ้มใจ ฯลฯ โดยฝึกให้นักเรียนสังเกตเรียนรู้ตนเองผ่านกิจกรรมต่างๆ หรือในกิจวัตรประจำวัน ....  ภาษาทางพุทธเรียกว่า "เจริญสติ"

"สมาธิ" (คือการ "ตั้งมั่นของใจ") ก็สามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภทเช่นกัน คือ สมาธิที่ใจตั้งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว และ สมาธิที่ใจตั้งมั่นในการรับรู้สิ่งต่างๆ  สมาธิอันแรกสำคัญและจำเป็นในการจดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำลังคิดกำลังทำได้นาน ไม่วอกแวก ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสมาธิอันหลังสำคัญและจำเป็นในการ "เจริญสติ" จะหนุนให้เกิด "ปัญญา" ระดับต้น คือ "สัมปชัญญะ" คือเมื่อ "ระลึกรู้" ด้วยสติแล้ว จะรู้ด้วยว่า (ผม "ฟัง" และ "เข้าใจ" ครั้งแรก จากการฟังหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช)
  • สิ่งนั้นมีสาระ หรือไม่มีสาระ 
  • สิ่งที่มีสาระนั้น มีประโยชน์หรือไม่ 
  • สิ่งที่มีสาระและมีประโยชน์นั้น เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ 
  • สิ่งที่มีสาระ และมีประโยชน์ และเหมาะสม นั้น จำเป็นหรือไม่
โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ มีจุดแข็งตรงที่มี "วัดในโรงเรียน" ผมเสนอให้ ครูคุยกันเพื่อมอบหมายให้ผู้ที่สนใจและเหมาะสมที่จะเป็นแกนหลักในการฝึกฝน และปลูกฝัง "สัมมาสติ" และ "สมาธิตั้งมั่นในการรับรู้" นี้ให้กับนักเรียนแกนนำอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเรียกว่า "ครูแกนนำในการวางรากฐานของความดี" โดยครูแกนนำคงต้อง ศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติกับตนเอง (ผมเองศึกษาตามแนวทางของวัดป่า เน้นการ “ดูจิต” ที่นี่) พร้อมๆ กับออกแบบกิจกรรมต่าง โดยใช้ "วัด" เป็นฐานการเรียนรู้นี้ ซึ่งสำหรับการเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ฯ จำเป็นต้องเขียน "แผนการใช้ฐานการเรียนรู้" ที่ต้องเก็บร่อยรอยหลักฐานให้เห็นชัดเจนใน ๔ ประเด็นได้แก่
  • เป้าหมายในการใช้ฐานนี้ อยากให้เกิดความรู้ หรือทักษะ อะไรบ้าง 
  • นักเรียนจะได้เรียนรู้ หรือฝึกฝน และเกิดความรู้หรือทักษะตามเป้าหมายนั้นๆ อย่างไร ตอนไหน (ขั้นตอน วิธีการใช้ฐานฯ)
  • จะรู้ได้อย่างไรว่าได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ...  คือ วัดผลและประเมินผลลัพธ์ของการใช้ฐานอย่างไร 
  • ปัญหาอุปสรรค การแก้ไขปรับปรุง และข้อเสนอแนะจากประสบการณ์ต่างๆ สำหรับโรงเรียนหรือชุมชนอื่นๆ ที่อยากนำ "หลักปฏิบัติ" นี้ไปใช้บ้าง 
บันทึกต่อไป มาว่ากันต่อเรื่องการขับเคลื่อนฯ ครับ

๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗๗





เมื่อถามว่า "ใครเห็นว่า ปศพพ. เป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่า และจะนำมาปรับใช้กับตนเอง"


ดูรูปทั้งหมดที่นี่

SEEN มหาสารคาม _๑๑ : ขับเคลื่อน ปศพพ. สู่โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ (๑)

วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ทีม CADL เดินทางไปตามนัดหมาย ปลายทางคือโรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหาร ครูทุกคน นักเรียนแกนนำ และทีมขับเคลื่อนฯ จากโรงเรียนที่กำลังขับเคลื่อนฯ ไปพร้อมๆ กัน คือ โรงเรียนกันทรวิชัย โรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์  และโรงเรียนมัธยมยางสีสุราช รวมกว่า ๒๐๐ คน  ผม AAR กับตนเองว่า ช่วงเช้าไม่ค่อยดีนัก แต่ช่วงบ่ายเราน่าจะบรรลุวัตถุประสงค์เรื่องความเข้าใจว่า "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา" ก็คือ "หลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง" ไม่มากก็ไม่น่าจะน้อย...  ผมอยากใช้บันทึกนี้สรุป "สาระ" ที่ต้องการสื่อเสริมไปยังทุกคนอีกครั้ง

เอกสารประกอบการฝึกอบรมกว่า ๗๐ หน้า ที่แจกในวันฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเป็นผลงานของผู้อำนวยการโรงเรียน แสดงให้เห็นชัดถึง การทำตนเป็นแบบอย่างของนักเรียนรู้ นักทำงาน และความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนฯ ใครอย่างจะได้ไปศึกษาคงต้องปรึกษาหรือหาความรู้จากท่านเองจาก บล็อค gotoknow ของท่านที่นี่ เป็นต้น

ก่อนจะเริ่มเรื่อง ขอแก้ความเข้าใจผิด ที่วิทยากรบอกว่า ผมมีผลงานวิชาการเยอะมาก อันนี้ไม่จริงครับ แต่ที่บอกว่าผมเรียนตรี โท เอก ฟิสิกส์ และทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องฟิล์มสนามแม่เหล็กนั้น เป็นเรื่้องจริง ปัจจุบัน ผมไม่ได้แบ่งเวลาให้ความสำคัญกับงานวิจัยนั้นเลยครับ ผมพบแล้วว่าผมจะทำประโยชน์ให้กับพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน ได้อย่างไรที่จะคุ้มค่าและเกิดคุณค่าทั้งต่อผมและต่อพวกเขาเหล่านั้นให้มากที่สุด จึงบอกตัวเองว่า จะขอหยุดส่วนนั้น มาทำส่วนนี้ ส่วนที่ผมยึดมั่นว่าดีและทำได้และเกิดประโยชน์สูงสุด


"นิยาม" ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา

การสร้าง "ภาพฝันร่วมกัน" (Shared vision) ของผู้บริหารและครูในโรงเรียน ในเบื้องต้นควรจะประจักษ์ชัดว่า ทุกคนเห็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของ ปศพพ. ว่าเป็นรากฐานของชีวิต รากฐานของความมั่นคงของแผนดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้ การน้อมนำ ปศพพ. มาใช้ด้านการศึกษา เปรียบเสมือนการตอกเสาเข็มแข่ง "ปัญญา" ให้กับเยาวชน บ่มเพาะ ปลูกฝัง "การมีปัญญารู้คิด มีสติรู้ตัว ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท"  อันเป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต รากฐานของการพัฒนาตน พัฒนาคน และพัฒนาชาติ



ผมแลกเปลี่ยนกับทุกคนว่า วิธีที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจและเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือการศึกษาหลักการทรงงาน ประวัติการทรงงาน ผลงานจากโครงการหลวงต่างๆ ที่มีมากกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ เพราะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง "ตกผลึก" จากประสบการณ์ทรงงานของในหลวงกว่า ๖๖ ปี ไม่ได้เกิดจากการ "คิด" หรือ "จิตนาการ" แต่เป็น "หลักคิด" ที่ออกมาจาก Tacit Knowledge โดยแท้ แม้ว่าจะทรงใช้คำว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในพระราชดำรัสครั้งแรกในปี ๒๕๔๐





หนังสือชื่อ "วิกฤตเศรษฐกิจ ๒๕๔๐ กับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเีพียง" ที่เรียบเรียงโดย ดร.ปิยนุช ธรรมปิยา เล่าความเป็นมาของ ปศพพ. ไว้ดีมาก มีใจความว่า ..

... พระราชดำรัสวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ ที่ว่า "...เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง... ในคราวนั้น เมื่อปีที่แล้วนึกว่าเข้าใจ .. ต้องพูดเข้าเรื่องเลย เพราะหนักใจว่า ไม่เข้าใจ..." เป็นแรงกระตุ้นให้ ศ.ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต ประธานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ขณะนั้น เชิญชวนผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ และสาขาอื่นๆ มาร่วมกลั่นกรองพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ใช้เวลา ๖ เดือน แล้วสรุปออกมาเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในปี ๒๕๔๒ (ดาวน์โหลดที่นี่)  และได้ทำหนังสือราชการกราบบังคมทูลขอพระราชวินิจฉัยและพระบรมราชานุญาต เพื่ออัญเชิญไปใช้เป็นแนวปฏิบัติ ในหลวงทรงปรับปรุงแก้ไข และโปรดเกล้าพระราชานุญาตตามที่ขอในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ... เป็นอันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในการขับเคลื่อนฯ ปศพพ. ...

  • ๒๕๔๒ สศช. นำมาใช้กับการบริหารหน่วยงาน นำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหัวข้อในการจัดประชุมวิชาการ ประจำปี ฯลฯ หน่วยงานต่างๆ จัดกิจกรรมเผยแพร่ สร้างความเข้าใจ
  • ๒๕๔๓ เผยแพร่สู่เวทีระหว่างประเทศ เช่น การประชุมอังค์ถัด (UNCTAD) ครั้งที่ ๑๐ ณ ประเทศไทย ในเดือนกุมภาพันธ์
  • ๒๕๔๔ นำเสนอในที่ประชุมรัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ ๒๒
  • ๒๕๔๕ - ๒๕๕๙ สศช. อัญเชิญมาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๙ ๑๐ และ ๑๑ ตามลำดับ
  • ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ สศช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี รศ.ดร.จิรายุ อิศรากูร ณ อยุธยา เป็นประธานอนุฯ
ประมาณช่วงปี ๒๕๔๔-๒๕๔๖ หลังจากที่ในหลวงพระราชทานหลักปรัชญาฯ ให้แต่เราชาวไทย พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

...ในปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๖ มีนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึง ดร.ปิยนุช ธรรมปิยา ด้วย พยายามพัฒนากรอบแนวคิดทางทฤษฎีเศรษศาสตร์ของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยเริ่มจากการศึกษาคำนิยาม และใช้วิธีการจำแนกวิเคราะห์คำ (Parsing) เพื่อเชื่อมโยงแต่ละข้อความและประโยคที่อธิบายปรัชญาของเศรษบกิจพอเพียงเข้าด้วยกัน ทำให้สรุปได้ว่า "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" มีองค์ประกอบด้านต่างๆ ที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนากรอบทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ได้อย่างสมบูรณ์ โดยจำแนกออกเป็น ๔ ส่วนองค์ประกอบได้แก่ แนวคิดหลัก หลักการ เงื่อนไข และเป้าหมาย
  • แนวคิดหลักมีกรอบคิด ๔ ประการ ได้แก่ 
    • เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน 
    • ไม่มีกาลเวลา หมายถึง เป็นปรัชญาที่ใช้ได้ตลอดเวลา 
    • เป็นปรัชญาที่มองโลกเชิงระบบที่มีลักษณะพลวัต 
    • เป็นปรัชญาที่มองอย่างองค์รวม เชื่อมโยงกันทั้งโลก
  • คุณลัษณะของแนวคิดหลัก 
    • สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับการปฏิบัตนของคนทุกระดับ 
    • มีหัวใจสำคัญคือ "ทางสายกลาง" 
  • หลักการ หรือ คำนิยามของ "ความพอเพียง" มี ๓ ประการได้แก่
    • "ความพอประมาณ" กับ ศักยภาพของตนเอง และสภาวะแวดล้อมตามความเป็นจริง
    • "ความมีเหตุผล" บนพื้นฐานของความถูกต้อง
    • "การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี" คือ ไม่ประมาทในการดำเนิชีวิต ที่ต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลง
  • มีเงื่อนไขพื้นฐาน ๒ ประการ ได้แก่
    • เงื่อนไขความรู้ คือ รอบรู้ รอบคอบ (เชื่อมโยง) และระมัดระวังในการนำความรู้ไปใช้
    • เงื่อนไขคุณธรรม  ที่ต้องสร้างให้เป็นพื้นฐานทางจิตใจของคนในชาติ ... คือ ความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหนี่ รู้จักแบ่งปัน และรับผิดชอบในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
  •  เป้าหมายและผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
    • การพัฒนาที่สมดุล
    • และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง



โดยแสดงกรอบความคิดเป็นภาพด้านล่าง


ในการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และมูลนิธิสยามกัมมาจล ได้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนฯ อย่างเป็นระบบ (และได้ให้โอกาสผมได้เข้ามาเรียนรู้เรื่องนี้ ถือเป็นบุญ เป็นพระคุณต่อชีวิตผมอย่างยิ่ง)  และพัฒนา "นิยาม" ของอุปนิสัย "พอเพียง" ที่คาดหวังจะให้เกิด 



สรุปให้สั้นที่สุดคือ การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา คือการพัฒนา บ่มเพาะ ปลูกฝังนักเรียนให้มีอุปนิสัย "พอเพียง" ที่ได้กล่าวถึงนั่นเอง 

บันทึกหน้ามาว่ากันเรื่องว่า "จะเริ่มอย่างไรดี"...................










วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๑๐ : ประเมินโรงเรียนกันทรวิชัย จ.มหาสารคาม

ภาคบ่าย วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ทีมขับเคลื่อนฯ ปศพพ.ด้านการศึกษา ของ สพม. ๒๖ มหาสารคาม เข้าตรวจเยี่ยมและประเมินโรงเรียนกันทรวิชัย อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม  ผมค้นหาเว็บของโรงเรียนไม่พบ แต่มี FB ที่อัพเดทมากๆ ที่นี่ และข้อมูลพื้นฐานในเว็บของ สพฐ. ที่นี่ เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ขนาดกลางนักเรียนประมาณ ๑,๐๐๐ คน คณาจารย์ ๖๗ คน

ท่าน ผอ.คณาพร เทียมกลาง ผู้อำนวยการโรงเรียน เพิ่งจะย้ายมาจากโรงเรียนดงใหญ่วิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๒๕ โรงเรียนในโครงการขับเคลื่อนฯ เมื่อปีที่แล้ว ถือได้ว่าเป็นผู้ร่วมบุกเบิก "ถางทาง" ในการขับเคลื่อน ปศพพ. สู่สถานศึกษาในจังหวัดมหาสารคาม เมื่อท่านย้ายโรงเรียน ท่านนำ "ความพอเพียง" ไปบริหารโรงเรียนใหม่ด้วย...ผมคิดว่าท่านเป็นปัจจัยของความสำเร็จของ สพม. ๒๖ ที่สามารถนำโรงเรียนผ่านการประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียง ๑๐๐ เปอร์เซนต์

ตั้งแต่ท่านย้ายมา โรงเรียนเริ่มขับเคลื่อนฯ อย่างจริงจัง ต่อเนื่องจากการฝึกอบรมที่จัดโดย สพม. ๒๖ มีผมเองและผู้อำนวยการโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ฯ (ศสพ.) ผอ.แสน แหวนวงศ์ จากโรงเรียนศรีขรภูมิพิสัย จ.สุรินทร์ และ อ.ฉลาด ปาโส จากโรงเรียนเชียงขวัญวิทยาคมเป็นวิทยากรบรรยาย  ท่านได้เชิญทางโรงเรียนศรีขรภูมิพิสัยทั้งทีม "มาลง" ที่โรงเรียนกันทรวิชัยอีกครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มขับเคลื่อนฯ กันอย่างจริงจัง  ทำให้การประเมินในวันนี้ มีบรรยายกาศคล้ายการประเมินโรงเรียนศูนย์ฯ จริงๆ ขาดก็แต่เพียงเครือข่ายฯ และผลงานการขยายไปสู่โรงเรียนภายนอก ที่ต้องมากขึ้นกว่าเดิมนี้...  จากการซักถาม ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะได้ขยายและเกิดผลแล้ว ผมเข้าใจว่า วันนั้นวัตถุประสงค์การประเมินฯ เน้นการขับเคลื่อนภายใน สนใจศักยภาพในการพัฒนา ทางโรงเรียนจึงไม่ได้เชิญสถานศึกษาเครือข่ายมามากนัก


ผลการประเมินและข้อเสนอแนะจากกรรมการ

กรรมการฯ ทุกท่านชื่นชม และสะท้อนว่าได้เรียนรู้รูปแบบของการขับเคลื่อนและนำเสนอของโรงเรียนกันทรวิชัย พัฒนาการของนักเรียนแกนนำ สามารถเชื่อมโยงถึง "คุณค่า" เข้าใจถึงระดับ "หลักคิด"  (ตามกรอบคิดนี้) เพียงแต่ครูอาจารย์อาจจะยังมีบทบาทอยู่ในระดับที่ ๒ ตามกรอบคิดนี้ 

ในมุมมองของผู้ขับเคลื่อนฯ โรงเรียนกันทรวิชัย ขับเคลื่อนไปได้ไกล และใกล้เคียงกับการเป็นโรงเรียนศูนย์ฯ มากที่สุด ผมเองมีเพียงความเห็นและข้อเสนอแนะเดียว นอกจากเรื่องการขยายเครือข่ายฯ คือ การ "ถอย" บทบาทของครู ออกมาเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ ออกมาเป็น "โค๊ช" ดูอยู่ห่างๆ บ้าง หรือเรียกว่าเป็น "ครูฝึกกก" (อ่านบึนทึกนี้ครับ) เพื่อให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" "ฝึกทำ" "ฝึกแก้ปัญหา" "ฝึกสร้างปัญญาด้วยตนเอง" และเปิดโอกาสให้ได้นำเสนอ แสดงความสามารถ ในรูปแบบที่นักเรียนออกแบบเอง

ตัวอย่างการ "ถอยยย ออกมาเป็น ครูฝึกกก"

...รายวิชาภาษาไทย ครูมอบหมายให้นักเรียน สืบค้น ศึกษา เรียนรู้ และจัดกิจกรรม ฝึกขับร้องทำนองเสนาะ เกี่ยวกับบุญเผวท ฟังเทศน์มหาชาติ เวชสันดรชาดก กัณฑ์ทศพร  โดยให้จัดงานในโรงเรียนวันเดียวกับที่ชุมชนจัดงานนี้ ...  

เปลี่ยนเป็น

...ราย วิชาภาษาไทย กำหนดให้นักเรียนจัดงานจำลองประเพณีบุญเผวทของชาวอีสาน ในโรงเรียน โดยให้ทั้งระดับชั้นระดมสมองและกำหนด วันเวลาและรูปแบบของการจัดงานเอง แต่ต้องจัดให้มีนำเสนอผลงานหรือการแสดงของของกลุ่มในวันงาน และต้องนำแผนการจัดการงานและแผนกิจกรรมของแต่ละกลุ่มมาเสนอต่ออาจารย์ก่อนลง มือทำจริง ....โดยอาจารย์เป็นที่ปรึกษา และกรรมการในการประเมินผลคะแนน....

จะ เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่ ครูอาจารย์ "ถอยยย" ออกมา ให้นักเรียนได้ "ฝึกคิด" ตั้งแต่ ต้องสืบค้น หาความรู้ ระดมสมอง วางแผนเอง แล้วต้อง "ฝึกนำเสนอ" แผนงานของตนเอง โดยมีอาจารย์ตั้งคำถาม เพื่อให้ชัดเจน เหมาะสม ขยายองค์ความรู้ และกระตุ้นการเรียนรู้  ก่อนจะได้ "ฝึกทำเอง" โดยมี "การป้อนกลับ" เพื่อการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ...

สรุปคือ ครูอาจารย์ "ถอยยย" ตนเองออกมาจาก การ "คิดให้ กำหนดให้ ป้อนให้ สั่งไป... " มาเป็น "ชง ชวน เชียร์ ชม" และถ้าจำเป็นค่อย "ช่วย"  .... เรียกว่า บทบาทแบบ "๕ช"


 




 

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

SEEN มหาสารคาม _๐๙ : เตรียมเอกสารสำหรับการขับเคลื่อนฯ โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์

โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ เป็น ๑ ใน ๓ โรงเรียนสถานพอเพียงต้นแบบ ที่คณะกรรมการประเมินฯ เห็นว่า มี "ใจ" มี "หลัก" และมี "ศักยภาพ" ที่จะพัฒนาเป็นโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ในวงสนทนากับผู้อำนวยการเขตและศึกษานิเทศก์ เราวิเคราะห์ว่า เรามีจุดแข็งคือ เรามีโรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือกพร้อมขับเคลื่อนฯ  และมีจุดอ่อนคือทุกโรงเรียนยังขาดการขยายความสำเร็จของตนออกไปยังเครือข่ายไปยังโรงเรียนภายนอก จึงได้ออกแบบการส่งเสริมแนวทางการขับเคลื่อนฯ ให้โรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือก สลับกันเป็นเจ้าภาพในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยเอาบริบทของโรงเรียนตนเองเป็นตัวอย่าง แล้วเปิดทางสร้างโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ ที่สนใจ ส่งตัวแทนเข้าร่วมเรียนรู้ รวมทั้งนำผลงานมาเสนอแลกเปลี่ยนกัน

ทันทีที่ท่าน ผอ.สุรเชษฐ์ ช่างถม ทราบว่า โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ ผ่านเป็นการคัดเลือก ท่านดำเนินการขับเคลื่อนฯ ทันที โดยที่ผมยังไม่ได้สื่อสารแนวทางการขับเคลื่อนฯ ข้างต้น ท่านเชิญผมไปคุยกับครูและนักเรียนแกนนำทั้งโรงเรียน ผมจึงถือโอกาสอธิบาย ท่านเข้าใจในทันที และได้มอบหมายให้ อ.รักศักดิ์ ดำเนินการ ... ผมตกลงกับท่านว่าจะส่งเอกสารฝึกอบรมไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่ด้วยงานประกันภายในสำนักศึกษาทั่วไป จึงได้ขอนำส่งท่าน ในวันนี้ ดังนี้ ครับ

BAR (Before Action Review)

คาดหวังอะไรในการนี้?
  • ทุกคนมีความรู้ และเข้าใจว่า อะไรคือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา (ปศพพ.ด้านการศึกษา)
  • ได้ผู้มี "ใจ" อาสามาเป็นแกนนำขับเคลื่อน ปศพพ.ด้านการศึกษา"
  • ผู้บริหารและครูแกนนำขับเคลื่อน "เห็น" แนวทางการขับเคลื่อน ปศพพ.ด้านการศึกษา ในโรงเรียนของตน 
  • ทุกคนที่เข้าร่วม รู้บทบาทหน้าที่ของตนเองในกระบวนการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียน 
  • ได้แผนการขับเคลื่อนฯ ร่วมกัน มีกรอบเวลาชัดเจนว่า จะขอรับการประเมินเมื่อใด
แนวคิดและหลักการ

ด้วยบริบทของโรงเรียนนาดูนฯ ที่เป็นโรงเรียนสถานพอเพียงต้นเแบบ และการลงพื้นที่ประเมินฯ ตามบันทึกนี้ ทำให้เรามีข้อมูลในเบื้องต้นพอสมควรเกี่ยวกับ จุดเด่น จุดเน้น วิธีการขับเคลื่อนฯ ที่ผ่านมา และทรัพยากรต่างๆ ในโรงเรียน ตลอดทั้งแหล่งเรียนรู้ในชุมชน โดยเฉพาะพระธาตุนาดูน และบุคลากรทั้ง ผู้บริหาร ครู และนักเรียนแกนนำก็ผ่านประสบการณ์การถอดบทเรียนโดยใช้หลัก ปศพพ. มาแล้ว ดังนั้น วิธีที่น่าจะดีที่สุดคือการ นำสิ่งที่มีอยู่ ทำอยู่ รู้อยู่ มาเรียนรู้และร่วมระดมสมองในมุมมอง (ภาษา KM เรียกว่า แว่นตา) ของ "หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง" ก่อนจะหารวมกันวางแนวทาง และแยกกลุ่มย่อมตามกลุ่มสาระหรือช่วงชั้น เพื่อร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติและบทบาทของตนๆ

อย่างไรก็ตาม การปรับระดับความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ ปศพพ.ด้านการศึกษา และทำให้ทุกคนเห็น "คุณค่า" และ "ความหมาย" ของ "วิสัยทัศน์ร่วม" (Shared Vision) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติในเบื้องต้น ก่อนจะค้นหาคนที่มีประสบการณ์ มีอุดมการณ์ มีจิตอาสา ที่จะมาเป็นแกนนำขับเคลื่อนฯ ในลักษณะของการขยายความสำเร็จ ความภูมิใจในแนวปฏิบัติของตนออกไป  อย่างไรก็ดี การสื่อสารแนวปฏิบัติที่ดีของตน ต้องมุ่ง "สอนคน" ให้ใช้ "หลักคิด" ไปทดลองทำ จนเกิด "แนวปฏิบัติ" จนได้ "หลักปฏิบัติ" ของตนเองต่อไป

ดังนั้นหลักการสำคัญ ๓ ประการที่ต้องตกลงกัน คือ
  • เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายความสำเร็จ ไม่ใช่การ "บอก สอน ป้อน สั่งการ" 
  • เป็นการร่วมกันทำงานเป็นทีม เรียนรู้เป็นทีม ไม่ใช่  "การสอนเดี่ยว ทำเดี่ยว เรียนเดี่ยว"
  • เป็นการพัฒนางานเดิม ไม่ใช่ "การเพิ่มเติมงานใหม่"

วิธีการและขั้นตอน

การฝึกอบรมในครั้งนี้ จึงจะกำหนดวิธีการขั้นตอนเป็น ๗ ช่วง ได้แก่
  • สำรวจให้รู้ตน 
  • กำหนดเป้าหมายในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ร่วมกัน 
  • บรรยาย อภิปราย และ Workshop เพื่อกำหนด "ความหมาย" และ "ความเข้าใจ" ให้ตรงกัน 
  • เล่าเรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนฯ และตัวอย่างการขับเคลื่อนฯ ของโรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ 
  • Work Shop กลุ่มย่อย เพื่อระดมสมอง จัดทำแนวทางและแนวปฏิบัติในการขับเคลื่อนของกลุ่ม
  • สุ่มนำเสนอวิธีการขับเคลื่อนฯ โดยวิทยากรร่วมสะท้อนและให้ข้อเสนอแนะ
  • วางแผนการขับเคลื่อนร่วมกัน 
อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้
  • กระดาษบลุ๊ฟขนาด A0 จำนวน = จำนวนกลุ่ม x ๒ + ๑๐ (สำหรับวิทยากร)  
  • สีชอล์ค กลุ่มละ ๑ กล่อง + ๑ กล่อง (สำหรับวิทยากร)
  • กระดาษ A4 หนึ่งรีม
เอกสารที่ใช้ในการฝึกอบรม

แน่นอนครับสิ่งที่ทุกคนควรมีคือ เกณฑ์ก้าวหน้า ดาวน์โหลดที่นี่ครับ

ในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ไม่มีเอกสารเน้นการถ่ายทอดความรู้ แต่ใช้เอกสารเป็น เครื่อมมือกระตุ้นการเรียนรู้  โดยนำเสนอเป็นภาพความคิดรวบยอดในแต่ละภาพ และใช้สลับกับ Work Shop บนกระดาษ A4 เพื่อให้ทุกคนได้ "ฝึกคิด" กำหนด "นิยาม"  ได้ "ฝึกตีความ" ให้เกิดองค์ความรู้ เป็นครูของตนเอง